บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 6 หน่อไม้ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ 2

ต้าผางเดินมาหยุดด้านหน้าลูกสาว เขาดึงแขนนางเบาๆ ก่อนจะลากนางไปอีกมุม

“บอกพ่อมาว่ามันเกิดอันใดขึ้น คันโยกน้ำนี้มาจากไหน แล้วก็หน่อไม้นั่นอีก”

ต้าผางจ้องใบหน้าที่มีรอยแดงตรงหางตาของบุตรสาวอย่างคาดคั้น

“ท่านพ่อ หากข้าบอกว่าข้าได้รับพรหลังจากความตายมา ท่านจะเชื่อข้าหรือไม่”

คำถามที่ออกจากปากม่านหรงมานั้น ทำให้ผู้เป็นพ่อชะงักไปชั่วขณะ

‘พรหลังจากความตายหมายความว่าเช่นไร’

ต้าผางใจหายเหมือนหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม

“เจ้าพูดออกมาให้ชัดเจน พรหลังความตายคืออันใด”

ต้าผางบีบแขนลูกสาวแถมยังจ้องนางไม่วางตา

“ท่านพ่อ! ข้าจมน้ำตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่รอดกลับมาได้พร้อมกับพรหนึ่งข้อ”

ในเมื่อม่านหรงต้องอยู่กับครอบครัวนี้อีกนาน แม้นนางจะปกปิด สักวันก็ต้องถูกจับได้ ดังนั้นนางจึงพูดลองเชิงผู้เป็นพ่อดู

“เจ้าจะบอกพ่อว่า เจ้าได้สิ้นใจไปในตอนที่จมน้ำงั้นหรือ?”

ต้าผางหัวใจกระตุกฮวบ มือที่บีบแขนม่านหรงอยู่ก็พลันปล่อยวาง

ลูกสาวของเขาตกน้ำตายไปแล้ว และนางฟื้นขึ้นมาจากความตายงั้นหรือ

‘เรื่องพันนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?’

ต้าผางเหม่อลอยพลางคิดเข้าข้างตนเองว่ามันไม่จริง และไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้

ยังไม่ทันที่ต้าผางจะมีความคิดตีกันจนพันมั่วซั่ว ม่านหรงก็บอกออกมาว่า พรที่นางได้รับมานั้นไม่แน่ไม่นอน

ม่านหรงหลับหูหลับตาพูดโป้ปดคำโต ว่า พรของนางทำให้นางสมปรารถนาได้ ซึ่งตอนที่นางมาถึงที่แห่งนี้นางต้องการแหล่งน้ำและอาหาร นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าคันโยกนั่นโผล่ขึ้นมาเองกลางอากาศ จากนั้นพอนางขึ้นเขาก็ได้รับหน่อไม้มาอย่างที่เห็น

ไป๋ต้าผางได้แต่มองลูกสาวตาละห้อย ความตายมันต้องน่ากลัวมากแน่ๆ เพียงแค่เขากลั้นหายใจช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็เหมือนกับตกนรกในชั่วพริบตา แต่ลูกสาวของเขานางกลับยิ้มหน้าระรื่น แถมยังบอกเขาอีกว่านางได้ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะฟื้นขึ้นมายังได้รับพรจากเจ้าแห่งนรกกลับมาด้วย

นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!!

แต่หากคำของนางเป็นจริง ไม่สิ! มันต้องเป็นจริงแน่ๆ ไม่เช่นนั้นคันโยกนี้จะโผล่ขึ้นมาได้อย่างไร แถมยังมีหน่อไม้มากมายจนหลิวเหยาทำหน้าตาตื่นเช่นนั้นอีก

“ลูกพ่อ เจ้าได้บอกเรื่องนี้กับแม่ของเจ้าหรือยัง”

ต้าผางย่อตัวลงต่อหน้าลูกสาวพลางหันไปทางหลิวเหยาเล็กน้อย พอเห็นว่าม่านหรงส่ายหน้า ใจที่หนักอึ้งของต้าผางก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย

หากหลิวเหยารู้ว่าลูกที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจเพียงหนึ่งเดียว ได้สิ้นใจไปแล้วครั้งหนึ่ง นางจะต้องโทษตนเองว่าดูแลลูกได้ไม่ดีพออย่างแน่นอน

“เรื่องที่เจ้าตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าห้ามเล่าให้ใครฟังเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่ หากมีคนรู้เข้าพวกเขา…”

“ข้ารู้! พวกเขาจะมองว่าข้าเป็นตัวประหลาด ทั้งยังอัปลักษณ์”

ม่านหรงพูดคำสุดท้ายก่อนจะก้มหน้ามองดิน แค่ใบหน้ามีปานแดงคนก็ครหาว่าไม่ดี ถ้าเป็นยุคของข้านะ ใบหน้ามีปานเช่นนี้มันเป็นจุดเด่นในการหางานและเรียกร้องความสนใจได้ด้วยซ้ำ ม่านหรงถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

“เจ้าไม่ได้อัปลักษณ์หรอกนะ เจ้าเพียงแค่ถูกแต่งแต้มมาจากสวรรค์ เอาล่ะ เจ้ากลับไปหาแม่ของเจ้าเถอะ”

ต้าผางปล่อยมือจากบุตรสาว แล้วให้นางกลับไปหาหลิวเหยา สายตาที่ว่างเปล่าของต้าผางมองตามแผ่นหลังน้อยๆ แล้วเกิดความรู้สึกหดหู่ใจ ความตาย มันต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ ถึงจะไม่รู้ว่ามันเป็นเช่นไร แต่คงทรมานปานขาดใจยากคาดเดา

ร่างสูงใหญ่ของต้าผางลุกขึ้นยืนน้ำตาสายหนึ่งก็ไหลลงอาบแก้มอย่างห้ามไม่อยู่ เขาทำได้เพียงแต่รีบปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติทันทีที่ม่านหรงหันกลับมามอง เขาส่งยิ้มอ่อนให้กับนางพลางคิดในใจว่า ต่อไปพ่อจะไม่ตำหนิเจ้าแล้ว เป็นพ่อเองที่ทำไม่ดีต่อเจ้า พ่ออยากสอนสั่งเจ้า แต่พ่อกลับเอาแต่ก่นด่าเจ้าทุกวี่วัน จากนี้ พ่อจะสงบปากหมาๆ ของพ่อ และค่อยๆ สอนสั่งเจ้าใหม่ หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาเรื่องที่ผ่านมาที่พ่อคนนี้กระทำลงไปโดยไม่ยั้งคิด

ต้าผางคิดถึงฝีปากวาจาร้ายๆ ที่เขาเคยบ่นต่อว่าให้ม่านหรง ยิ่งคิด ก็ยิ่งเหมือนมีอะไรบางอย่างมารวมกระจุกกันอยู่ที่คอหอย จะกลืนก็กลืนไม่ลง ครั้นจะอ้าปากกล่าวขอโทษก็พูดไม่ออก

“ด้านบนยังเหลือหน่อไม้อีกเยอะเลยงั้นหรือ?”

โจวเหวินหลงเลิกคิ้วถามหลิวเหยาถึงเขาจะมีความสงสัย แต่หลิวเหยาคงไม่พูดเท็จกับเรื่องแบบนี้

“เจ้าค่ะ บนเชิงเขายังมีหลงเหลืออยู่อีกมาก หากเดินสอดส่องดูดีๆ บางทีอาจจะเก็บลงมาได้มากกว่าที่ตาเห็น”

ไป๋หลิวเหยายิ้มไม่หุบ พอเห็นบุตรสาวเดินกลับมาทางตน นางก็เอ่ยถามว่ามื้อเย็นอยากกินอะไร

ไป๋ม่านหรงอมยิ้ม พอเห็นมารดายิ้มกว้างใจของนางก็พลันมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

“ตอนท่านแม่ออกจากบ้านหลัก ไม่มีหม้อ กระทะ หรือแม้แต่ถ้วยชามเลยไม่ใช่หรือไม่”

ม่านหรงถามก่อนจะแสร้งมองไปที่เกวียนลา

“ตอนนั้นแม่รีบมากก็เลย…”

ไป๋หลิวเหยาเกาหัวอย่างเขินอาย ในเวลานั้นนางมัวแต่ห่วงใยบุตรสาวที่หมดสติไป ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปห่วงเรื่องอื่นได้อีก

“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าจะพาเจ้ากลับไปเก็บของใช้ เอ่อ… ม่านหรง ข้าว่าเจ้ารั้งอยู่กับบิดาของเจ้าน่าจะดีกว่า หากเจ้าตามติดไปด้วย ท่านย่าของเจ้าคง…”

โจวเหวินหลงหันไปบอกม่านหรงที่ยืนข้างมารดาแล้วไม่อยากพูดต่อ

“ข้ารู้เจ้าค่ะ ข้าจะรอท่านแม่กลับมา”

ม่านหรงไม่ได้บ่นอิดออดร้องงอแงตามไป นางเพียงแค่กำชับมารดาไปว่าต้องนำเครื่องครัวมาด้วย โดยเฉพาะเครื่องปรุงอาหาร

“ได้สิ แม่จะรีบไปแล้วรีบกลับมานะ”

ไป๋หลิวเหยาลูบหัวบุตรสาว พลางหันไปพยักหน้าบอกสามีที่เดินมาสมทบทีหลัง

“ไปเถอะ หากเป็นไปได้เจ้าก็เก็บผ้าห่มและที่หลับที่นอนมาด้วยล่ะ”

ต้าผางหันไปบอกเมียรัก เพราะสิ่งที่เขานำมาด้วยตอนแรกมีเพียงแต่เสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นเพียงเท่านั้น

“ท่านแม่ก็ขนมาทุกอย่างเลยสิเจ้าคะ แต่ถ้าจะให้ดี ก็ให้ท่านพ่อไปด้วยน่าจะเหมาะสมกว่า แบบนั้น พวกท่านถึงจะเก็บสัมภาระออกมาได้อย่างสะดวกใจ”

ม่านหรงหันไปทางบิดา

“ม่านหรงพูดมาก็ถูก ข้าไปก็ช่วยอะไรมากไม่ได้ เช่นนั้นเจ้ากับหลิวเหยาก็กลับไปเก็บของที่เหลือมาเถอะ ส่วนทางนี้ข้าจะคอยดูให้”

โจวเหวินหลงหันไปมองม่านหรงก่อนจะยิ้มบางๆ

“รีบไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน”

ม่านหรงเห็นท่านพ่อกับท่านแม่ลังเล จึงรีบดันหลังทั้งสองแล้วบอกให้พวกท่านรีบไปรีบกลับ

“ท่านลุงไม่สร้างที่พักต่อหรือเจ้าคะ”

ทันทีที่ต้าผางบังคับเกวียนลาจากไป ม่านหรงก็เอียงคอถามท่านลุงโจวที่ยืนเท้าสะเอวมองตามพวกเขาตาปริบๆ

“นั่นสินะ งั้นเจ้าก็เล่นแถวๆ นี้ ห้ามไปไหนไกลเสียล่ะ”

เหวินหลงก้มลงมองหลานสาวที่สูงถึงช่วงอก และส่งยิ้มให้นางเล็กน้อย

‘ในที่แบบนี้ ท่านจะให้ข้าไปที่ใดได้อีก’ ม่านหรงถอนหายใจออกมาก่อนจะแอบคว่ำปากเล็กน้อย

“ข้าจะช่วยท่านลุงอีกแรงเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ที่พักเสร็จเร็วๆ”

ไป๋ม่านหรงไม่พูดเปล่า นางเดินตรงดิ่งไปยังที่พักที่กำลังสร้าง แล้วหยิบจับนั่นนี่ช่วยท่านลุงโจวอย่างไม่ปริปากบ่น

โจวเหวินหลงอมยิ้ม เขาแอบชำเลืองมองม่านหรงเป็นพักๆ และเกิดความคิดในใจว่า จริงๆ แล้วม่านหรงนางก็รู้ความ แถมยังรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ใครกันนะที่เป็นคนพูดชักนำผู้คนให้คิดร้ายกับนางแบบนั้น

“ลุงโจวเจ้าคะ ข้าอยากได้เตียงอีกหนึ่งเตียง แล้วก็ยังอยากได้ห้องส่วนตัวเป็นของตัวเอง ท่านลุงช่วยทำห้องเล็กๆ อีกห้องให้ข้าได้หรือไม่”

ม่านหรงหันไปพูดกับโจวเหวินหลง สายตาของนางมีความอ้อนวอนหลายส่วน

โจวเหวินหลงเห็นเช่นนั้นก็พยักหน้ารับ เขาบอกม่านหรงไปว่า หากทำหลังคามุงหญ้าเสร็จ เขาจะทำห้องเล็กๆ ให้กับนาง

ม่านหรงนี่ช่างเป็นเด็กรู้ความเสียจริง ข้าได้ยินมาว่าที่บ้านหลังนั้น ทั้งพ่อกับแม่รวมถึงตัวนางเองนอนรวมกันอยู่ในห้องเดียว นางคงเห็นใจพ่อแม่กระมัง จึงอยากให้พวกเขามีวันคืนดีๆ บ้าง

…ไม่นาน ต้าผางก็กลับไปถึงบ้านแล้วทำการขนย้ายเสื้อผ้าที่นอน รวมทั้งจาน ชาม หม้อ ถัง กะละมังไม้ ขึ้นเกวียนลา

ในตอนแรกหลิวเหยาจะไปขอแม่สามีแบ่งเครื่องปรุงมาใช้สอย แต่ไป๋ฟางเยว่ผู้เป็นย่ากลับบอกว่า เครื่องปรุงส่วนมากเป็นม่านหรงที่นำออกไปให้คนนอกจนจะหมดแล้ว หากจะแบ่งก็แบ่งเกลือไปสักถุง อย่างน้อยๆ อาหารจะได้มีรสชาติบ้าง

พอหลิวเหยาได้ฟังคำของแม่สามี นางก็นึกถึงเมื่อคราวที่ลูกสาวหลงผิดจนถูกล่อลวง นางได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิดแทนบุตรสาว ก่อนจะแบ่งเอาเกลือมาหนึ่งถุงตามคำของแม่สามีและไม่กล้าหยิบจับสิ่งอื่นมาอีก

“ในเมื่อได้ของครบแล้ว พวกเจ้าก็รีบไปเถอะ หากยังชักช้า ม่านหรงจะคอยท่านานเกินไป”

ไป๋ซีหนิงที่เป็นสะใภ้ใหญ่ยืนมองสองผัวเมียขนย้ายข้าวของแล้วนึกเสียดาย

ถึงของที่ครอบครัวเล็กขนไปจะมีไม่มาก แต่หากนำมาใช้ได้อยู่นั่นก็ถือว่ามีค่าไม่น้อย

ตอนแรกนางคิดไว้แล้ว ว่าจะนำผ้าห่มที่ใช้แล้วของครอบครัวเล็กไปขายแลกกับน้ำมัน แต่พอเห็นบ้านเล็กวกกลับมาขนย้ายทุกอย่างออกไป ความคิดนั้นก็มลายหายไป

‘ไปแล้วยังจะหวนกลับมาอีกทำไมก็ไม่รู้ หากมาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย บางที ข้าอาจจะนำของเหล่านี้ไปเร่ขายพอได้แลกอาหารหรือของใช้มาได้บ้างแล้วแท้ๆ’

ไป๋ซีหนิงแอบกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ก่อนหน้านี้นางไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบครอบครัวของน้องชายสามี แต่เวลานี้ …ในเมื่อตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้วไป๋ซีหนิงจึงแสดงสีหน้าเย้ยหยันดูถูกดูแคลนออกมาอย่างหมดเปลือก แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นางที่ทำท่าทางวางก้ามใหญ่โต แม้แต่ไป๋ฟางเยว่แม่แท้ๆ ของไป๋ต้าผางก็ทำท่าทางไม่สบอารมณ์ใส่ลูกชายกับสะใภ้คนเล็กเช่นกัน

ต้าผางเห็นแววตาดุๆ ของมารดา เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าบ้านหลังนี้ไม่ต้อนรับเขาอีกต่อไป

ทันทีที่หลิวเหยาเดินออกมาจากบ้านต้าผางก็บอกให้นางรีบขึ้นเกวียนลาโดยเร็ว ถึงต้าผางจะยังเป็นห่วงมารดาอยู่บ้าง ว่าท่านจะกินอิ่มอยู่สบายในยามที่ไร้ลูกชายคนนี้หรือไม่ แต่เมื่อเขาหันไปสบตาคู่กราดเกรี้ยวของอีกฝ่าย เขาทำได้แค่หลบสายตาคู่นั้นแล้วรีบรุดหน้าไปให้ไวที่สุด

“ท่านพี่เจ้าคะ ม่านหรงเน้นย้ำมาว่าอยากได้เครื่องปรุงอาหาร ในเมื่อท่านแม่ไม่ได้แบ่งมาให้ พวกเราไปซื้อที่บ้านหวังสักหน่อยดีหรือไม่ อย่างน้อยๆ นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เราพอจะทำให้นางได้”

ไป๋หลิวเหยาเอ่ยเสียงแผ่ว นางรู้ว่าสามีได้รับอีแปะมาจากท่านแม่ แต่นางก็ไม่ได้ถามคาดคั้นเอาความว่าเขาได้มามากน้อยแค่ไหน ถึงจะรู้ว่าสิ่งของในยามนี้ราคาแพงเป็นเท่าตัว แต่สุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่วันยังค่ำ

“ได้สิ เราไปที่บ้านหวังกันก่อน แล้วดูว่ามีอะไรที่เราพอซื้อกลับไปได้บ้างหรือไม่”

ไป๋ต้าผางถอนหายใจออกมา เขารู้ว่าภรรยากำลังกังวลเรื่องอะไร การที่ลูกสาวต้องหลีกหนีผู้คนไปอยู่ในที่เงียบเหงานั้นก็ว่าแย่แล้ว หากนางยังต้องกินอาหารรสชาติไม่เอาอ่าว นั่นก็เท่ากับสองผัวเมียใจร้ายกับนางมากเกินไป

“อ้าวต้าผาง! เหตุใดถึงได้ขับเกวียนลาคันใหญ่มาที่นี่ได้ พอแยกบ้านออกไปแล้วร่ำรวยขึ้นมาอย่างนั้นหรือ”

หวังต้าหยู เจ้าของร้านขายเครื่องเทศและเครื่องปรุงเอ่ยทักต้าผางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จู่ๆ ต้าผางจะมีเงินทองมากขึ้นจนได้ซื้อเกวียนลา แต่การทักทายลูกค้านั่นถือว่าจำเป็น

“ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกขอรับ เกวียนลานี้เป็นของเหวินหลง ข้าเพียงแค่ยืมมาใช้ชั่วคราวเพียงเท่านั้น”

ไป่ต้าผางตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel