บทที่ 5...ไฟเสน่หาเพลิงอารมณ์...
เมื่อประตูห้องหอปิดสนิท ร่างบอบบางก็ถูกเจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงที่ตระกองกอดเหวี่ยงลงกับพื้นอย่างแรง เจ้าของร่างในชุดเจ้าสาวยาวกรุยกรายไม่ทันระวังตัวถลาล้มลงกระแทกพื้นเต็มที่ เธอเงยขึ้นมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ตกใจในการกระทำของเจ้าบ่าวผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็นสามีในอนาคต
“คุณภีม...เป็นอะไรคะ...” นาราเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดูจากสีหน้าและการกระทำก็พอจะรู้ว่าเขาโกรธนักหนา แต่โกรธเธอเรื่องอะไร
“หึ...เป็นอะไร...ถามได้...”
ภีมะมองร่างที่นอนกองอยู่กลางห้องด้วยแววตาวาวโรจน์โชนแสงแห่งความโกรธเกลียดอย่างไม่ปิดยัง นึกสะใจที่เขาสามารถระบายความโกรธกับหญิงสาวเจ้าเล่ห์ได้บ้าง อย่างน้อยความเจ็บเล็กๆน้อยๆของหล่อนก็ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น
“โกรธใครหรือคะ” นาราพยายามจะลุก แต่ชุดที่พันรอบกายทำให้ขยับตัวไม่ได้ต้องนั่งงงอยู่กับที่อย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ผู้หญิงบ้า อยากมีผัวจนตัวสั่นจนต้องแย่งคนรักของญาติตัวเองเลยหรือ เห็นหน้าตาหวานๆซื่อๆไม่คิดว่าจะร้ายกาจขนาดนี้”
ชายหนุ่มปาก้อนจดหมายที่ตนขยำกำแน่นอยู่ในมือมานานใส่หน้าหญิงสาวที่ตนกล่าวโทษด้วยแรงโทสะที่พยายามเก็บกลั้นรอเวลาที่จะได้อยู่กันตามลำพัง ในจดหมายของดารุณีเขียนเล่าสั้นๆว่า...หล่อนถูกญาติสาวที่มองภายนอกดูสะสวยอ่อนหวานร้องขอให้จากไป เพราะต้องการแต่งงานกับเขาเสียเอง หล่อนเห็นแก่มารดากับน้าชายและความรักต่อญาติผู้น้องจึงตัดใจจำจากเขาไป...
“อะไรกันคะ ว่าฉันแย่งคนรักใคร”
เจ้าของร่างที่นั่งกองอยู่บนพื้นเหมือนกองผ้าลูกไม้สีขาวสะอ้าน คลำใบหน้าข้างที่ถูกเขาปาก้อนกระดาษมาถูกตรงๆ แม้จะเจ็บมากแต่ก็ไม่เจ็บเท่าคำพูดหยาบกระด้างของเขาที่กำลังทำให้เธอแปลกใจและงุนงงจัด
“หยุดทำหน้าใสซื่อซะที นังผู้หญิงแพศยา จอมโกหก จอมหลอกลวง แสร้งทำหน้าซื่อตาใสไร้เดียงสาตบตาใคร เธออาจจะตบตาพ่อแม่ของฉันได้ แต่ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว”
นาราผงะมองผู้กล่าวคำผรุสวาทด่าว่าที่ยืนกำมือไว้ข้างตัวแน่น เสมือนพยายามฝืนความรู้สึกที่อยากจะฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าอันใสซื่อของตน ยิ่งฟังก็ยิ่งฉงนสงสัย
“ความจริงอะไรคะ ดิฉันไปโกหกหลอกลวงอะไร”
หญิงสาวเค้นเสียงออกมาจากลำคอตีบตัน เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เธอช็อก ไม่รู้ว่าเขากล่าวโทษเธอด้วยเรื่องอะไร ทำไมภีมะจึงเข้าใจว่าเธอเป็นแบบนั้น
“ยังจะมาเสแสร้ง อยากรู้ก็อ่านจดหมายนั่นดูสิ จะได้รู้ว่าฉันรู้ความจริงอะไร”
เขาชี้ไปยังก้อนจดหมายที่ตกอยู่ใกล้ตัวหญิงสาว เมื่อเห็นหล่อนยังนั่งมองงงๆ จึงเดินไปเก็บมายัดใส่ในมือให้อย่างกระแทกกระทั้นด้วยความรู้สึกหมั่นไส้แกมโมโห
“...เอ้า...อ่านดูซะ แล้วหยุดแสร้งตีหน้าซื่อใสเสียที”
เขาตะคอกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว คันไม่คันมืออยากจะบีบลำคอเรียวสวยให้หล่อนตายคามือนักเชียว แต่ก็ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้อ่อนแอกว่าที่สุภาพบุรุษชนอย่างเขาไม่เคยคิดจะทำกับหญิงคนใดมาก่อน
“พี่หนูดาเขียนถึงคุณภีมนี่คะ เธอไม่ได้บอกหรือว่า...”
นาราคลี่จดหมายยับยู่ยี่ออกอ่านด้วยอาการมือไม้สั่น แล้วสีหน้างงงันก็เปลี่ยนเป็นซีดไร้สีเลือดอย่างเร็วพลัน นี่มันอะไรกัน ทำไมดารุณีจึงเขียนจดหมายแบบนี้ ดารุณีจงใจโยนความผิดให้เธอหรือ นาราส่ายหน้าปฏิเสธข้อความในจดหมายพลางเงยหน้าขึ้นบอกแก่ผู้ที่ยืนตรงหน้า
“ไม่จริงนะคะ ดิฉันไม่ได้...”
แต่คำพูดของนาราต้องหยุดชะงักลงด้วยร่างสูงของภีมะตรงเข้ามากระชากตัวลุกขึ้นจากพื้นแล้วจับเขย่าแรงจนหัวสั่นหัวคลอนราวกับจะให้คนถูกเขย่าคอหักตายคามือ ก่อนจะผลักให้ผงะหงายอีกครั้ง แต่โชคดีที่คราวนี้เป็นเก้าอี้ยาวปลายเตียงที่บุนวมอ่อนนุ่ม คนถูกเหวี่ยงจึงเจ็บตัวน้อยลง
“ยังจะมาตีหน้าซื่ออยู่อีก เธอมันนังคนขี้อิจฉาทนเห็นดารุณีมีความสุขไม่ได้ใช่ไหม จึงใช้ความใจดีของดารุณีหลอกล่อให้ต้องจำใจทิ้งงานแต่งงานไป อยากได้ฉันนักใช่ไหม ได้ ฉันจะจัดให้สมใจเชียวละ”
ไฟโกรธรุมเร้าบังหูบังตาให้ภีมะไม่ฟังเสียงร้องปฏิเสธ ตรงเข้าฉุดกระชากร่างในชุดเจ้าสาวแสนสวยที่ยังนั่งงงอยู่บนเก้าอี้ลากถูลู่ถูกังมายัง
“ไม่ ไม่ใช่นะคะ คุณภีม คุณกำลังเข้าใจผิด ดิฉัน...”
เจ้าของเสียงเครือสั่นละล่ำละลักปฏิเสธ ก่อนร่างอรชร จะถูกร่างบุรุษสูงเพรียวถาโถมทับลงมาจนจุกแน่น แล้วปิดปากที่กำลังจะบอกความจริงด้วยจูบบดขยี้รุนแรงแสดงการลงโทษทัณฑ์มากกว่าความเสน่หา ริมฝีปากอิ่มอ่อนนุ่มถูกดูดเคล้าด้วยแรงโทษโทสะเจ็บระบมจนน้ำตาหยาดหยด และการพยายามขยับปากจะร้องท้วงกลับเป็นการเปิดทางให้เขาส่งลิ้นร้อนรสชาติแปลกปร่าล่วงล้ำเข้าควานหาความหวานจากอุ้งปากเล็กอย่างไม่สนใจการต่อต้านใดๆ
นาราตื่นตระหนกต่อการกระทำหยาบกระด้างจากผู้ที่ตนเคยชื่นชมว่าเป็นสุภาพบุรุษน่ายกย่องจากคำบอกเล่าของดารุณีญาติผู้พี่ที่มักจะมาบอกเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟังอยู่เกือบทุกวัน แต่บัดนี้ร่างสูงเพรียวอันหนักหนาทับกดตัวเธอเอาไว้ในท่าจับสองข้อมือยึดแน่นขึ้นวางเหนือศีรษะ แม้จะพยายามเบือนหน้าหลบการจูบรุกล้ำก็ไม่อาจหลีกหนีได้ถนัดถนี่ และทันทีที่ได้สัมผัสรสชาติจากจูบของเขาก็เหมือนพายุเสน่หาพัดส่งกระแสรุมร้อนวาบหวามแผ่ซ่านลามไหลไปทั่วร่าง และฉุดรั้งเรี่ยวแรงของเธอให้อ่อนล้าลงทุกที
“ดิ้นอีกสิ หยุดทำไม”
ภีมะเงยหน้าตะคอก แล้วก้มลงหาความหอมหวานที่เพิ่งผละจากมาด้วยอาการอยากลิ้มลองอีก การได้สัมผัสริมฝีปากอ่อนนุ่มเย้ายวนชวนให้เพลิดเพลินจนเขาหลงลืมตัวเฝ้าลิ้มรสรื่นรมย์อย่างซ่านใจ ยิ่งจูบลึกล้ำมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้เขากระหายอยากจะลิ้มชิมรสชาติอย่างนี้ไม่เลิกรา จากความตั้งใจจะลงโทษทัณฑ์การหยุดร้องต่อต้านจากลำคอและหยุดอาการดิ้นรนก็ยิ่งยั่วให้เขาจูบรุนแรงมากขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกลึกล้ำที่กำลังติดอกติดใจในรสชาติของการจูบผู้ที่ตนก่นว่าเป็นหญิงลวงโลก
“แม่จอมยั่วยวน จอมแพศยา...” เขาพึมพำ
ภีมะรับรู้ว่าการสัมผัสแนบชิดเนื้อตัวต่อกับนารากำลังก่อให้เกิดความปรารถนาลึกล้ำที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกการจูบการลูบไล้เนื้อนวลเรียบลื่นดั่งแพรไหม ยิ่งความรู้สึกพิศวาสปรารถนาในตัวเจ้าสาวรุนแรงมากเท่าไร ชายหนุ่มก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวต่อเจ้าของร่างงามเพิ่มขึ้นเท่านั้น
แต่แทนที่เขาจะผละห่างเจ้าของเรือนร่างเย้ายวนที่ตนก่นด่า เขากลับตะกองกอดแน่นมากขึ้นราวกับกลัวจะหลุดหายไป มือหนึ่งลนลานปลดเปลื้องอาภรณ์กีดขวางอย่างไม่แยแสกับการขัดขืนปัดป้องหรือคำวอนร้องขอใดๆ อยากรู้นักว่าเมื่อไร้อาภรณ์ห่มพันร่างกายหล่อนจะเป็นอย่างไร