ตอนที่ 30 เล้าไก่
ปั่ก! ปั่ก! ปั่ก!
เสียงค้อนไม้ตอกลำไม้ไผ่ปลายแหลมลงดินดังก้อง ชายวัยกลางคนที่ไม่มีอะไรทำก็เดินตามเสียงนั้นมา ก่อนจะกลายมาเป็นหัวหน้าคุมงานก่อสร้างเล็กๆ นี่ไป
ดูเหมือนว่าเล้าไก่นี้จะกว้างไม่น้อย แถมม่านหรงยังคิดจะทำรังให้ไก่ออกไข่อีก คำที่เหวินหลงพูดในตอนนั้นไม่เกินจริงเลย บัดนี้ม่านหรงนางได้กลายมาเป็นผู้นำในชุมชนเล็กๆ นี้ไปเสียแล้ว
โจวต้านเป่าที่นั่งฟังม่านหรงอธิบายได้แต่พยักหน้าตาม
“ทำไม้ไผ่เป็นชั้นๆ แบบนี้สักสี่ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นสิบช่อง”
ม่านหรงใช้กิ่งไม้แห้งวาดรูปทรงสี่เหลี่ยมต่อๆ กันให้ชายวัยกลางคนดู
“หากเจ้าทำที่ออกไข่เช่นนี้ …ก็จะประหยัดเนื้อที่ได้มาก แต่เจ้าจะเลี้ยงไก่มากมายไปเพื่อสิ่งใด ในเมื่อไร้ซึ่งอาหารให้พวกมันกิน”
โจวต้านเป่าที่นั่งยองๆ ได้แต่ส่ายหัว เวลาเช่นนี้พวกเราหาอาหารเลี้ยงปากท้องยังนับว่ายาก หากจะต้องแบ่งข้าวปลาส่วนหนึ่งไปให้ไก่กิน นั่นไม่เท่ากับสิ้นเปลืองมากเกินไปหรอกหรือ แถมดูๆ แล้ว… เหมือนกับว่ามันจะไม่คุ้มค่าเสียด้วยซ้ำ
“ทำตามนี้เถอะเจ้าค่ะ”
ม่านหรงวางกิ่งไม้ลงพื้นดิน ก่อนจะยืนขึ้นแล้วปัดฝุ่นออกจากฝ่ามือ
“พี่ม่านหรงข้าตักน้ำไปเทรดหน้าดินตามรอยเดิมของเมื่อวานแล้วนะเจ้าคะ”
เสียงของเจียหลินดังแว่วมาแต่ไกล ม่านหรงจึงหันไปยิ้มให้และบอกให้นางตักน้ำมาเทรดซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง
“มา ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ม่านหรงเดินไปช่วยโจวเว่ยจับไม้ไผ่อีกมุม โจวเว่ยพยักหน้าตอบรับและเริ่มใช้เศษไม้ตอกตำแหน่งรูที่เขาเจาะไว้เพื่อให้ไม้ไผ่ยึดเข้าหากันแน่นขึ้น
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) โครงสร้างของเล้าไก่ก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ม่านหลงให้เจียหลินไปหาเศษหญ้ามากองรวมกันไว้ ส่วนตัวนางก็เริ่มการทำหลังคาอย่างไม่รีบร้อน
ชายวัยกลางคนเห็นหนุ่มสาวทำงานงกๆ สุดท้ายก็ทนความมุ่งมานะของพวกเขาไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงได้มานั่งช่วยพวกเด็กๆ อีกแรงหนึ่ง หลังจากมุงหลังคาเสร็จ เล้าไก่ก็ปรากฏเป็นรูปร่างที่เด่นชัด
เล้าไก่นี้กว้างสิบเมตร ยาวสิบเมตร ทำเป็นหลังคามุงหญ้าไปแล้วห้าเมตร และใต้หลังคานี้ยังมีพื้นที่สำหรับแม่ไก่ไว้นอนออกไข่อีกราวๆ สี่สิบที่ พื้นที่ข้างๆ ที่เหลือก็ล้อมรอบไปด้วยรั้วกั้น ถึงไม่นับว่าแข็งแรงนัก แต่ก็พอป้องกันไม่ให้ไก่หลบหนีออกไปได้
หากจะพูดกันตามจริง ต่อให้ไม่ล้อมรั้วกั้น ไก่เหล่านั้นก็ไม่มีทางหนีไปไหน
เมื่อเล้าไก่ถูกสร้างเสร็จ ไก่ที่เหลืออยู่ห้าตัวก็ถูกขนย้ายมายังที่พักใหม่ของพวกมัน
ไก่สามตัวปีนขึ้นไปในรังเพื่อออกไข่ ส่วนไก่อีกสองตัวก็คุ้ยเขี่ยอาหาร
“โอ้ นั่นไก่เจ้าจะออกไข่รึ”
ชายวัยกลางคนถึงกับอ้าปากค้าง พอนางจับไก่ห้าตัวมาปล่อยในเล้า แม่ไก่สามตัวก็เหมือนกับรู้ว่านั่นเป็นที่ออกไข่ พวกมันกระพือปีกแล้วบินขึ้นไปจับจองห้องพักอย่างรู้ความ
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นนะเจ้าคะ”
ม่านหรงยิ้มกว้างออกมา แล้วบอกว่าจะทำเตียงนอนให้โจวเว่ยต่อ แต่โจวเว่ยกล่าวว่า เตียงนอนต้องการความแข็งแรงและมั่นคง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะรอให้บิดาของเขากลับมาทำให้น่าจะเหมาะสมกว่า
เมื่อไม่มีอะไรให้ทำแล้ว เจียหลิน โจวเว่ยและม่านหรงจึงกลับไปให้ความสนใจแปลงผักอีกครั้ง
ชายวัยกลางคนพยักหน้าไม่หยุด เด็กคนนี้เหมาะที่จะเป็นผู้นำจริงๆ นั่นแหละ การกระทำของนางดูเหมือนกับว่าผ่านการพินิจมาแล้วอย่างดี เมื่อยังทำไม่ได้ นางก็จะพักไว้ก่อนและหันไปทำในสิ่งที่ควรทำต่อไป
โจวเว่ยลงมือขุดพรวนดิน ซึ่งดินของวันนี้ดูนุ่มลงกว่าเมื่อวานมาก ดูท่าว่าการปลูกผักของม่านหรงคงยังมีหวัง
ม่านหรงกับเจียหลินตักน้ำรดพื้นดินเพิ่มอีกสองแปลง โจวเว่ยก็ตามพรวนดินสองแปลงแรกจนแล้วเสร็จ ม่านหรงเดินเร็วๆ เข้าไปในตัวบ้าน นางเลือกเอาผักบุ้ง และผักกาดขาวมาหว่านเมล็ดเป็นอันดับแรก เมื่อหว่านเมล็ดเสร็จนางก็หาหญ้ามาคลุมหน้าดินและวิดน้ำใส่ให้ชุ่มทั่วทั้งสองแปลง
ทุกการกระทำของม่านหรงถูกชายวัยกลางคนจับจ้องทุกกระเบียดนิ้ว
หลิวเหยากับโจวชิงเหอขึ้นไปบนเชิงเขาอีกครั้ง พวกนางตามเก็บหน่อไม้ที่หลงเหลือจากช่วงเช้า ซินหลานตั้งหน้าตั้งตาทำงานบ้าน ทั้งซักผ้า ล้างถ้วย ทำกับข้าวนางขอรับเอาไว้ทั้งหมด
พอตะวันขึ้นเกือบจะเหนือศีรษะ หลิวเหยากับชิงเหอก็ได้หน่อไม้มามากกว่าคนละสองตะกร้า พวกนางจึงได้กลับบ้านไปพักอย่างอิ่มเอมใจ
ช่วงสิบโมงกว่าเหวินหลงกับต้าผางก็กลับมาถึงบ้าน พวกเขานำน้ำที่นำกลับมาด้วยเททิ้งไปอย่างไม่เหลียวแล จากนั้นก็ล้างทำความสะอาดโอ่ง ก่อนจะนำน้ำหนึ่งโอ่งไปส่งให้กับหวังต้าหยูที่ตั้งตารอคอยมาตลอดทั้งเช้า
หลังจากส่งน้ำจนครบหมดแล้ว ต้าผางกับเหวินหลงก็มาช่วยกันทำเตียงนอนให้โจวเว่ยข้างๆ บ้านไป๋ โดยมีชายวัยกลางคนมานั่งมอง
เจียหลินตามติดม่านหรง ไม่ว่านางจะกินจะพัก หรือแม้แต่ซักผ้า เจียหลินก็ไม่มีท่าทีอิดออด กลับกันนางแทบจะทำทุกอย่างแทนม่านหรงไปเสียหมด
โจวเว่ยเอาแต่ส่ายหัว นับวันน้องสาวของเขาก็ยิ่งตกเป็นทาสของม่านหรงไปโดยสมบูรณ์ แต่นั่นก็ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนที่นางมัวแต่วิ่งเล่นไปทั่วไม่สนใจเรื่องในเรือน
“พวกเจ้าไปขายน้ำเป็นอย่างไรบ้าง”
โจวต้านเป่าที่ไม่มีอะไรให้ทำเอ่ยถามขึ้น แม้ที่เชิงเขาจะมีอาหารและน้ำ แต่มันก็เงียบมาก เงียบเสียจนเขาเกิดความเหงาในใจ
“ท่านพ่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดีขอรับ แถมบ้านอี้ที่เคยซื้อน้ำไปครั้งก่อนยังต้องการน้ำเพิ่มอีกหนึ่งโอ่งเสียด้วยซ้ำ”
โจวเหวินหลงยิ้มกว้างออกมาเมื่อคิดถึงใบหน้าอ้อนวอนของอีกฝ่าย
“แล้วเหตุใดพวกเจ้าไม่ขายให้เขาอีกสักโอ่งเล่า”
“ท่านพ่อ ม่านหรงกำชับมาเช่นนั้น ข้าเองก็ทำได้เพียงปฏิบัติตาม”
เหวินหลงยิ้มแห้งๆ ให้บิดา
ม่านหรงอีกแล้ว คำพูดของม่านหรงกลายเป็นคำสั่งที่ขัดขืนไม่ได้เลยหรือ ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมา ถึงเขาจะมีความคิดขัดแย้งอยู่บ้าง แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบและคอยเฝ้าดู
“เช่นนั้น นางวางแผนไว้อย่างไร”
ชายวัยกลางคนหันไปถามบุตรชายต่อ
“ม่านหรงบอกว่า หากเราขายน้ำให้แค่บ้านเดียว หลังจากนั้นล่ะ เมื่อการค้าเรารุ่งโรจน์เราก็จะมีแค่ลูกค้าแค่บ้านหลังนั้น กลับกันหากเราขายน้ำให้หลายๆ บ้าน ต่อไปลูกค้าของเราก็จะมากขึ้น ถึงเวลาที่การขนส่งเรามีมากพอตอนนั้นรายได้ของเราก็จะยิ่งทวีคูณ”
เหวินหลงยิ้มกว้าง เขายกย่องความคิดอันล้ำเลิศนี้ของม่านหรง
ก็จริงหากเราจะขายน้ำให้แค่บ้านหลังเดียว ขนส่งแค่ครั้งเดียวก็จบ แต่การที่พวกเรามีคนซื้อมากมายนั่นไม่ใช่ว่าพวกเราจะมีรายได้มากกว่าหรอกหรือ
“อืม ลูกสาวเจ้าคิดการใหญ่เสียจริง”
โจวต้านเป่าหันไปทางไป๋ต้าผางที่อมยิ้มเล็กน้อย
“ท่านพ่อข้าจะบอกท่านให้ฟัง วันนี้ข้าช่วยต้าผางขายน้ำได้สี่โอ่ง ข้าได้รับเงินมามากกว่าหนึ่งร้อยอีแปะ ไม่เพียงเท่านั้นข้ายังได้ส่วนแบ่งอีกครึ่งจากการขายหน่อไม้ ท่านพ่อลองคิดดูสิขอรับ หากข้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่ และลูกค้าของเรามากขึ้นทุกๆ วัน ความเป็นอยู่ของพวกเราจะดีมากแค่ไหน”
โจวเหวินหลงหันไปยักคิ้วให้บิดาอย่างได้ใจ
“วันล่ะเกือบสองร้อยอีแปะเชียวหรือ นั่นไม่ใช่ว่ามันได้มากกว่าเงินค่าแรงต่อสัปดาห์ของพี่ชายเจ้าอีกหรือ”
โจวต้านเป่าทำตาโตและเริ่มสนใจ
“ท่านพ่อ ท่านอยู่บ้านก็เชื่อฟังม่านหรงดีๆ เถอะ ไม่แน่ว่าต่อไปนางอาจจะขายผัก ขายไข่ หากท่านพ่อยังมีแรงก็ช่วยนางสักหน่อย นางจะไม่ให้ท่านเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน”
เหวินหลงหันกลับไปทำเตียงนอนของบุตรชายต่อ ใบหน้าของเหวินหลงยกยิ้มขึ้น เขาคิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจมาอยู่ที่แห่งนี้
‘งั้นหรือ แค่ข้ายังพอหยิบจับอะไรได้บ้างข้าก็จะได้สิ่งตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ มาสินะ’
ชายวัยกลางคนใช้มือลูบคางคิดใคร่ครวญ
“พวกเราปลูกผักอันใดบ้างหรือเจ้าคะ”
เจียหลินนั่งยองๆ กอดหัวเข่า สายตาของนางจ้องมองแปลงผักที่พึ่งปลูกเสร็จอย่างคาดหวัง
ม่านหรงอมยิ้มแล้วส่ายหน้า ผักอย่างอื่นนางไม่มั่นใจว่าจะปลูกได้หรือไม่ แต่ผักบุ้งนี้อย่างไรเสียมันก็ต้องผลิใบในไม่ช้า
“แปลงนี้คือผักบุ้ง ที่ข้าทำแปลงใหญ่หน่อยก็เผื่อว่าจะได้นำไปขายด้วย ว่ากันว่า ผักบุ้งยิ่งตัดก็ยิ่งแตก”
ม่านหรงใช้กิ่งไม้แห้งชี้ไปที่แปลงผักบุ้งที่คลุมด้วยเศษหญ้า
“เช่นนั้นอีกแปลงเจ้าปลูกอันใด”
โจวเว่ยเอ่ยถามขึ้น ใบหน้าคมในยามนี้ไม่ได้มีความรังเกียจม่านหรงเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เมื่อก่อน ข่าวของม่านหรงเลื่องลือไปในทางเสียๆ หายๆ อีกทั้งใบหน้าที่ไม่ค่อยยิ้มของนางแค่เพียงผู้คนได้พบเห็นก็ทำให้รู้สึกไม่ดี เหมือนกับว่าแววตาของนางในเมื่อก่อน ซ่อนความอาฆาตบางอย่างเอาไว้
ก็แน่ละ ต่อให้เป็นข้า หากถูกผู้คนต่อว่านานๆ เข้า ไม่ว่าจิตใจของข้าจะสูงส่งหรือประเสริฐมากแค่ไหน สุดท้ายก็คงถูกคำดูหมิ่นเหยียดหยามกัดกร่อนไปทีละน้อยได้เช่นกัน
“แปลงนี้ข้าปลูกผักกาดขาว …หวังว่ามันจะเติบโตขึ้นมาได้ และได้พบกับแสงอาทิตย์ในเร็ววัน”
คำคำนี้ จู่ๆ ก็ทำให้โจวเว่ยสะท้านไปทั้งใจ นางกำลังคาดหวังให้ตัวเองได้พบกับแสงสว่างอยู่หรือไม่ หรือว่านางกำลังรอคอยอะไรบางอย่างอยู่กันแน่
“ข้าไม่ได้กินผักกาดขาวมานานมากแล้ว พี่สาวไป๋ ท่านว่าเมล็ดพันธุ์พวกนี้จะงอกเงยขึ้นมาได้จริงๆ หรือ”
เจียหลินหันไปในทิศทางที่ม่านหรงยืนอยู่พร้อมกับซบหัวน้อยๆ ลงที่เข่าของตนเอง
“แน่นอนสิ ข้าเอาใจใส่มันขนาดนี้ มันต้องรับรู้ถึงความจริงใจของข้าได้แน่”
ม่านหรงแอบขำขันเล็กน้อย แค่มีน้ำเพียงพอต่อความต้องการ อีกไม่นานเกินรอพวกเราก็จะมีผักไว้กิน นั่นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่หรอกหรือ
“เมื่อก่อนท่านแม่เคยปลูกผัก แต่… หลายปีมานี้ ต่อให้พยายามปลูกพวกมันมากแค่ไหน สุดท้ายพวกมันก็ไม่ยอมงอกออกมาสักต้น”
“นั่นเป็นเพราะพวกมันได้น้ำน้อยเกินไป”
ม่านหรงอมยิ้ม
“เช่นนั้นน้ำที่พวกเรามีอยู่จะทำให้มันผลิดอกออกผลหรือไม่”
“อืม ผลิดอกอาจจะเป็นไปได้ แต่ออกผลนี่…”
ม่านหรงขำออกมาและโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งไป
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็เริ่มสายมากแล้ว พวกเราไปนอนพักกลางวันกันเถอะ”
ม่านหรงปัดเศษฝุ่นออกจากมือแล้วบอกให้สองพี่น้องนั้นกลับบ้านไป
“วันนี้ไม่มีงานแล้วหรือเจ้าคะ”
โจวเจียหลินยืนขึ้นอย่างงงงวย ม่านหรงกางมือออกพร้อมยักไหล่
“เล้าไก่ทำแล้ว แปลงผักปลูกแล้ว เจ้าก็ไปนอนพักสักวันเถอะ”
ม่านหรงพูดจบก็เดินฮำเพลงเข้าบ้านไป
“เจียหลิน ให้ม่านหรงพักบ้างเถอะ เจ้าตามนางแจตั้งแต่เช้าจนถึงสาย เจ้าไม่คิดจะให้นางพักบ้างหรือ”
โจวเว่ยเห็นน้องสาวจะเดินตามหลังม่านหรงไป เขาจึงรั้งมือน้องสาวเอาไว้
“ข้า…”
“ข้าอะไร กลับบ้าน”
โจวเว่ยดึงมือน้องสาวกลับไปที่บ้านทันที
“ดีจริงที่นางไม่ตามมา ข้าจะได้พักเสียที”
ม่านหรงทิ้งตัวลงนอนที่นอนอย่างกับว่าเหนื่อยล้าเป็นที่สุด
“ครั้งนี้เจียหลินไม่ตามเจ้ามาด้วยหรือ”
เสียงของหลิวเหยาที่พึ่งอาบน้ำเสร็จถามขึ้น
“ท่านแม่ ให้ข้าได้อยู่อย่างสงบสุขบ้างเถอะเจ้าค่ะ”
“เด็กคนนี้ มีเพื่อนคุยไม่ดีตรงไหน”
หลิวเหยาบ่นออกมาพร้อมกับเปิดประตูห้องของตน
“ท่านแม่จะไปรู้อะไร ข้าหูชาไปหมดแล้ว”
ม่านหรงที่ไม่ได้ปิดประตูห้องบ่นอุบอิบ หลิวเหยาจึงเดินมาหยุดที่หน้าห้องบุตรสาว พอเห็นนางปิดตาลงดูคล้ายกับอยากจะพักจริงๆ จึงได้แต่ยิ้มบางแล้วเดินออกไปจากตัวบ้านพร้อมกับปิดประตูให้อย่างเบามือ
