บทที่ 11
หากย้อนเวลาไปห้าปีที่แล้วภัควรินทร์คงร้องไห้น้ำตาร่วงเผาะ อาจถึงขั้นหดหู่อีกหลายวันเพราะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เธอไม่ชอบอย่างที่สุด แต่มาวันนี้หัวใจคนที่ถูกลืมเป็นประจำแข็งแรงขึ้นมากแล้ว จึงมีเพียงการลอบก่นด่าเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ
‘คนบ้า! เห็นอยู่ว่าขาเจ็บยังใจร้ายทิ้งกันได้ลงคอ!’
ภัควรินทร์บ่นในใจอีกหลายคำ โกรธที่ถูกผู้ชายใจร้ายทิ้งไว้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังหนีไปไหนไม่ได้เพราะต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเอง
‘แค่สองอาทิตย์ก็จะเป็นบ้าแล้ว จะรอดไหมนะ…’
นอกจากถูกบังคับให้ออกจากงานมาดูแลธีรักษ์แล้ว ภัควรินทร์ยังต้องโกหกผู้ปกครองว่าได้งานใหม่ในเครือบริษัทอัครจินดานนท์ ซึ่งนั่นรวมถึงการอยู่ล่วงเวลาและทำงานในวันเสาร์ นอกจากนั้นยังกุเรื่องด้วยว่าทางบริษัทได้อำนวยความสะดวกด้วยการจัดหาที่พักให้กับพนักงาน
หญิงสาวไม่ได้รู้ข้อเท็จจริงที่ว่าธีรักษ์ได้ขอให้เลขานุการของน้องชายบรรจุเธอลงเป็นพนักงานประจำของบริษัทที่อยู่ไกลจากบ้านของคุณหญิงแจ่มจันทร์เพื่อความสมจริง หากเธอทำงานดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ หลังจากที่เขาได้ทุกอย่างที่ต้องการกลับคืนมาก็อาจจะหางานที่เหมาะกับความสามารถให้เธอทำ พิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่คนใจร้ายที่ชอบเอาเปรียบใคร
น่าเสียดายที่ภัควรินทร์ไม่ได้รู้เรื่องเหล่านั้น เธอน้อยใจมากขึ้นทุกวัน คิดแค่ว่าเขาเอาคุณย่ามาขู่ บังคับให้อยู่ด้วยเพราะต้องการกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เพราะเรื่องหนี้สินตามที่อ้าง
สามแสนสำหรับธีรักษ์ก็แค่เศษเงิน…
หลังจากเดินกะเผลกพลางสาปแช่งคนใจร้ายได้ไม่นาน รถหรูคุ้นตาก็ขับเข้ามาจอดข้าง ๆ และเมื่อคนขับลงจากรถมาเปิดประตูให้ ภัควรินทร์ก็ยิ้มโล่งใจว่าอย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องลากขาไปอีกเกือบกิโลเมตร
“น้าไกรมารับน้ำหวานเหรอคะ ดีเลย น้ำหวานจะได้ฟ้องว่าคุณธารของน้าไกรน่ะ ใจร้ายที่สุดเลย” เธอทำหน้าเหยเกยามหย่อนตัวนั่งในรถ แม้จะระวังแค่ไหนก็ยังเจ็บมากอยู่ดี
“คุณธารไม่ได้ใจร้ายหรอกครับ พอท่านถึงบ้านก็รีบสั่งให้ผมออกมารับคุณน้ำหวานเลย” ไกรวิทย์ขอดูบาดแผลของหญิงสาวที่ทำหน้าตาบึ้งตึง ไม่พอใจที่เขาเข้าข้างเจ้านายที่กลับบ้านในสภาพที่ ‘ดูแทบไม่ได้’
“น้าไกรไม่ต้องเข้าข้างคุณธารเลยนะคะ เขาเห็นว่าน้ำหวานเจ็บอยู่แท้ ๆ แต่กลับทิ้งกันได้ลงคอ ทิ้งแต่แรกจะไม่ว่าหรอก แต่นี่ทำเหมือนจะช่วยแล้วดันผลักน้ำหวานออก ไหนจะพูดดีกับคนที่ทำให้น้ำหวานเจ็บตัวอีก” ภัควรินทร์บ่นยืดยาวตามประสา ทว่ายิ้มกว้างทันทีที่ไกรวิทย์แจ้งว่าข้อเท้าของเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ประคบเย็นนิดหน่อยก็น่าจะโอเคแล้วละครับ”
“ขอบคุณน้าไกรมากนะคะ”
เธอยกมือกระพุ่มไหว้อย่างน่ารัก มองตามหนุ่มใหญ่ใจดีที่อ้อมกลับไปนั่งประจำที่คนขับ แล้วไพล่คิดถึงชายหนุ่มที่เป็นเจ้านาย คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงความแล้งน้ำใจของเขา แต่ก่อนที่จะได้บ่นอะไรไกรวิทย์ก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เดี๋ยวส่งคุณน้ำหวานเสร็จผมจะออกไปทำธุระข้างนอก แล้วค่อยแวะมาช่วงเย็นอีกครั้ง คุณน้ำหวานอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ”
“น้ำหวานไม่อยากได้อะไรหรอกค่ะ แต่ว่านมอัลมอนด์ของคุณธารใกล้หมดแล้ว ส่วนเรื่องอาหารสด...น้าไกรเลือกซื้อตามสะดวกเลยค่ะ” แม้ยังโกรธเขาอยู่แต่ภัควรินทร์ก็ยังไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง “แต่ไม่เอาปลาแซลมอนกับกุ้งนะคะ คุณธารบ่นว่าเบื่อแล้ว ไม่รู้ว่าจะเอาแต่ใจตัวเองอะไรนักหนา”
“เรื่องอาหารนี่...ผมว่ามื้อเที่ยงสั่งจากร้านที่ท่านชอบก็ได้นะครับ คุณน้ำหวานเจ็บอยู่ น่าจะไม่สะดวกเข้าครัว ส่วนมื้อเย็นค่อยว่ากันอีกที” ไกรวิทย์พิจารณาอยู่ชั่วอึดใจว่าสมควรเล่าเรื่องของเจ้านายหรือไม่ แต่สุดท้ายความหวังดีก็ทำให้เขายอมเปิดปากเล่าสาเหตุที่ทำให้คนเจ็บถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“ความจริงผมไม่ควรพูดเรื่องนี้ คุณธารท่านไม่ชอบให้ใครรู้เรื่องส่วนตัวของท่านมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องที่ท่าน เอ่อ มีปัญหาทางด้านสุขภาพ”
