บทที่ 5 (2)
นาราพรรณอึกอัก เธอลืมเรื่องภาพวาดเสียสนิท หลังจากวันที่เป็นลมมานอนพักที่ตำหนักของเจ้าชายชารีฟร์แล้วเธอก็ไม่รู้ว่าภาพวาดดงดอกกุหลาบอยู่ที่ไหน
“น้ำค้างถวายให้เจ้าชายชารีฟร์เรียบร้อยแล้วค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยบอกความจริงแค่เพียงครึ่ง เธอได้มอบภาพวาดให้เจ้าชายหนุ่มจริงๆ แต่เจ้าชายชารีฟร์จะสั่งให้องครักษ์เอาไปทิ้ง หรือเก็บไว้ที่หอศิลป์หรือเปล่าเธอก็ไม่อาจคาดเดาได้
ชายชรายิ้มแป้นด้วยความดีใจ สีหน้าที่ค่อนข้างซีดเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง เมื่อความปรารถนาของตนเองได้ประสบผลสำเร็จแล้ว
“ขอบคุณคุณหนูน้ำค้างมากๆ ที่ทำให้ความหวังของคนแก่คนหนึ่งเป็นจริงได้”
นาราพรรณยิ้มเจื่อนๆ ชายชราผู้นี้ยิ้มแป้นดีใจ จนทำให้เธอรู้สึกผิดที่โกหกเขาไปแบบนี้ “ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง น้ำค้างพอช่วยได้ ก็จะช่วย”
ชายชรายิ้มหน้าบานหุบไม่ลง ก่อนจะหยิบขวดเล็กๆ จีระไนอย่างสวยงามมายื่นให้หญิงสาวแสนสวย
“ลุงไม่มีอะไรตอบแทนน้ำใจของคุณหนู นอกจากน้ำหอมขวดเล็กๆ ที่ลุงสกัดขึ้นเอง”
“โธ่...คุณลุงไม่น่าลำบาก ทำมาให้น้ำค้างเลย”
นาราพรรณไม่กล้ารับสินน้ำใจจากอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะรังเกียจ แต่เป็นเพราะเธอทำให้ด้วยใจ ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน
“รับไปเถอะครับคุณหนูน้ำค้าง น้ำหอมขวดเล็กๆ ขวดนี้ อาจจะไม่มีราคาค่างวด แต่ลุงก็ตั้งใจทำมาให้คุณหนูโดยเฉพาะ”
ชายชราจับมือเล็กอีกข้างให้มาวางทับน้ำหอม แล้วพยักพเยิดเชิญชวนให้ดมกลิ่นน้ำใสๆ ที่บรรจุอยู่ข้างใน
“ลองดมกลิ่นดูหน่อยไหมครับว่าถูกใจหรือเปล่า หากคุณหนูน้ำค้างบอกว่าหอมถูกใจ ลุงจะได้สกัดขายหาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาเลี้ยงตัว”
นาราพรรณไม่อาจขัดศรัทธาของอีกฝ่ายได้ เพราะสีหน้าของชายชราเริ่มซีดลงทีละนิด เมื่อเห็นว่าเธอไม่ยอมทำตามที่ขอร้องสักที หญิงสาวเปิดจุกขวดน้ำหอมออก แล้วแตะน้ำหอมลงบนหลังมือตัวเองก่อนจะยกขึ้นมาดม
“อืม...กลิ่นหอมชื่นใจมากเลยค่ะคุณลุง หากจะผลิตน้ำหอมขายเมื่อไรบอกด้วยนะคะ น้ำค้างขอร่วมหุ้นด้วย”
หญิงสาวแตะน้ำหอมลงบนปลายนิ้ว ก่อนจะเอามาแต้มตรงลำคอและต้นแขนของตัวเอง พร้อมกันนั้นก็ได้เอ่ยถามถึงดอกไม้พืชพันธุ์ที่นำมาสกัดเป็นน้ำหอมกลิ่นชื่นใจ
“คุณลุงเอาดอกอะไรมาทำน้ำหอมคะ”
“ก็ดอกไม้ตามธรรมชาติ ที่พอจะหาได้ในดินแดนทะเลทรายอย่างอัลนูรีน ถ้าหากคุณหนูน้ำค้างบอกว่าชอบ เดี๋ยววันมะรืน ลุงจะเอามาให้อีกหลายๆ ขวด”
ชายชรายิ้มดีใจจนหุบไม่ลงเป็นปลื้มที่หญิงงามยกน้ำหอมขึ้นมาดมอีกครั้ง
“คุณน้ำค้างคะ อยู่ไหนคะ ราชินีให้เรียกแล้วค่ะ”
นาราพรรณยังไม่ได้เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธชายชราก็มีเสียงของนะญาตะโกนเรียกเสียก่อน
“ค่ะ อยู่นี่ค่ะ น้ำค้างจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
หญิงสาวตะโกนตอบนะญาหญิงรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของพี่สาว ก่อนจะหันมาเอ่ยบอกเพื่อนต่างวัยที่ตีสีหน้าเสียดายเมื่อเวลาในการสนทนากันนั้นมีน้อยเหลือเกิน
“น้ำค้างต้องไปก่อนนะคะ สงสัยพิธีอภิเษกกำลังจะเริ่มแล้ว”
“ลุงก็ต้องไปเหมือนกัน คุณหนูรีบไปเถอะครับ ท่าทางหญิงรับใช้จะออกมาตามแล้ว”
ชายชราบุ้ยปากไปทางด้านหลัง พลางขยับกายเข้าหาพุ่มไม้ใ ห้ช่วยอำพรางตัว เมื่อเห็นหญิงรับใช้กำลังเดินลงมาที่สวนดอกไม้
“ถ้างั้นน้ำค้างไปก่อนนะคะ น้ำค้างดีใจที่ได้พบคุณลุงอีกครั้ง”
นาราพรรณเอ่ยบอกพร้อมกับหันหลังกลับเดินเร็วๆ เกือบเป็นวิ่งไปหานะญา ที่กำลังตีหน้ามุ่ยเตรียมพร้อมที่จะเอ็ดเธอเต็มที่
“คุณน้ำค้างคุยกับใครอยู่คะ นะญาเรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่ได้ยิน”
นาราพรรณยิ้มหวานนำทัพ ด้วยรู้ดีว่ารอยยิ้มของเธอสามารถละลายความโกรธเคืองของผู้อื่นมาได้แล้ว แม้แต่พี่สาวทั้งสองเวลาโกรธหรืองอน หากเจอรอยยิ้มหวานๆ ของเธอก็มีอันต้องหายโกรธทุกที
“น้ำค้างไปคุยกับเพื่อนมาค่ะ น้ำค้างขอโทษที่ทำให้นะญาเสียเวลาตามหา”
นะญาอดที่จะยิ้มตอบไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยต่อว่าไม่จริงจังนัก “คุณน้ำค้างนี่มีรอยยิ้มเป็นอาวุธจริงๆ”
นาราพรรณโอบแขนไปรอบเอวของหญิงรับใช้ ก่อนจะตอบรับเสียงกลั้วหัวเราะ “พี่น้ำเหนือกับพี่น้ำหนาวก็พูดแบบนี้บ่อยๆ ไปกันเถอะนะญา พี่ๆ เขารอน้ำค้างนานแล้ว”
ภายในท้องพระโรง สถานที่จัดพิธีอภิเษกเต็มไปด้วยเหล่าข้าราชการบริพาร และแขกทูตานุทูตจากหลายๆ ประเทศ ที่ได้มาพำนักอยู่ในอัลนูรีนซึ่งได้รับเกียรติ เชิญให้มาเป็นสักขีพยานในพิธีอภิเษกอันยิ่งใหญ่
เจ้าชายฮารีฟร์ อัล ริฟาอีลส์ อยู่ในชุดฉลองพระองค์เต็มยศดูสง่าผึ่งผาย สมกับเป็นประมุขแห่งแผ่นดิน ด้านข้างกายก็มีอนุชาทั้งสองพระองค์ที่อยู่ในเครื่องประดับแต่งกายเต็มยศฐาบรรดาศักดิ์เช่นเดียวกัน สักขีพยานทุกท่านรวมถึงคุณกมล ป้าจัน ญาติผู้ใหญ่ของว่าที่ราชินีนีราพรรณ ต่างก็พากันชะเง้อมองหา เมื่อไรว่าที่ราชินีผู้งดงามจะเข้ามาในท้องพระโรงสักที
อีกไม่กี่นาทีต่อมาเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ก็ดังขึ้น ต่างก็กล่าวขานถึงความสง่างามของหญิงงามแห่งสยามทั้งสามที่กำลังเดินเข้ามาในท้องพระโรง ความสวยงามที่แตกต่างตามแบบฉบับของแต่ละนวลนาง สร้างความตกตะลึงให้แก่บุรุษชาติอาหรับได้เป็นอย่างมาก
“งดงามเหลือเกินน้ำเหนือ เจ้าเหมือนท่านแม่ของเราไม่มีผิด”
เจ้าชายฮารีฟร์ผุดลุกเดินขึ้นเข้าไปประคองราชินีไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับประทับจุมพิตรับขวัญลงกลางกระหม่อมบาง
“เจ้าชายก็หล่อเหมือนกันค่ะ สมกับที่เป็นประมุขแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่” นีราพรรณยิ้มหวานยกมือขึ้นลูบไล้ทั่วแผงอกกว้างเอ่ยชมพระสวามีอย่างเอียงอาย
“พระองค์พะยะค่ะ ได้ฤกษ์สวมมงกุฎให้ราชินีแล้วพะยะค่ะ”
โหรหลวงผู้คร่ำหวอดในพิธีโบราณของอัลนูรีน ได้เอ่ยบอกเจ้าเหนือหัวทั้งสองซึ่งกำลังแย้มยิ้นให้แก่กันอย่างมีความสุข
เจ้าชายฮารีฟร์ประคองร่างบอบบางให้เดินไปที่ราชบัลลังก์ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแล้วหยิบมงกุฎซึ่งประดับประดาด้วยอัญมณีน้ำงามคัดเป็นพิเศษ สวมลงไปบนศีรษะกลมทุยของนีราพรรณ ตามด้วยการเจิมลงไปบนหน้าผากมนและสวมแหวนทับทิมประจำยศแห่งการเป็นประมุขของประเทศ ลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายของราชินีซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีดังเดิม ที่สืบทอดกันมาสำหรับเจ้าชายแห่งอัลนูรีนทุกพระองค์ ที่ต้องมอบแหวนประจำกายให้กับอิสตรีที่ตนเองได้เลือกให้เป็นคู่ชีวิต
พิธีการอภิเษกสมรสที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์มีมนต์ขลัง ได้เรียกน้ำตาของดอกไม้งามอย่างนาราพรรณให้หยดแหมะลงมาตามร่วงแก้มทั้งๆ ที่ยังคงแย้มยิ้มกว้างด้วยความประทับใจ
นาราพรรณได้เดินไปหยิบเครื่องดื่มติดมือมาหนึ่งแก้ว แล้วออกมารับอากาศเย็นสบายหอมกลิ่นดอกไม้นานาพรรณอยู่ด้านนอกพระราชวัง เมื่อพิธีการอภิเษกสมรสเสร็จสิ้นลง หลังจากมีเรื่องโกลาหลขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากแฝดพี่ของเธอเป็นลม และหมอหลวงได้แจ้งข่าวดีว่า นาราภัทรกำลังตั้งท้องอ่อนๆ ทุกคนในท้องพระโรงต่างก็ได้ดื่มอวยพรแสดงความยินดีแบบเรียกว่าคูณสอง นอกจากจะยินดีกับประมุขและราชินีคนใหม่แล้ว ยังได้ร่วมยินดีที่จะมีพระโอรสหรือพระธิดาองค์น้อยของเจ้าชายซารีฟร์กับนาราภัทร ที่จะถือกำเนิดในวันข้างหน้า
“อากาศสดชื่นเย็นสบาย เหมาะแก่การวาดภาพเปลือย เจ้าว่าไหมน้ำค้าง”
นาราพรรณหันขวับไปมองคนที่มาทรุดตัวลงนั่งแนบชิด จนแทบจะเกยมาบนร่างเล็กของเธออย่างเคืองๆ พอมองสบตากับเจ้าชายหนุ่มก็มีอันต้องอายหน้าแดงซ่าน ร้อนผ่าวไปทั้งตัว กับสายตาที่ทอดมองอย่างจาบจ้วงเผยแววปรารถนาให้เห็นอย่างชัดเจน
“ไม่มีที่จะนั่งหรือไงเจ้าชายชารีฟร์”
หญิงสาวข่มความอายด้วยการตวาดแว้ดคนตัวใหญ่ที่กำลังยิ้มกริ่ม ลอยหน้าลอยตาหยิบเครื่องดื่มมาดื่มเฉยโดยไม่สนใจคำร้องประท้วงของเธอ
“นั่งชิดกันแบบนี้แหละอบอุ่นดี เป็นการสร้างความคุ้นเคย ก่อนที่เจ้าจะเป็นนางแบบเปลือยให้เราด้วย”
เจ้าชายชารีฟร์ตอบยิ้มๆ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อน กับดวงตากลมโตที่กำลังจ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เชิญอบอุ่นไปคนเดียวเถอะ น้ำค้างไม่เอาด้วยหรอก”
นาราพรรณต่อว่าเสียงแข็งพลางลุกขึ้นยืน แต่ไม่ทันได้เดินหนีดังที่ใจนึก ร่างบางหอมกรุ่มก็ถูกคว้าให้ทรุดตัวลงนั่งเหมือนเดิม เพียงแค่คราวนี้ไม่ได้นั่งบนม้านั่ง แต่เปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นหน้าตักแข็งแกร่งของเจ้าชายชารีฟร์แทน
“เจ้าสวยมากเลยน้ำค้าง ยิ่งสวมชุดประจำชาติของเรายิ่งงดงามราวกับนางในวรรณคดี”
เจ้าชายหนุ่มกระซิบชมแนบกับลำคอหอมกรุ่น แล้วเลาะเล็มตักตวงความหวานทั่วสันคาง ก่อนจะใช้พละกำลังที่มีมากกว่าบังคับให้นาราพรรณหันมารับจุมพิตหวานเร่าร้อนจากตนเอง
นาราพรรณเคลิ้บไปกับรสเสน่หาเป็นนาน กว่าจะสามารถหลุดจากการจองจำของริมฝีปากอุ่นที่ปลุกให้อารมณ์รักของเธอลุกซู่จนสั่นสะท้านไปทั่วเรือนร่าง
“ไม่ต้องมาชมให้เมื่อยหรอกเจ้าชายชารีฟร์ ยังไงน้ำค้างก็ไม่เป็นแบบเปลือยให้เจ้าชายแน่นอน”
“ไม่เป็นแบบเปลือยตอนนี้ก็ไม่เป็นไร เอาไว้เจ้าหลับคาอกเราเมื่อไร เราจะจดจำเรือนร่างที่งดงาม ส่วนเว้าส่วนโค้งของเจ้าไว้ในหัวสมอง แล้วเอามาถ่ายทอดลงบนแผ่นผ้าอีกที”
เอ่ยพูดเป็นปริศนาแล้ว เจ้าชายจอมเจ้าเล่ห์ก็ซ่อนรอยยิ้มไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย ขณะทอดสายตามองคนในอ้อมแขนซึ่งกำลังตีสีหน้างุนงง
“ที่พูดเมื่อสักครู่หมายความว่าอย่างไรกันเจ้าชายชารีฟร์”
นาราพรรณถามเสียงแข็ง ชักจะหวาดๆ เสียวสันหลังวาบ กับคำพูดและความคิดของอีกฝ่ายขึ้นมาเสียแล้ว
เจ้าชายชารีฟร์หัวเราะร่วน ไม่ยอมเอ่ยขยายความ ตรงกันข้ามกลับยิ่งสร้างปริศนาให้กับสาวน้อยแสนหวานของตนเองอีกครั้ง
“ถึงวันสถาปนาเจ้าเป็นขนิษฐาของท่านพี่ฮารีฟร์กับท่านพี่ซารีฟร์ แล้วเจ้าก็จะได้รู้เอง”
“เจ้าชายชารีฟร์! อย่ามาทิ้งปริศนาให้คิดแบบนี้นะ”
นาราพรรณต่อว่าเสียงดัง พอเจ้าชายชารีฟร์แสร้งเดินหนีเธอก็เดินตาม พยายามเค้นเอาคำตอบให้ได้ แต่คนตัวใหญ่แสนเจ้าเล่ห์ก็ปากหนักเหลือเกิน ไม่ว่าหญิงสาวจะตามติดต้อยๆ ราวกับลูกน้อยกลัวผลัดหลงจากผู้ใหญ่ เพื่อเค้นเอาคำตอบมากเพียงใด เจ้าชายชารีฟร์ก็ไม่ยอมปริปากพูดแม้แต่คำเดียว