ตอนที่ 5 - 1 จะไม่เดินตามรอยเดิม
“ท่านย่า… หลานจะไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” คำตอบของหลานสาวทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกหนักใจ แต่พอลองคิดดูนางยังเด็กนัก อาจจะยังมิเข้าใจเรื่องการออกเรือนไปกับผู้ใดสักคนก็ได้
“อืมๆ มิเป็นไร แต่เรื่องการฝึกฝนวิชาป้องกันตัวอย่างที่เจ้าต้องการ ย่าว่ารอหลังจากนี้อีกสักปีเถิด ยามนี้ร่างกายของเจ้ายังมิเหมาะกับการใช้พละกำลังเช่นนั้น”
ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยอมรับสภาพ ท่านย่าห่วงสุขภาพของหลานสาวก็เป็นสิ่งสมควร เพียงนางเข้าใจเรื่องการออกเรือนและมิได้บังคับให้นางต้องเรียนเรื่องราวที่เหล่าสตรีต้องเรียน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นหลานขอลองศึกษาเกี่ยวกับยาและสมุนไพรได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะชาติภพที่ผ่านมานางยังมิได้มีโอกาสได้ศึกษาเกี่ยวกับการปรุงยาของท่านหมอ นางจึงอยากเรียนรู้เอาไว้เผื่อในภายภาคหน้าจะต้องใช้
“อืม… เจ้าอยากเป็นหมอหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามออกมาอย่างยิ้มๆ
“เปล่าหรอกเจ้าค่ะ… หลานเพียงอยากรู้เรื่องยาและการรักษาเบื้องต้นเท่านั้น” เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสนับสนุนหลานสาว อย่างน้อยมีวิชาแพทย์ติดตัวพอเติบโตไปนางจะได้มิมีผู้ใดมารังแกได้
“ถ้าเช่นนั้นก็ศึกษาเถิด เดี๋ยวย่าจะเชิญอาจารย์หมอที่สอนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาให้แก่เจ้า” เจ้าของดวงหน้างามยิ้มแย้มออกมาเมื่อท่านย่ากล่าวเช่นนี้ออกมา นางลุกขึ้นคำนับสตรีสูงวัยตรงหน้า ก่อนที่จะเอ่ยขอตัวไปพบมารดาเพื่อบอกกล่าวถึงเรื่องที่นางได้พูดคุยกับท่านย่า
ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้รั้งหลานสาวเอาไว้ นางมองตามร่างเล็กที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อนเดินจากไป ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาเผยรอยยิ้มแห่งความสบายใจออกมา ก่อนหน้านี้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามีแต่ความกังวล กลัวว่าหลานสาวคนโตจะอายุไม่ยืนยาว พอนางกลับมาแข็งแรงได้เช่นนี้ก็ทำให้นางคลายความกังวลได้ไม่น้อย แต่ก็รู้สึกตงิดในใจเรื่องที่หลานสาวบอกว่าจะไม่แต่งงาน นางก็หวังเพียงว่าที่หลานกล่าวมานั้นเป็นเพียงความคิดของเด็กๆ เท่านั้น
ร่างเล็กเดินไปถึงเรือนใหญ่ของบิดาและมารดา น้องชายตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาผู้เป็นพี่สาว ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินทรุดนั่งลงกับพื้นเพื่อรับร่างเล็กของหลานชายในชาติภพก่อนเข้ามาในอ้อมกอด
“หลงเอ๋อร์ของพี่”
ริมฝีปากเล็กฉีกยิ้มออกมาก่อนที่จะกดปลายจมูกลงบนแก้มนุ่มของน้องชายวัยห้าขวบ สาวรับใช้คนสนิทของทั้งโจวเจินเจินและโจวเจินหลงต่างมองมายังสองพี่น้องด้วยแววตาแสดงออกมาถึงความเอ็นดู คุณหนูใหญ่และคุณชายรองรักกันเสียจริง และถ้านายหญิงใหญ่จะมีทายาทมาเพิ่มก็คงจะมิได้มีปัญหาอย่างแน่นอน
“ท่านพี่ใหญ่ ท่านหายดีเล่นกับข้าได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
เด็กชายเอ่ยถามผู้เป็นพี่สาวออกมา ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู หลานชายตัวน้อยถึงจะมิค่อยสนิทกับนางเท่าโจวเจินเจินแต่ทว่าเขาก็เป็นหลานชายที่นางรักและเอ็นดูอีกคน อาจจะเป็นเพราะนางมิได้มีโอกาสมีบุตรเป็นของตน จึงทำให้รักและเอ็นดูเด็กทั้งสองเป็นพิเศษ
“ใช่แล้วจ้ะ… ต่อไปนี้พี่สามารถเล่นเป็นเพื่อนเจ้าได้แล้ว” น้องชายเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ถึงกับร้องไชโยออกมา ร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอดของพี่สาวแล้ววิ่งไปรอบๆ ตัวนาง
“เย้ๆๆๆ ท่านพี่ใหญ่แข็งแรงแล้ว ข้ามิต้องได้ทนเหงาอีกต่อไปแล้ว”
แม้ว่าใต้เท้าโจวจะมีภรรยารองแต่บุตรของรองนั้นก็เจียมตนจนมิกล้าย่างกรายมาคลุกคลีกับคุณชายรองอย่างเขา พอพี่สาวร่างกายมิแข็งแรงก็ทำให้เด็กกำลังซนเช่นเขารู้สึกเหงา แต่พอมาบัดนี้ได้ยินว่าพี่สาวแข็งแรงขึ้นมาก และนางก็บอกว่าสามารถเล่นเป็นเพื่อนเขาได้แล้ว จึงทำให้เขาแสดงความดีใจออกมา
“เจ้ากินมื้อเช้าหรือยัง พี่เพิ่งจะไปกินกับท่านย่าที่เรือน กลางมา”
“ข้ากินแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นเราไปเล่นกันได้หรือยังขอรับ ข้าเบื่อที่จะต้องเล่นกับพวกอาลู่แล้ว พวกผู้ใหญ่เล่นด้วยไม่สนุกเลย” เสียงเล็กพูดคุยออกมาอย่างยืดยาวจนคนฟังอดที่จะอมยิ้มมิได้
“พี่จะไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่ก่อน เจ้าจะเข้าไปด้วยกันหรือไม่” นางเอ่ยถามน้องชายออกมา เด็กชายพยักหน้า สองพี่น้องจึงจูงมือกันไปยังเรือนใหญ่รั้งท้ายด้วยบ่าวและสาวรับใช้ที่ติดตามเด็กๆ ทั้งสอง
“เจินเอ๋อร์คารวะท่านพ่อ เจินเอ๋อร์คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างเล็กคำนับบิดามารดาทันทีที่ถึงเรือนใหญ่
“ลูกรองคารวะท่านพ่อ ลูกรองคารวะท่านแม่” เด็กชายคำนับบิดาและมารดาเช่นเดียวกับพี่สาวของตน
“ตามสบายเถิดพวกเจ้า นี่ไปเจอกันที่ใดมาล่ะ เจินเอ๋อร์เจ้ารับมื้อเช้ากับท่านย่ามาแล้วใช่หรือไม่” ใต้เท้าโจวเอ่ยขึ้นจากนั้นจึงถามไถ่บุตรทั้งสองด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าสองพี่น้องมาคำนับเขาและฮูหยินพร้อมๆ กัน
“เจอกันระหว่างทางที่จะเดินมาเรือนใหญ่เจ้าค่ะท่านพ่อ… ถูกแล้วเจ้าค่ะ ลูกเพิ่งรับมื้อเช้าพร้อมท่านย่าเสร็จ จากนั้นจึงแวะมาคำนับพวกท่านต่อ” ผู้เป็นพี่สาวตอบออกมาตามตรง ใต้เท้าโจวได้ฟังเช่นนั้นจึงพยักหน้า
“มานั่งข้างๆ แม่นี่มา ทั้งสองคนนั่นแหละ” ฉินเซี่ยหรงบอกบุตรีและบุตรชายทั้งสอง
“หลงเอ๋อร์… ถึงพี่สาวของเจ้าจะแข็งแรงมากขึ้นแล้ว แต่ก็มิควรที่จะชวนนางเล่นมากเกินไปนะรู้หรือไม่” ฉินเซี่ยหรูในร่างของโจวเจินเจินถึงกับอมยิ้มเมื่อได้ยินน้องสาวในอดีตชาติของนางสอนบุตรชาย
สกุลนี้มิว่าหญิงหรือชายก็มีความสำคัญเช่นกัน แต่สำหรับบางสกุล บิดาและมารดามักจะให้ความสำคัญแก่บุตรชายมากกว่า โจวเจินเจินโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นบุตรีของสกุลโจว แต่โชคร้ายที่ต้องมาจากไปตั้งแต่อายุยังไม่ถึงวัยสาว
“ลูกเข้าใจขอรับ ลูกจะมิชวนท่านพี่ใหญ่เล่นซนจนเกินไป แต่ลูกจะไม่ต้องเหงาเช่นแต่ก่อนแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
โจวเจินหลงช่างเจรจายิ่งนัก น้องชายของโจวเจินเจินรู้ความแม้จะยังเยาว์วัยก็ตามที น้องสาวของนางช่างโชคดีโดยแท้ มีสามีที่รักและมีลูกๆ ที่มาเป็นสายใยสานความสัมพันธ์ให้กันและกัน
สี่คนพ่อแม่ลูกนั่งพูดคุยกันถึงเรื่องทั่วไป เรื่องสุขภาพร่างกายและเรื่องของอนาคตภายภาคหน้า เรื่องที่สองสามีภรรยาถึงกับคิดไม่ตกก็ยามเมื่อได้ยินโจวเจินเจินกล่าวออกมาอย่างหนักแน่นว่านางจะไม่แต่งงาน หรือถ้าหากนางจะต้องแต่งจริงๆ นางก็อยากจะขอเลือกบุรุษที่นางรักและเขาก็รักนางเป็นสามี
ทั้งสองมิได้คิดไปไกลตัว แต่ทว่ากลับคิดไปถึงเรื่องราวของพี่สาวอย่างฉินเซี่ยหรูผู้ล่วงลับ บุตรสาวอาจจะเห็นชีวิตของท่านป้าของนางต้องผิดหวังในความรักจนมีจุดจบแบบนั้นจึงทำให้ฝังใจและไม่อยากแต่งงาน ทั้งใต้เท้าโจวและฉินเซี่ยหรงก็ได้แต่หวังว่าในภายภาคหน้าบุตรีของตนจะได้พบกับบุรุษที่รักนางและนางรักตามที่นางต้องการ
โจวเจินเจินในยามนี้มิใช่สตรีที่อ่อนแอและโหยหาความรักเช่นเจ้าของจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างของนางอย่างฉินเซี่ยหรูอีกแล้ว นางจะใช้ชีวิตของหลานสาวให้แตกต่างจากเดิม นางจะมิเดินตามรอยเดิมของนางเด็ดขาด ท่านเทพเซียนบนสรวงสรรค์ให้นางได้มีโอกาสกลับชาติมาเกิดใหม่ นางก็ต้องอยู่ในชาติภพนี้ให้ดี ทำหน้าที่ลูกสาวที่กตัญญูและสร้างคุณความดีให้แก่หลานสาวที่จากไปแต่จิตวิญญาณแล้วสละร่างกายนี้ไว้ให้แก่นาง