ตอนที่ 28 แม่ไม่กลัวเจ้า
“เกิดอันใดขึ้นหรือ”
ต้าผางเห็นบุตรสาวจ้องมองไปที่ตะกร้าหน่อไม้ที่วางรวมกันไว้จึงเอ่ยถาม
“หน่อไม้มากขนาดนี้ ท่านพ่อจะนำไปหมดได้อย่างไร”
“อย่าห่วงไป พ่อกับลุงเหวินคิดวิธีแก้ได้แล้ว”
ไป๋ต้าผางยกยิ้มขึ้น ก่อนที่จะเดินไปหากระสอบป่านมาใส่หน่อไม้
“ข้าขอกลับบ้านก่อนนะหลิวเหยา ป่านนี้ท่านพ่อท่านแม่สามีคงจะตื่นขึ้นมาแล้ว”
โจวชิงเหอหันไปส่งยิ้มให้หลิวเหยา
“ท่านป้าชิงเหอ วันนี้ข้าทำอาหารเยอะไปหน่อย ท่านป้าก็นำต้มจืดหนึ่งถังและผัดเลือดไก่ใส่ขิงหนึ่งจานกลับไปกินด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ชิงเหอยิ้มกว้างก่อนจะบอกให้โจวเว่ยไปยกถังไม้ที่เต็มไปด้วยอาหาร ส่วนซินหลานก็อาสาถือจานกลับไป
“เจียหลินตามพี่มา”
ม่านหรงหันไปเห็นใบหน้าน้อยๆ คว่ำลงก็พลันอมยิ้ม ก่อนจะเรียกให้เจียหลินตามไปที่เล้าไก่ที่อยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก
โจวเว่ยยกถังไม้ที่มีอาหารเดินนำหน้า ซินหลานเดินตามลูกพี่ลูกน้องไปช้าๆ ชิงเหอที่เดินปิดท้ายได้แต่อมยิ้มน้อยๆ แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการเก็บหน่อไม้ก่อนหน้า พอได้เห็นอาหารมากมายที่ม่านหรงเตรียมไว้ไห้ ก็เหมือนกับว่าเบื้องหลังมีคนคอยค้ำจุนนางเอาไว้อย่างดี
“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ”
โจวหลิงเยี่ยนได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคนเดินมาจึงออกมาดู แต่นางก็สะดุดตาเข้ากับถังอาหารที่โจวเว่ยถือมาด้วย
‘หรือว่าม่านหรงทำสิ่งนี้เอาไว้ให้พวกเขาอยู่แล้ว มิน่านางถึงได้บอกข้าว่าหากหิวแล้วก็ให้ตักไปกิน’
หญิงวัยกลางคนเพียงแค่ส่งยิ้มให้หลานๆ นางไม่ได้แสดงสีหน้าสงสัยออกมา
“ท่านแม่ข้าไม่ได้หุงข้าว เดี๋ยวข้าจะไปหุงข้าวก่อนนะเจ้าคะ”
ชิงเหอยิ้มอ่อนหวานมองแม่สามี
“ไม่ต้องๆ ข้าหุงข้าวไว้รอพวกเจ้าแล้ว”
โจวหลิงเยี่ยนพยักหน้าเข้าใจว่าพวกเขาทำงานตั้งแต่เช้ามืดก็เหนื่อยมากพอแล้ว อีกอย่างสตรีเช่นนางก็ไม่ได้มือไม้อ่อนถึงกับช่วยพวกนางเล็กน้อยก็ยังไม่ไหว
“ลำบากท่านย่าแล้วเจ้าค่ะ”
โจวซินหลานมีสีหน้าหม่นลง ก่อนหน้านี้เป็นนางที่อาสาจะมาคอยปรนนิบัติท่านย่า แต่กลับกลายเป็นว่านางต้องให้ท่านย่าหุงข้าวกินเอง
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้ข้าจะอยู่บ้านคอยทำหน้าที่หุงข้าวและทำความสะอาดนะเจ้าคะ”
ซินหลานรีบหันไปทางท่านอาสะใภ้
“ได้สิ เจ้าอยู่คอยดูแลปู่กับย่าก็ดี”
ชิงเหอพยักหน้ารับ
“เจ้าไปเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะเถอะ”
ชิงเหอหันไปบอกซินหลาน โจวเว่ยได้ยินดังนั้นก็ยกถังอาหารส่งให้ท่านแม่ ก่อนจะขอตัวไปเก็บที่หลับที่นอน
“ดูท่าวันนี้พวกเราต้องทำเตียงไม้เพิ่มแล้ว ไม่เช่นนั้นคงลำบากโจวเว่ยที่ต้องขนที่หลับที่นอนไปมา”
ย่าโจวหันไปบอกลูกสะใภ้ ชิงเหอพยักหน้าเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็คงต้องรอช่วงบ่ายให้พ่อของโจวเว่ยกลับมาเสียก่อน ทันทีที่อาหารพร้อมบ้านโจว (ยกเว้นเหวินหลง) ก็นั่งทานอาหารกันอย่างมีความสุข
“ต้มจืดนี้ไม่เลวเลยถึงจะไร้สีสันแต่รสชาติโอชะยิ่ง”
เจียหลินที่กลับมาบ้านพร้อมกับไก่สองตัวฉีกยิ้มกว้าง
“อะไรที่ม่านหรงทำเจ้าก็ว่าดีหมดนั่นแหละ แล้วพ่อของเจ้ากับลุงไป๋เก็บหน่อไม้ใส่กระสอบป่านเสร็จหรือยัง”
ชิงเหอเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“เหวินหลงไม่กลับมากินมื้อเช้าหรือ”
ทันทีที่พูดถึงเหวินหลง โจวต้านเป่าก็พึ่งนึกได้ว่าบุตรชายยังไม่กลับมา
“ท่านพ่อกับลุงไป๋บอกว่าจะออกจากบ้านเร็วเจ้าค่ะ ดังนั้นพี่ม่านหรงจึงเตรียมอาหารไว้ให้พวกท่านไปกินระหว่างทางแล้ว”
เจียหลินที่ได้ยินมาเช่นนั้น นางก็รีบตอบท่านปู่ไปตามจริง
“อืม”
ต้านเป่าพยักหน้ารับ พร้อมกับซดน้ำแกงที่ชื่อว่าต้มจืดอย่างเข้าใจ
รสหวานหอมจากเนื้อไก่ช่างเข้ากันได้ดีกับหน่อไม้กรุบกรอบ แม้แต่ผัดเลือดไก่ใส่ขิงนี่ก็ไม่เลวเลย ชายวัยกลางคนคีบอาหารเข้าปากไม่หยุด ช่างคุ้มค่ากับการรอคอยเสียจริง
“ท่านอาเราเก็บหน่อไม้ไว้สักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ตอนเที่ยงจะได้ผัดหน่อไม้พริกแห้งเป็นอาหาร”
ซินหลานกินอาหารอย่างมีมารยาท แต่มือของนางก็คีบเร็วขึ้นเมื่อกลืนอาหารหมดปากแล้ว
“ได้สิ พอกินข้าวอิ่มแล้ว เจ้าก็ไปขอกับลุงเจ้ามาไว้สักหน่อย”
ซินหลานพยักหน้าเข้าใจ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไปนำหน่อไม้มาเอง”
เจียหลินที่ได้ยินดังนั้น นางก็แทบจะยัดข้าวทั้งถ้วยเข้าปากในคำเดียว นางวางถ้วยและตะเกียบลง ก่อนจะซดน้ำแกงให้โล่งคอแล้ววิ่งออกจากบ้านไปทันควัน
โจวชิงเหอส่ายหัว หากพูดถึงไปบ้านไป๋นางก็จะกระตือรือร้นเช่นนี้
“ปกติม่านหรงเป็นคนทำอาหารให้พวกเจ้าหรือ”
ย่าโจวเอ่ยถามพลางคีบเลือดไก่ใส่ถ้วยให้สามี
“ตั้งแต่วันแรกก็เป็นม่านหรงที่คอยเอาใจใส่เรื่องนี้ แต่บางครั้งข้าก็ทำอาหารเอง นางคงเห็นว่าพวกเราขึ้นเขาไปกันหมดจึงทำอาหารเผื่อไว้ เด็กคนนี้นะ พูดน้อยไปหน่อย อย่างอื่นล้วนดีหมด”
ชิงเหอพูดไปยิ้มไป
‘ที่แท้นางก็ระมัดระวังคำพูดนี่เอง ข้าก็นึกว่านางไม่อยากคบค้ากับข้าเสียอีก’ ท่านย่าโจวผงกหัว
“กินแล้วก็กิน ท่านไม่คิดจะพูดอะไรบ้างหรือ”
โจวหลิงเยี่ยนหันไปทางสามีที่เอาแต่คีบอาหารแล้วคีบอาหารอีก แถมยังเติมข้าวเป็นถ้วยที่สอง
“ให้ท่านพ่อทานเยอะๆ หน่ะดีแล้วเจ้าค่ะ ดูพวกเราสิ มาอยู่กับม่านหรงได้ไม่นานก็มีเนื้อมีหนังมากขึ้น บำรุงท่านอีกหน่อยท่านจะได้แข็งแรง”
โจวชิงเหอเห็นพ่อสามีกินอย่างเอร็ดอร่อยนางก็พอใจ
“ซินหลานเพิ่มข้าวอีกถ้วยเถอะ กินให้มากๆ วันนี้สายหน่อยจะได้ไปช่วยม่านหรงทำแปลงผัก”
“เจ้าค่ะ”
ซินหลานยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ท่านอาดีกับข้ามากจริงๆ ข้าตัดสินใจได้ถูกต้องที่เลือกจะติดตามปู่กับย่ามา ซินหลานตักข้าวเพิ่มอีกถ้วยแล้วกินอาหารอย่างมีความสุข
“ได้สองกระสอบป่านก็พอแล้วเจ้าค่ะ ที่เหลือเก็บไว้ทำอาหารเที่ยงกับอาหารเย็น”
ม่านหรงที่มายืนคุมงานร้องบอกบิดา
“พี่สาวไป๋”
เสียงลากยาวของเจียหลินดังมา ม่านหรงหัวเราะเบาๆ นี่นางกลับไปกินข้าวหรือดมเอากันแน่
ต้าผางฟังคำบุตรสาว เขายกกระสอบป่านสองใบใหญ่ขึ้นเกวียนลา เกวียนลาในยามนี้ฝั่งซ้ายวางโอ่งน้ำ ด้านหลังวางกระสอบป่านที่มีผ้าคลุมเอาไว้ ข้างๆ ที่นั่งของต้าผางยังมีแม่ไก่ห้าตัวที่ถูกมัดขาไว้นอนหมอบอยู่
พอจัดแจงทุกอย่างเข้าที่ต้าผางก็ยกยิ้ม เพราะเกวียนลานี้มีทั้งร่มเงาและที่นั่ง ครั้งนี้เขาจะเดินทางโดยไม่ถูกแดดเผาอีกต่อไป
“เจ้าตัวแสบพ่อก็นึกว่าเจ้าจะมาหาพ่อ ที่ไหนได้มาหาพี่สาวไป๋ของเจ้าอีกแล้ว”
โจวเหวินหลงยกหม้อดินที่ด้านในมีไก่ย่างทั้งตัววางไว้ใต้ที่นั่งของต้าผาง เขาห้อยกระบอกที่เต็มไปด้วยน้ำทั้งหมดสี่กระบอกไว้ในเกวียน ก่อนจะตำหนิลูกสาว ที่วันๆ เอาแต่ตามติดม่านหรงอยู่นั่นแหละ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ให้ข้ามาขอหน่อไม้ พี่ซินหลานจะผัดหน่อไม้ให้ข้ากินตอนเที่ยง”
เจียหลินยิ้มตาหยี
“หน่อไม้หนึ่งตะกร้าที่เหลือนี่ พวกเรามาแบ่งกันคนละครึ่งเถอะ”
ม่านหรงลูบหัวเจียหลิน จะว่าไปเจียหลินคนซื่อบื้อนี่ก็น่ารักไม่ใช่หยอก
“เจ้าค่ะ”
เจียหลินยิ้มกว้างแล้วเอาตะกร้าที่ว่างอยู่มาแบ่งหน่อไม้ให้เท่ากัน
“สามีเอาข้าวไปด้วยสิเจ้าคะ”
หลิวเหยาวิ่งเร็วๆ ออกมาจากห้องครัวพร้อมกับตะเกียบสองคู่และหม้อดินหนึ่งใบ
“ขอบใจนะ”
ต้าผางสบตากับเมียรัก
“พ่อไปก่อนนะเจียหลิน”
เหวินหลงร้องบอกลูกสาว เห็นแต่นางเงยหน้าขึ้นมาโบกมือหย็อยๆ ให้เขา
“รีบไปเถอะเจ้าค่ะ หากชักช้าเดี๋ยวขากลับจะร้อนเอาได้ อีกอย่างเกวียนนี้บรรจุของหนักมาก หากลาเหนื่อยก็ให้มันได้พักบ้างนะเจ้าคะ”
ม่านหรงรีบตัดบทรักของบิดากับมารดาอย่างเร่งรีบ ตอนเช้าทะเลาะกัน ตอนเย็นดีกัน เห้อ
“ได้ๆ พ่อรู้แล้ว”
ต้าผางที่รับเอาหม้อดินจากภรรยามาแล้วหันไปยิ้มให้บุตรสาว
“อย่าเร่งรีบเกินไปจนน้ำในถังหกหมดนะเจ้าคะ”
ม่านหรงหันไปกำชับท่านลุงโจว ก่อนจะชี้ไปที่ถังน้ำสองใบที่ห้อยไว้ข้างๆ ตำแหน่งคนบังคับลา เหวินหลงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะหากน้ำนี้หก นั่นก็เท่ากับว่าเงินของเขาจะลดน้อยลง
หลิวเหยา ม่านหรง และเจียหลินยืนส่งชายชาตรีสองคนตรงเส้นทางเล็กๆ
“ท่านพ่อไปแล้ว พวกเรามากินข้าวเช้ากันเถอะเจ้าค่ะ”
ม่านหรงดึงแขนเสื้อมารดา
“นั่นสินะ เจียหลินเจ้าอยากกินข้าวกับพี่สาวไป๋ของเจ้าไหม”
หลิวเหยาหันไปทางเจียหลินที่พยักหน้าอย่างกับว่ารอคอยสิ่งนั้นอยู่
ม่านหรงกับท่านแม่สบตากันแล้วหัวเราะ ดังนั้นสตรีทั้งสามจึงนั่งกินข้าวในห้องโถงด้วยความอิ่มเอม
หลังจากมื้อเช้าจบลงหลิวเหยาก็ชวนม่านหรงทำเล้าไก่ หลิวเหยาบอกลูกสาวว่าเล้าไก่อันเดิมนั้นเล็กไปกลัวไก่จะเหยียบกันตายเข้าสักวัน โจวเจียหลินฟังที่ท่านป้าไป๋พูดแล้วก็รีบเอ่ยถาม
“ไก่แค่ไม่กี่ตัวมันจะเหยียบกันตายได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”
“เจียหลิน วันหน้าไก่ก็ต้องออกไข่ หากออกไข่ก็ต้องมีลูกไก่ใช่หรือไม่”
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านป้าไป๋จะเลี้ยงไก่นี่เอง แต่ท่านแม่ของข้าหน่ะ ท่านจะให้ไก่ออกไข่ให้กิน”
เจียหลินยิ้มกว้างออกมา
“เป็นเช่นนั้นแหละ”
ม่านหรงยิ้มหวานให้กับเด็กขี้สงสัย
“ท่านแม่หากจะทำเล้าไก่พวกเราต้องย้ายไปสร้างมุมโน้นเจ้าค่ะ เพราะหากเราเลี้ยงไก่ไว้ใกล้บ้านเกินไปสิ่งที่จะตามมาก็คือกลิ่น และเสียงรบกวนจากพวกมัน”
“ได้ งั้นเราก็ทำเล้าไก่ไว้มุมโน้นอย่างที่เจ้าว่า”
หลิวเหยาพยักหน้าเห็นด้วย หากนางต้องนอนดมขี้ไก่ทุกวันเช่นนั้นนางคงนอนหลับไม่สนิทเป็นแน่
“เจียหลิน เจ้าไปเรียกพี่เว่ยของเจ้ามาหน่อย บอกเขาว่าข้าขอยืมแรงมาช่วยทำรั้วไก่สักประเดี๋ยว”
“อื้อ ข้าจะไปตามพี่ชายมาตอนนี้เลย”
เจียหลินพยักหน้ารับก่อนจะเดินก้าวฉับๆ ไปที่บ้าน
“ลูกแม่ พรุ่งนี้เราต้องมาเปิดประตูต้อนรับไก่อีกหรือไม่”
หลิวเหยาทำใบหน้าเหมือนจะยิ้มทีไม่ยิ้มที จริงๆ แล้วการที่เห็นไก่ตัวโตๆ เดินมาหาบ้านอยู่แบบนี้มันก็แปลกมากพอแล้ว หากต้องมาคอยเปิดรั้วไก่ให้พวกมันเข้าไปอีก นี่มันจะต่างอะไรกับการเลี้ยงดูปูเสื่อพวกมัน แต่สุดท้ายก็ต้องนำพวกมันมาฆ่าอย่างไม่ปรานีในภายหลัง
“นั่นสิเจ้าคะ ดูท่าทุกเช้าคงจะเป็นเช่นนั้น”
ม่านหรงกอดอกแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคาง
“ลูกไม่กลัวหรือ”
หลิวเหยาเอ่ยถาม
“หากเรื่องนี้ว่าแปลกและน่ากลัว ท่านแม่คงจะไม่คิดว่าข้าน่ากลัวกว่าอีกหรอกหรือเจ้าคะ”
ม่านหรงก้มใบหน้าลง มือสองข้างที่กอดอกก่อนหน้าก็วางแนบชิดข้างลำตัว นางทำอย่างกับว่ากำลังน้อยใจ
“ไม่เลยๆ แม่ไม่ได้กลัวเจ้านะ”
หลิวเหยาโบกมือไปมาก่อนจะดึงบุตรสาวเข้าไปกอด
“แม่รักเจ้ามากกว่าสิ่งใด แม่จะกลัวเจ้าได้อย่างไร เชื่อแม่นะแม่ไม่ได้หวาดกลัวเจ้าจริงๆ”
หลิวเหยาน้ำตาเอ่อล้นออกมา ถึงแม้ว่าก่อนหน้านางจะกังวลเล็กน้อย แต่นางก็ไม่เคยกลัวลูกในใส้ของนางเลยแม้แต่นิด
“จริงนะเจ้าคะ”
ม่านหรงพูดงึมงำในอ้อมกอดที่อบอุ่น
“แม่รักลูกนะ”
หลิวเหยาสะอื้นไห้ออกมา
“ข้าก็รักท่านพ่อกับท่านแม่ที่สุดเจ้าค่ะ”
ม่านหรงตอบไปก่อนจะเอื้อมมือไปกอดมารดาไว้แน่น
