EP 5
พลอยหยกหันขวับไปมองเขาทันควันเมื่อเอาวิญญาณของผู้จากไปมาอ้าง แม้แฟนหนุ่มจะไม่ค่อยเป็นคนชอบเล่าเรื่องในบ้านให้ฟัง แต่ตอนจีบกันใหม่ๆ จำได้ว่าเขาเคยบอกเหตุผลที่ต้องเรียน IR และทำไมต้องมาเรียนในเมืองไทยแทนที่จะเป็นอังกฤษหรืออเมริกาเลย
“คุณแม่กับคุณย่าช็อกที่คุณปู่กับคุณพ่อจากไปไวและในเวลาไล่เลี่ยกัน อานีลไม่อยากให้เราแยกไปอยู่ที่อื่น อีกอย่างเราก็ใจแป้วเหมือนกันตอนท่านทั้งสองจากไปใหม่ๆ เลยตัดสินใจกลับมาเรียนในเมืองไทยไง แล้วก็คุ้มค่ากับการมา เพราะทำให้เราเจอหยกไงล่ะ”
ปลัมน์เองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าคำพูดตัวเองทิ่มแทงหัวใจเด็กสาวจืดชืดเข้าให้แล้ว
“เอ่อ! ผมเสียใจถ้าคำพูดตรงๆ ของผมทำให้คุณรู้สึกไม่ดี แต่ผมจำเป็นต้องพูด ขอย้ำว่าการที่ราฟฟ์แต่งงานเร็วเกินไป และกับผู้หญิงที่จะไม่ช่วยทำให้เขาก้าวขึ้นไปแตะอาชีพนี้ง่ายนักอย่างคุณ ฉะนั้นพวกเราถึงยังไม่อยากให้เขามีใครตอนนี้ หรือถ้ามีก็ไม่น่าจะเป็นคุณ น่าจะเป็นลูกทูตที่ไหนสักคนหรือข้าราชการระดับสูงในวงการทูต และแน่นอนว่าแม่ของราฟฟ์หมายตาไว้ให้แล้ว”
พลอยหยกสะอึกในคำพูดตรงไปตรงมาและไม่รู้จักรักษาน้ำใจของเขาจนพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
“ขอโทษนะที่ผมต้องพูดตรงๆ แต่ผมเห็นว่าระหว่างเราไม่ควรจะอ้อมค้อม เราควรจะบอกว่าเราต่างต้องการอะไรออกมา เรื่องจะได้จบแบบง่ายๆ สวยๆ ไม่เจ็บทั้งสองฝ่าย”
“คุณคงไม่รู้จักความรัก หรือไม่เคยรักใครมาก่อน คุณถึงพูดได้ว่าการที่จะต้องเดินจากคนรักไปนั้นมันจะไม่เจ็บ”
“ผมคิดว่าเงินน่าจะรักษาหรือช่วยให้ความเจ็บของคุณลดน้อยลงบ้าง หนึ่งล้านสดๆ เดี๋ยวนี้ก็ได้ถ้าคุณตกลงหลีกทางให้ราฟฟ์ไปมีชีวิตที่ดีกว่า ขอโทษอีกครั้ง! ผมมีเวลาน้อยเต็มที คุณต้องตอบผมมา”
เขายกนาฬิกาข้อมือดูเป็นเชิงกดดันให้สาวน้อยตรงหน้าต้องตัดสินใจ
“ต่อให้เงินเท่าไหร่ฉันก็ไม่มีวันขายความรัก ขายหัวใจตัวเองหรอก เชิญคุณกลับไปได้ ฉันไม่สนไม่ว่าคุณจะเสนอเท่าไหร่ก็ตาม แล้วกรุณาอย่ากลับมาที่นี่อีก”
พลอยหยกเดินหนีจากเขาอย่างไม่คิดจะรักษามารยาทใดๆ ด้วยซ้ำ และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาแปลกใจอะไรนักหนา เพราะเดาออกว่าแม่คุณคงจะเล่นตัวเพื่อเรียกเงินเพิ่ม หรือไม่ก็อาจจะเอาคำของเขาไปฟ้องแฟนหนุ่ม ทีนี้บ้านของเขาก็คงจะลุกเป็นไฟไม่เกินพรุ่งนี้เช้าแน่ๆ
“คุณแม่จะเอายังไงในเรื่องที่ผมขอครับ ผมรอคำตอบอยู่ ถ้าให้เราสองคนแต่งงานกันได้ ผมจะไม่ให้หยกหางานที่ไหนอีก แต่เตรียมตัวไปเรียนต่อที่อเมริกาด้วยกันเลย”
แต่ก็ผิดคาดไปนิด ที่ตอนสายๆ ในสองวันถัดมาหลานชายยังอารมณ์ดีไม่มีทีท่าว่าจะรู้ในเรื่องที่เขาทำ นั่นแปลว่าเด็กสาวก็ไม่ใช่คนขี้ฟ้องสักเท่าไหร่
“ลูกแน่ใจแล้วเหรอราฟฟ์ แม่ว่ารอสักหน่อยไม่ดีกว่าเหรอ ลูกเพิ่งยี่สิบสองเองนะ”
ปลัมน์สังเกตเห็นแววกลัดกลุ้มของพี่สะใภ้ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
“แน่ใจที่สุดครับ ผมกับหยกรักกัน เราเข้ากันได้ดีในทุกๆ เรื่อง หยกจะเป็นภรรยาที่ดีของผมได้ครับ ถ้าคุณแม่ยอมให้ผมแต่งงาน ผมรับรองว่าผมจะตามใจคุณแม่ทุกอย่างเลยครับ จะให้เรียนโท หรือดอกเตอร์หรืออะไรก็แล้วแต่ได้หมด”
ปริญเห็นท่าทีอ่อนลงของแม่ก็เริ่มมีความหวัง
“แต่ฐานะทางสังคมของเรากับแฟนหลานต่างกันมากนะ ย่ากลัวจะมีปัญหาทีหลัง”
คุณอุ่นเรือนเห็นหลานแทบจะตีปีกบินให้ได้ เลยรีบเตือนกลายๆ อย่างคนพยายามใจเย็น
“เงินเรามีมากมายใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด เราก็สามารถทำให้ฐานะทางบ้านหยกดีขึ้นได้ด้วยการชวนลงทุนทำอะไรสักอย่างไงครับ ส่งออกกล้วยไม้หรือดอกอะไรก็ได้ไม่เห็นจะยากเลย ตากับแม่ของหยกเก่งเรื่องนี้ ถ้าเราช่วยสนับสนุนรับรองว่าอีกไม่นานก็รวยทัดเทียมครอบครัวอื่นได้แล้วครับ จริงมั้ยครับอานีล”
หลานหันไปหาเสียงสนับสนุนคนที่ดูจะเป็นคนมีเหตุมีผลกว่าใครในบ้าน ปลัมน์ไม่อยากสบตาหลานนักเลยหันไปหาพี่สะใภ้กับแม่ที่ส่งสีหน้าไม่สบายใจและรอคำตอบจากเขาว่าจะเอายังไงกันแน่
เขาเกลียดเวลานี้จริงๆ เวลาที่ทุกอย่างต้องมาตกอยู่กับเขาคนเดียว ทุกคนเห็นเขาเป็นทูตในบ้านหรือยังไงนะถึงได้มอบหน้าที่นี้ให้อยู่ได้
“อืม! ความคิดของนายก็เข้าท่านี่ งั้นลองมาดูกันว่าเราจะพาแฟนนายมาเข้ากับสังคมอย่างพวกเราได้มากน้อยแค่ไหน เริ่มจากงานเลี้ยงเปิดโรงแรมใหม่เป็นไง หรือจะเป็นไปล่องเรือด้วยกันสักทริปดีไหม ให้ชวนครอบครัวแฟนนายมาด้วย”
“จริงเหรอครับอา”
เขาเห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของหลานอย่างเปิดเผยในทันที และเขาก็เห็นท่าทีเป็นกังวลของแม่กับพี่สะใภ้ได้ในเวลาเดียวกันด้วย
“ฉันเคยหลอกนายด้วยเหรอ”
“ขอบคุณครับอานีล งั้นผมจะพาหยกและทุกคนที่บ้านไปงานเปิดโรงแรมของเรานะครับ ส่วนล่องเรือต้องขอดูก่อนว่าจะว่างหรือเปล่า เดี๋ยวผมไปข้างนอกนะครับ”
อีกครั้งที่เขาเห็นหลานดีใจจนออกนอกหน้า แล้วผละจากห้องนั่งเล่นไปอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าจะไปไหนได้นอกจากบ้านแฟน
“ลูกกำลังทำอะไร นี่น่ะเหรอคือแผนที่ลูกจะแยกสองคนนั้นออกจากกัน แม่ว่าไม่น่าจะเข้าท่านะ” คุณอุ่นเรือนส่งสีหน้าไม่พอใจไปหาลูกทันที
“นั่นสินีล พี่ไม่เห็นด้วยเลยที่ทำแบบนี้ รังแต่จะทำให้สองคนนั้นใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกต่างหาก เรายิ่งจะแยกให้ออกห่างกันยากขึ้นนะ”
แต่คนมองการณ์ไกลและเคยได้สัมผัสกับคนทุกรูปแบบทุกฐานะ โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างเขาด้วยแล้ว กลับมองว่านี่เป็นหนทางเดียวที่พอจะมองเห็น ‘หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง’