บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 24

ตกดึก เปลวไขขึ้นสูงทะลุปรอท

ไม่จริงใช่ไหม แค่ตากแดดตากลมนิด ๆ หน่อย ๆ ตัวเปียกไม่กี่ชั่วโมง เธอถึงกับเป็นหวัดเชียวหรือ ร่างกายผู้ดีช่างเปราะบางเหลือเกิน

เปลวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา พยายามอยู่นานกว่าจะเปิดเครื่องติด หน้าจอขึ้นเส้นกริดแนวตั้งสองขีด ระบบเสียงเหมือนจะขึ้นสวรรค์ก่อนเพื่อน เธออัปโหลดรูปทั้งหมดที่ถ่ายวันนี้ลงโซเชียล ทั้งรูปวิว รูปหมาแมว รูปที่ถ่ายกับภาคี... เก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยสัมผัสน้ำทะเลมาก่อน เพราะเธอไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสได้เที่ยวอีกรึเปล่า

นาวินมาหาในช่วงสายของอีกวัน เมื่อเปิดประตูเสร็จเธอก็รีบมุดตัวกลับเข้ากองผ้านวม รู้สึกหนาวแม้จะใช้ผ้าห่มตัวไว้ถึงสองชั้น เหงื่อเม็ดเป้งไหลหยดข้างแก้ม ผู้มาเยือนเห็นแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว ใช้ฝ่ามือทาบหน้าผากอีกฝ่าย

“เป็นไง ผลของการหนีเที่ยว” นาวินแซะ แค่มองหน้าซีดเซียวก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ขนาดนอนซมยังขวางหูขวางตา “ทีหลังอย่ารีบ ให้รอก่อน”

เพราะถ้าเขาอยู่ด้วย จะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้เลย

“บ่นเหมือนคนแก่”

“ว่าไงนะ”

ไม่มีเสียงตอบรับ จู่ ๆ เปลวก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่ง

“ไม่ต้องมาแกล้งหลับ!” นาวินกระตุกชายผ้าห่มออก แต่คนป่วยที่เห็นว่านิ่งไปเมื่อครู่กลับยื้อยุดไว้ สุดท้ายชายหนุ่มต้องยอมปล่อยมือ เพราะเธอเริ่มโวยวายว่าถูกเขารังแก

“พี่วินมีอะไร เห็นไหมว่าคนไม่สบาย อยากพักผ่อน” เธอล่ะสงสัย ตั้งแต่เขาเข้ามาก็เอาแต่ยืนหน้าบูดกับพูดจาจิกกัด อย่าบอกนะว่าไปเรียนพฤติกรรมแบบนี้มาจากลุงข้างบ้าน

นาวินมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องเมื่อคืนต่อ แต่ท่าทางคงต้องรอให้เจ้าตัวอาการดีกว่านี้หน่อย เขาหาชื่อทนายฝีมือดีด้านกฎหมายครอบครัวและทรัพย์สินมาแล้ว ถ้าเธอต้องการก็สามารถเรียกมาให้คำปรึกษาได้ทุกเมื่อ

“มาสมน้ำหน้าคนไม่เจียมตัว คราวหลังหัดประมาณตนซะบ้าง จะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น” นาวินพูดไปอีกอย่าง เพราะเกิดรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาที่เธอยังไม่พร้อมพูดคุยกับเขา

เปลวได้ยินแล้วเบะปาก พลิกตัวหันหลังให้กับชายหนุ่ม นึกว่ามาหาเรื่องอะไร ที่แท้ก็มาเหน็บแนม เธอคงทำบุญกับผู้ชายคนนี้ไม่ขึ้น ชาตินี้ถึงพูดจากันดี ๆ ไม่ได้

“กินยารึยัง”

เปลวนอนแน่นิ่งอีกแล้ว ทำให้นาวินต้องดึงไหล่คนป่วยให้หันมาเผชิญหน้า

“พี่ถามว่ากินยารึยัง”

“ไม่มีให้กิน” เธอตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้

สิ้นเสียง นาวินยกหูโทรศัพท์ต่อสายถึงใครสักคน

“มีพยาบาลคิวว่างตอนนี้ไหมครับ ผมต้องการด่วนหนึ่งคน ครับ ให้มาตามที่อยู่นี้เลย”

เปลวเบิกตากว้าง ถึงขนาดต้องตามพยาบาลเลยเหรอ บ้าไปแล้ว เมื่อเขาวางสายจึงรีบพูดโพล่งออกไป

“พี่วินตามพยาบาลมาทำไม แค่เป็นหวัด ไม่ใช่ผู้ป่วยติดเตียง ไม่จำเป็นต้องให้พยาบาลมาเฝ้า”

ทว่านาวินไม่รับฟัง เขาหมดธุระที่นี่แล้ว จึงลุกขึ้นยืนเตรียมออกจากห้อง

“เกิดเธอช็อกตายขึ้นมาพี่คงเสียชื่อแย่ พักผ่อนไปอย่าพูดมาก พี่ไม่ได้มีเวลาให้เธอทั้งวัน” พูดจบก็กระแทกประตูปิดตามหลังทันที

นาวินทรุดตัวบนโซฟาเมื่อกลับถึงห้อง บนโต๊ะมีโน้ตบุ๊กที่เปิดค้างไว้ตั้งอยู่ ถึงจะเคลียร์งานทั้งอาทิตย์เสร็จแล้ว แต่ยังมีรายงานประจำวันที่เขาต้องรีวิว ชายหนุ่มเปิดอีเมลที่เพิ่งส่งมาเมื่อสิบนาทีก่อน เลื่อนสายตาผ่านพารากราฟแรกหลายรอบ และพบว่าตัวเองไม่เข้าใจข้อความเหล่านี้เลย

ยัยนั่นหลับรึยัง?

เขาเปิดไฟล์แนบขึ้นมา เป็นสรุปรายงานการประชุมช่วงเช้า เลื่อนดูขึ้น ๆ ลง ๆ ก่อนเหลือบมองนาฬิกา

ตอนเย็นอาการป่วยคงดีขึ้นแล้ว ไว้ค่อยคุยกันตอนนั้นก็ได้ เขาไม่อยากให้เปลวทำหน้าเศร้าแบบนั้นอีก เห็นแล้วมันน่ารำคาญใจ พาลหงุดหงิดเอาเสียดื้อ ๆ

 

นางพยาบาลจัดยาบำรุงให้เปลวแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบ ตอนเธอตื่นพยาบาลจะอบรมวิธีปฏิบัติตัวเพื่อหลีกเลี่ยงอาการเจ็บป่วย สาธิตการ CPR เบื้องต้น และให้อ่านวิธีดูแลตัวเองหลังจากการเล่นน้ำทะเล? นาวินตั้งใจให้เธอถูกทรมานเช่นนี้ใช่หรือไม่ สรุปเขาจ้างให้พยาบาลมาดูแลหรือเป็นครูสอนสุขศึกษา

เธอได้รับอิสระอีกครั้งหลังจากพยาบาลกลับไป อาการไข้ทุเลาลงมาก เปลวดูนาฬิกาแล้วรู้สึกเสียดาย วันนี้เสียเวลาช่วงเช้าไปฟรี ๆ กับการนอน เพราะงั้นเวลาที่เหลือต้องสำรวจโรงแรมให้ครบทุกซอกทุกมุม คิดได้ดังนั้นจึงหยิบชุดเดรสมาใส่ แต่งหน้าแต่งตา แล้วเปิดประตูออกจากห้อง

เธอลังเลว่าจะโทรหานาวินดีไหม แต่เขาบอกว่าไม่ว่างนี่นา โทรไปเดี๋ยวก็มาเหวี่ยงใส่อีก ไม่โทรดีกว่า

เป้าหมายวันนี้คือภัตตาคารห้าดาวของโรงแรม ได้ข่าวว่าเจ้าของร้านเป็นเชฟมิชลินชื่อดังด้วย ลาภปากล่ะคราวนี้ เธอจะลองสั่งเมนูแปลก ๆ มากิน จะเลียให้จานสะอาดเกลี้ยงจนพนักงานไม่ต้องเอากลับไปล้างเลยทีเดียว

ขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นบนสุด ภัตตาคารหรูหราสมชื่อดาวห้าดวง เธอเลือกนั่งโซนเก้าอี้โซฟากลางแจ้ง สั่งอาหารโดยชี้เมนูให้พนักงาน เธอไม่กล้าอ่านชื่อเพราะกลัวปล่อยไก่ ระหว่างรอก็นั่งฟังนักเปียโนเล่นเพลงอย่างเพลิดเพลิน

เมนูแรกมาเสิร์ฟ เปลวเห็นแล้วรู้สึกตกใจ จานใบใหญ่เท่าฝาชีแต่อาหารมีกระจึ๋งเดียวอยู่ตรงกลาง เขมือบคำเดียวก็หมดแล้วมั้งนั่น แต่ด้วยต้องการรักษาภาพพจน์ จึงต้องค่อย ๆ ละเลียดกินอย่างช่วยไม่ได้

เธอทานของคาวของหวานจนครบ ตบด้วยไวน์รสชาติดี และยาหลังอาหารเย็น นั่งฟังดนตรีต่อเพื่อรออาหารย่อย

ลมเย็นมาก โซฟาก็ดูดวิญญาณสุด ๆ เสียงดนตรีขับขานจังหวะชวนฝัน นั่งไปนั่งมาตัวเริ่มไหลต่ำ หัวเอนพิงพนักโดยไม่รู้ตัว

เธอผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น

 

นาวินมาหาเปลวตั้งแต่ห้าโมงเย็น

ยืนรอหน้าประตูถึงยี่สิบนาที สำหรับเขามันเป็นการรอที่ยาวนานมาก คนอย่างนาวิน อินทรเนตรเกิดมาไม่เคยต้องรอใคร ทั้งชีวิตมีแต่คนวิ่งเข้าใส่ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือผู้หญิง อยากได้อะไรต้องได้ เพียงแค่กระดิกนิ้วก็มีคนมาประเคนให้แทบเท้า

การที่เขามายืนรอแบบนี้ ถือเป็นการยอมให้เยอะแล้ว แต่ดูเหมือนคนที่เขารอจะไม่อยู่

หายตัวไปไหนอีก

นาวินยกหูโทรศัพท์ขึ้น ฟังเสียงสัญญาณดังเป็นจังหวะ สุดท้ายถูกตัดไป นั่นยิ่งทำให้อารมณ์เขาคุกรุ่น ทว่ายังผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ ให้เย็นลง

เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้คอยรับสาย ไม่ยอมฟัง เขาพยายามข่มอารมณ์ บางทีเธออาจออกไปไม่นาน เดี๋ยวก็กลับมา

ไม่ไกลมีโซนรับรองให้นั่งพัก นาวินเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่หันหน้าเข้าหาห้องเพื่อจะได้ไม่คลาดสายตา

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปยังไม่เห็นเงาหัว ทั้งส่งข้อความ ทั้งโทรหา ทำไมไม่รับสาย แอบออกไปกับใคร นาวินคิดถึงตรงนี้แล้วชักหัวเสีย ก่อนเปลวมาเจอเขาเธอเป็นพวกนอนกับผู้ชายไม่เลือกหน้า กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้วเหรอ ทั้งที่ตอนนี้เป็นคนของเขาแท้ ๆ

ความคิดอีกฝั่งหนึ่งห้ามเขาไม่ให้ลุกขึ้นเตะประตู เปลวเปลี่ยนไปแล้ว เป็นยัยเด็กจอมยั่วโมโหที่ทำท่าจะหนีเขาไป ตอนนี้แค่อยากเอาใจให้เธอกลับมาเป็นเหมือนเดิมเท่านั้น ไม่สิ เขาไม่ได้อยากให้เธอเป็นเหมือนเดิม อันที่จริงเขาชอบแบบนี้มากกว่า

ถ้างั้นตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่ มานั่งรอแบบนี้ทำไมกัน?

นาวินไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไรกันแน่

แค่ไม่อยากเห็นเธอทำหน้าเศร้า เพราะมันทำให้เขาหงุดหงิดเท่านั้นเอง

เท่านั้นเองจริง ๆ เหรอ…

มีความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากยอมรับมัน เพราะหากยอมรับ เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

การรอทำให้นาวินฟุ้งซ่านต่าง ๆ นานา ทว่า เหตุผลทุกอย่างในตัวเขาหมดลงเมื่อเข็มนาฬิกาใกล้ชี้เลขสิบสอง

 

“คุณผู้หญิงคะ คุณผู้หญิงตื่นเถอะค่ะ”

เปลวรู้สึกตัวเพราะถูกเขย่าตัว พบพนักงานหญิงส่งยิ้มสุภาพให้

“ขะ ขอโทษค่ะ กี่โมงแล้วคะ”

“เกือบเที่ยงคืนแล้วค่ะ”

ทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบ นอกจะเธอแล้วก็ไม่มีลูกค้าคนใดเหลืออยู่อีก ดูเหมือนพนักงานสาวคนนี้กำลังจะกลับบ้าน เปลวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ก่อนรีบเดินออกมาจากร้าน

เผลอหลับจนได้

หนักหัวนิดหน่อย คงเป็นเพราะฤทธิ์ยา พนักงานกดลิฟต์ไม่อยู่แล้ว เธอจึงต้องลงลิฟต์ตัวคนเดียว ระเบียงทางเดินบัดนี้เงียบสงัด ได้ยินเสียงส้นสูงกระทบพื้นทุกย่างก้าว เธอเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นหมายรีบกลับห้อง รู้สึกไม่ค่อยชอบบรรยากาศวังเวงแบบนี้เท่าไหร่

ตอนที่กำลังปลดล็อกประตู เปลวได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ หัวใจกระโดดวูบเมื่อถูกกระชากข้อมือ พอเห็นว่าเป็นใครเป็นคนทำก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นาวินนั่นเอง

“พี่วินมีอะไรรึเปล่าคะ”

นาวินไม่ตอบ คิ้วขมวดมุ่น สายตามองเธออย่างเอาเรื่อง ทำให้เปลวเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ดูเหมือนเขาจะโกรธมาก

“ไปนอนกับมันมาใช่ไหม!” เขาตะโกนอย่างหมดความอดทน ฟางเส้นสุดท้ายขาดพึ่ง ออกแรงบีบแขนเต็มแรง

“พี่วินพูดเรื่องอะไร ไปนอนกับใคร” เธอไม่เข้าใจ ทำได้เพียงตอบโต้อย่างใจเย็น “เปลวแค่ไป-“

“ไม่ต้องมาแก้ตัว” นาวินไล่สายตาหัวจรดเท้า “กลับมาเอาป่านี้ล่อกันไปกี่ครั้งล่ะ”

เปลวเริ่มรู้สึกหวั่นใจ เธอพยายามทำตัวนิ่งมาตลอดตอนอยู่ต่อหน้าเขา แม้กระทั่งกับภาคีเธอยังต้องเก็บอาการ ถึงจะพูดจิกกัดนาวินให้แสบ ๆ คัน ๆ เล่นบ้างแต่เธอก็ตั้งลิมิตไว้ เพราะไม่อยากปะทะกับอารมณ์ของเขาแบบที่เขียนไว้ในนิยาย ‘โกรธแล้วทำอะไรไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม’

“พี่วินฟังเปลวก่อนนะคะ”

คนเลือดขึ้นหน้าไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ลากหญิงสาวเข้าห้องโดยไม่สนใจเสียงทัดทาน ไม่สนใจแม้แต่รอยปื้นแดง ๆ ตรงข้อมือ เปลวสลัดแขนจนหลุดจากการจับกุม ก้าวถอยหลังชนกำแพง

“พี่ต้องใจเย็น ๆ แล้วฟัง เปลวแค่ไปทานอาหารที่ชั้นบนมา ไม่เชื่อพี่ไปถามพนักงานได้”

“แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์”

“โทรศัพท์ตกน้ำ ตอนนี้ใกล้เสียแล้ว ถ้ารู้ว่าพี่วินโทรหาทำไมเปลวจะไม่รับ”

เธอไม่เคยเห็นนาวินโกรธขนาดนี้มาก่อน เขาลูบท้ายทอยตัวเอง เดินย่ำเท้ากลับไปกลับมา หายใจแรงคล้ายพยายามระงับอารมณ์แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ ทั้งที่เมื่อเช้าอาการยังดีอยู่แท้ ๆ

เขาโกรธขนาดนี้เพราะติดต่อเธอไม่ได้อย่างนั้นหรือ

อันตราย

“ที่กลับช้าเพราะเปลวกินยาหลังอาหาร บรรยากาศข้างบนดีมาก เลยเผลอหลับไป”

“โกหก!” ชายหนุ่มหันมาตวาดใส่

“จริง ๆ นะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอ่อนหวานที่สุด พลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าที่ซ่อนไว้ด้านหลัง “เปลวจะโกหกพี่ทำไม พนักงานก็เห็น ถ้าพี่ไม่เชื่อ ไว้พรุ่งนี้เราไปถามด้วยกัน”

“รู้ไหมว่าพี่มารอตั้งแต่กี่โมง!” นาวินถามเสียงดัง ต้องการชี้ว่าการที่เขาโกรธแบบนี้เป็นความผิดของเธอ และเธอควรคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากเขา

“พี่วินมารอเหรอคะ” หญิงสาวประหลาดใจ “แล้วทำไมพี่ไม่บอก”

ยัยโง่ ทำไมเขาต้องบอก การที่เขาทำให้ทุกอย่างขนาดนี้ก็ควรรู้ได้แล้วว่าต้องทำตัวยังไง เขาไม่เคยยอมให้ใครมากเช่นนี้มาก่อน เรื่องแค่นี้ถ้ามีสมองหน่อยก็น่าจะคิดได้เอง

เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังมีสีหน้าไม่เข้าใจเขาก็ทนไม่ไหว ดึงร่างเล็กโยนลงบนเตียง ล็อกแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะด้วยมือข้างเดียว

ทำไมเข้าใจอะไรยาก

“เลิกเสแสร้ง สันดานเธอมันไม่เคยเปลี่ยนหรอก ร่านผู้ชาย” เขาทิ้งแรงกดมหาศาลลงบนตัวหญิงสาว เคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้จนกระทั่งลมหายใจสัมผัสใบหู “แค่มันคนเดียวสำหรับเธอคงไม่พอ เดี๋ยวพี่ช่วยสงเคราะห์ให้ถึงเช้า”

จูบร้อนกดหนักข้างติ่งหู ประทับรอยไล่ต่ำลงเรื่อย ๆ มืออีกข้างสอดใต้ชุดเดรส ลูบไล้ต้นขา ลากผ่านเอวจนถึงหน้าอก บีบเคล้นคลึงโดยไม่มีการออมแรง เปลวเบนหน้าหนี พยายามดิ้นแต่ไร้ความหมาย ปกติสู้แรงไม่ได้อยู่แล้ว พออยู่ในสภาพไม่เต็มร้อยยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้กำลังต่อต้าน เธอมองหาอะไรสักอย่างที่พอจะหยิบจับได้ มีเหยือกน้ำตั้งอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง ถ้าเพียงแค่เธอเอื้อมมือถึง...

“พี่วิน... พี่วินคะ เปลวเจ็บ อ่อนโยนหน่อยได้ไหมคะ” เธอใช้น้ำเสียงอ่อนหวาน ทำให้นาวินหยุดชะงักชั่วขณะ แรงกดเหมือนจะลดลงด้วย “เจ็บข้อมือมากเลย”

เขาคลายมือที่รัดรึงออก

“เธอควรทำตัวดี ๆ ตั้งแต่แรก” สายตานาวินอ่อนลงเล็กน้อย แต่ยังไม่อยู่ในจุดที่เรียกว่าปลอดภัย เขาเชยคางเธอขึ้น นิ้วโป้งลูบไล้ริมฝีปาก ลากวนเบา ๆ ตรงรอยจ้ำสีเขียว ผู้หญิงคนนี้กำลังทำให้เขาเป็นบ้า เขาต้องการครอบครองเธอแต่เพียงผู้เดียว

นาวินประทับริมฝีปากด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน หน้ามืดตามัว แทรกลิ้นดูดดึงไม่ปรานี ราวกับต้องการตอกย้ำความเป็นเจ้าของให้อีกฝ่ายรับรู้

มือของเปลวเป็นอิสระ พยายามเอื้อมไขว่คว้า แต่ปลายนิ้วแตะได้แค่ขอบโต๊ะเท่านั้น วินาทีต่อมาแขนทั้งสองข้างก็ถูกนาวินรวบไว้ข้างตัว เขาถอดริมฝีปากออก

“อย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ” พูดจบก็มอบจูบเผ็ดร้อนแบบที่เธอไม่สามารถหนีได้อีก

เปลวหลับตาลง แพ้แล้ว เธอหนีไปไหนไม่ได้ สู้แรงเขาไม่ไหว

จังหวะที่ทุกอย่างกำลังเข้าตาจน จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าแรงกดทับทั่วทั้งร่างหายไป ตามมาด้วยเสียง ผลัวะ! และเสียงดังโครมคราม มีแรงฉุดตัวเธอให้ลุกขึ้น ถัดจากนั้นเธอก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน เปลวเงยหน้า

ภาคีมีสีหน้าสงบเหมือนกับทุกครั้งที่เคยเจอ เป็นสีหน้าแบบที่ทำให้คนมองรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าจะไม่มีใครทำอะไรเธอได้อีก เปลวก้มหน้าลง หัวใจคล้ายถูกชโลมด้วยน้ำอุ่น ภาคีมีช่วยเธอจริง ๆ ด้วย

“ยุ่งอะไรด้วยวะ ถอยไป!” พอนาวินเห็นว่าใครยื่นมือเข้ามาสอดก็ยิ่งอยากบันดาลโทสะ เขาผุดลุกขึ้นตั้งใจดึงคนของตนกลับ ทว่าถูกหยุดด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว

“คุณเคยมองบ้างไหมว่าผู้หญิงคนนี้รู้สึกอย่างไร”

นาวินมองตามอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่พอเห็นสภาพของเธอเขาถึงเพิ่งตาสว่าง เปลวยืนก้มหน้า แอบอยู่เบื้องหลังคนข้างกาย แววตาของเธอ หวาดกลัว... หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามือที่ขยำชายกระโปรงสั่นเล็กน้อย นาวินมองภาพนั้นแล้วรู้สึกจุกในอก

“พี่...”

เห็นสีหน้าคนที่ชอบกวนประสาทเป็นอย่างนั้นแล้วนาวินพูดไม่ออก เขาทำอะไรลงไป

“เปลว พี่ขอโทษ...”

ทว่าคนตอบกลับไม่ใช่เธอ

“คุณควรเก็บคำขอโทษไว้ แล้วชดเชยด้วยการไม่ต้องมายุ่งกับเธออีก” ภาคีกล่าวเสียงเรียบ

“เรื่องของผัวเมีย แกเป็นคนนอกอย่ามาเสือก!” ยังไงเขาก็เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้หญิงคนนี้ คนนอกอย่างมันไม่ควรยื่นจมูกเข้ามายุ่ง

ภาคีนิ่งไป การรับมือกับนาวินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่หากเรื่องลุกลามถึงขั้นดึงอินทรเนตรเข้ามาเกี่ยวข้องย่อมไม่ใช่เรื่องดี นาวินดูอารมณ์เย็นขึ้นมากแล้ว การถอยออกมาตอนนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า

ทว่า สีหน้าของปาวรินทร์บังคับให้เขาต้องตัดสินใจเลือก

“คุณเข้าใจผิดแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกคุณไม่มีทางไปถึงขั้นนั้น”

“เพ้อเจ้ออะไรอยู่วะ”

ภาคีโอบไหล่เปลวไว้ “เพราะผมกับคุณเปลวกำลังจะแต่งงานกัน”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel