บทนำ...ไฟแค้นแสนพิศวาส...
“คุณพ่อครับ ผมอยู่นี่แล้วครับ”
เสียงทุ้มเบาของชายหนุ่มกระตุ้นให้หนังตาปิดสนิทเจ้าของร่างผอมบางทรุดโทรมจากโรคร้ายรุมเร้ากะพริบไหวก่อนจะค่อยๆปรือลืมขึ้นช้าๆ เมื่อภาพเลือนรางใบหน้าของบุตรชายคนเดียวอันเป็นที่รักห่วงใยปรากฏ พลันแสงในดวงตาที่มัวหม่นก็เปล่งประกายเจิดจ้าออกมา
“ชามาตุ์ ชามาตุ์ หรือลูก” เสียงแหบพร่าเอ่ยเรียกชื่อบุตรชายเปี่ยมล้นความตื่นเต้นดีใจ
“ครับคุณพ่อ ผมเอง”
ชายหนุ่มก้มลงกราบอกและกอดร่างซูบผอมไม่คุ้นตาของบิดาที่แทบจะไม่หลงเหลือเค้าความสง่างามด้วยร่างสูงใหญ่ล่ำสันแข็งแรงที่เคยโอบอุ้มโอบกอดเขาตั้งแต่เล็กแต่น้อยด้วยน้ำตาปริ่มคลอแต่ต้องพยายามเก็บกลั้นเอาไว้อย่างหนักโดยไม่อาจปล่อยให้มันหยาดหยดลงมาแสดงความอ่อนแอต่อหน้าบิดาที่เคยพร่ำสอนว่า...ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้...
“พ่อดีใจ ดีใจ ในที่สุดลูกก็กลับมา”
“ผมขอโทษครับคุณพ่อ” ผู้เป็นบุตรชายกล่าวแก่บิดาได้เท่านั้น เพราะลำคอตีบตันไม่สามารถเค้นคำใดๆออกมาอีก
“ไม่เป็นไรลูก แค่ได้เห็นหน้าลูกก่อนตาย พ่อก็ดีใจแล้ว”
“...โธ่...คุณพ่อ...”
คำพูดของผู้เป็นบิดายิ่งทำให้บุตรชายรู้สึกผิดมากขึ้น ต้องยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตาบุรุษที่เอ่อล้นออกมาด้วยความสำนึกผิดและเสียใจสุดซึ้งที่เขากลับมาหาบิดาช้าเกินไป
“ชามาตุ์ลูกรัก พ่อมีใบสำคัญจะให้ลูกเซ็น” ผู้ป่วยเปล่งเสียงแจ่มชัดเหมือนมีกำลังขึ้นมาใหม่
“คุณ เตรียมแล้วใช่ไหม ช่วยหยิบให้ผมที” เขาหันไปถามหาจากภรรยา
“อยู่นี่ค่ะ” คุณชนันทารีบหยิบสิ่งที่สามีเรียกหานำมาวางใส่มือที่ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าทุกวันของเขา
“ชามาตุ์ เซ็นใบนี้ให้พ่อนะ พ่อขอร้อง” เขายื่นแฟ้มสวยงามสีชมพูอ่อนให้บุตรชาย
ชามาตุ์ชะงักมองแต่ก็หยิบมาเปิดดูอย่างไม่อยากจะขัดใจ หลายวินาทีที่หนังสือตัวโตพิมพ์คำว่า...ใบสำคัญการสมรส...วิ่งวนอยู่ในความรู้สึกอันมึนงง เอกสารการจดทะเบียนสมรสทั้งสองใบในแฟ้มมีลายเซ็นทั้งหมดอยู่แล้ว เหลือเพียงลายมือของเขาคนเดียวเท่านั้น
“ไม่ได้นะครับคุณพ่อ ผมเซ็นใบสำคัญนี้ไม่ได้ ผมมีแฟนอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงดังด้วยความตกใจคาดไม่ถึงว่าบิดาจะมัดมือชกคลุมถุงชนให้เขาเซ็นทะเบียนสมรสกับผู้หญิงที่ไม่เคยรักกันมาก่อน แม้เขาจะอยากทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสบายใจของบิดาในวาระสุดท้าย แต่ก็สุดวิสัยที่เขาจะทำเรื่องนี้ จนมารดาผู้นั่งใบหน้านองน้ำตาต้องเอ่ยขึ้น
“ตามใจคุณพ่อเถอะลูก ครั้งสุดท้ายแล้ว” คุณชนันทาจับมือสามีกุมแนบแก้มไว้ไม่ยอมห่างด้วยความรักอาลัย นางรู้แก่ใจว่าเขาจะอยู่ด้วยอีกไม่นาน
“ถ้าแกไม่ยอม ก็จะไม่ได้อะไรจากพ่อเลยนะ” ผู้เป็นบิดาบอกเสียงแหบพร่าอ่อนแรงเต็มที
“ผมไม่ได้อยากได้สมบัติของคุณพ่อนะครับ ทุกวันนี้ผมก็มีงานทำเลี้ยงดูตัวเองได้อยู่แล้ว”
ชามาตุ์ถูกบิดามารดาส่งไปเรียนประจำที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตั้งแต่อายุสิบสองปี แล้วไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยดังในประเทศอังกฤษจนจบปริญญาโท และเข้าทำงานไต่เต้าจนได้ตำแหน่งผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งในประเทศ ด้วยตำแหน่งหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากมาย เขาจึงไม่มีเวลาให้บิดากับมารดามากนัก ปีหนึ่งจะได้กลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหรือสองครั้ง และอยู่ได้ไม่กี่วันก็ต้องเดินทางกลับไป
หลายครั้งที่บิดามารดาขอร้องให้เขากลับมาดูแลงานทางบ้านอันเป็นงานเกี่ยวกับเกษตรพืชไร่และบริษัทสหฟาร์มการเกษตรของครอบครัว เขาบ่ายเบี่ยงโดยไม่ได้ปฏิเสธจริงจังเพราะอยากรักษาน้ำใจบิดา ความจริงเขาไม่เคยคิดจะกลับมาทำงานเหล่านี้เลย เขาชอบงานที่ทำอยู่ในบริษัทบิดาแฟนสาวมากกว่า และคิดจะแต่งงานมีครอบครัวอยู่ในประเทศนั้นเลย
"แล้วแกจะสละสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพ่อที่สร้างทำมาเพื่อแกอย่างนั้นหรือ” คุณมารุตถามบุตรชายคนเดียวด้วยเสียงที่อ่อนล้าจากโรคภัยคุกคามแทบจะไม่มีแรงเปล่งเสียงออกมา
“ไม่ได้นะ ชามาตุ์ มันเป็นสิทธิ์ที่ลูกควรต้องรับ เพราะลูกเป็นลูกคนเดียวของคุณพ่อกับแม่นะ”
คุณชนันทาร้องค้านด้วยความไม่สบายใจ นางไม่อยากบังคับจิตใจบุตรชายที่รู้ว่าเขามีคู่รักอยู่แล้ว แต่ไม่มีทางอื่นนอกจากสนับสนุนให้เขาทำตามคำร้องขอของสามี
“ในเมื่อมันเป็นสิทธิ์ของผม ก็ให้สิทธิ์นั้นแก่ผมมาสิครับ จะต้องเอาการจดทะเบียนสมรสมาต่อรองทำไม” ชายหนุ่มมองบิดากับมารดาอย่างไม่เข้าใจ
เขาแทบไม่รู้จักผู้หญิงที่ต้องจดทะเบียนสมรสด้วย จำได้แต่ว่าเธอเป็นลูกเพื่อนรักของบิดาที่ชื่อ อาทิตย์ และเสียชีวิตพร้อมกับภรรยามาหลายปีแล้ว บิดาเลี้ยงดูบุตรสาวของเพื่อนเอาไว้ เขาจำหน้าเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ต่อไปแกก็จะรู้เองนั่นแหละ เซ็นชื่อในใบสำคัญนั่นซะ ถ้าไม่เซ็นแกก็จะไม่มีสิทธิ์ใดๆในทรัพย์สินของพ่อเลย”
ชายชรารู้สึกเหนื่อยหนักกับการพูดประโยคยาวๆ จนต้องหลับตาสูดหายใจเข้าลึก และสัมผัสได้กับการหายใจไม่สุดปอด ซึ่งเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า เขากำลังจะหมดลมหายใจ
“ชามาตุ์ แม่ขอร้อง เห็นแก่คุณพ่อเถอะลูก ท่านกำลังจะจากเราไปแล้ว” ผู้เป็นมารดาร้องขอแก่บุตรชาย แล้วร้องไห้สะอื้นต่อการใกล้หมดลมหายใจของสามี
“ชามาตุ์ พ่อรักลูกนะ รักมากที่สุด และอยากให้ลูกกลับมาอยู่บ้านเรา มาทำงานสานต่อสิ่งต่างๆที่พ่อสร้างไว้เพื่อ ลูก กลับมานะลูกนะ” ชายชราวัยใกล้หกสิบยื่นมือออกไปเหมือนไขว่คว้า เมื่อได้สัมผัสมือบุตรชายก็กำไว้มั่น และร้องขอคำสัญญา
“สัญญากับคุณพ่อสิลูก” คำร้องขอเจือสะอื้นของมารดาทำให้ผู้เป็นบุตรชายไม่อาจกล่าวคำปฏิเสธออกมา
“ครับพ่อ ผมสัญญา” ชายหนุ่มรับปากไม่เต็มเสียง
เขาเศร้าใจต่อการจากพรากที่ไม่มีจะวันกลับมาอยู่ด้วยกันอีก เขารักบิดา ไม่อยากให้ท่านตาย แต่ก็ไม่อยากถูกมัดมือชกอย่างนี้
“เซ็นชื่อในใบสำคัญด้วยนะ”
ผู้เป็นบิดาชี้มาที่แฟ้มใบสำคัญการจดทะเบียนด้วยสีหน้ายิ้มละไมที่เจือจางจากความซีดเซียวจากความเจ็บป่วยใกล้สิ้นลมและพยักหน้าพอใจที่เห็นบุตรชายจรดปากกาเซ็นชื่อต่อหน้า แล้วเรียกหาหญิงสาวผู้เซ็นชื่อไว้ในใบสำคัญก่อนหน้าให้เข้ามาหา
“อัปสร อยู่ไหนลูก เข้ามาหาลุงสิลูก”
หญิงสาวอ่อนเยาว์นั่งอยู่ด้านหลังคุณชนันทามานาน คลานเข้ามานั่งติดเตียงคนเรียก ยื่นมือจับมือผู้ที่ตนรักเสมือนบิดา ดวงตาแดงช้ำมีน้ำตาไหลรินเปื้อนเปรอะพวงแก้มปลั่งโดยที่เจ้าตัวไม่อาจเก็บกลั้น
“หนูอยู่นี่ค่ะ คุณลุง”
เสียงเครือสั่นของหญิงสาวเรียกความสนใจจากชามาตุ์ให้มองพินิจ สิ่งแรกที่เห็นเด่นชัดเป็นผมดกดำปล่อยยาวสยายยุ่งเหยิงบังใบหน้าเกือบหมด เปิดให้เห็นเพียงจมูกโด่งเล็กแดงก่ำดวงตาสองข้างบวมช้ำจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก มองหาความสวยน่ารักไม่ได้สักนิด
“ชามาตุ์ นี่น้องอัปสรนะ ลูกต้องดูแลน้องแทนพ่อนะ” น้ำเสียงอ่อนล้าของบิดาทำให้ผู้เป็นบุตรพยักหน้าแทนคำตอบที่ไม่อาจจะเอ่ย เพราะไม่อยากรับคำอันฝืนใจอย่างยิ่ง
“พ่อขออวยพรให้ลูกทั้งสองครองรักกันอย่างมีความสุข และอยู่ดูแลไร่ของเราบริษัทของเราและกิจการทุกอย่างของเราร่วมกันตลอดไปนะลูกนะ”
คุณมารุตรับแหวนสองวงจากคุณชนันทาภรรยาส่งให้สองหนุ่มสาวสวมแก่กันต่อหน้า แล้วจับรวบมือของทั้งสองกุมไว้ด้วยกันเพื่อกล่าวคำอวยพรก่อนจะหลับตาลงด้วยใบหน้ากระจ่างรอยยิ้มแห่งความสุขอันเป็นภาพสุดท้ายที่ทุกคนได้เห็นในวันนั้น