บทที่ 17 สาวใช้ มาตรฐานสูง
เฉินซ่าจัดการไวมาก แค่ชั่วครู่ที่นางเหม่อลอย เขาก็ถักเถาวัลย์ได้ยาวมาก เถาวัลย์นี่ซ้อนทับกันจากมุมหนึ่งของกำแพงหน้าผาแห่งนี้ เพราะเกี่ยวพันตามธรรมชาติ บนกำแพงมีถ้ำเล็ก แต่ว่าเล็กมาก
อิงอยากจะพูดอะไรอีก โหลชีห้ามเขาไว้ เอียงหูคอยฟัง จากนั้นพลันฉุดมือเฉินซ่าดึงเขาลุกขึ้น และถอยหลังอย่างรวดเร็ว อิงแปลกใจพิกล เขายังยืนนิ่งไม่รู้ตัว หากทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงอะไรซู่ซู่ดังมาจากข้างหน้า พอเขาเงยหน้าขึ้นมอง มีเสียงกำแพงทลายดังขึ้นโครม เศษดินโคลนพุ่งปะทะหน้า ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย ทำให้เขากลายเป็นมนุษย์โคลน
"แค่กแค่กแค่ก! ถุยถุยถุย!"
ดินฝุ่นค่อยๆ กำจายไป ได้ยินเสียงใต้เท้าอิงไอค่อกแค่กและเสียงขากถุยดินทราย
โหลชีที่ยืนห่างออกไปไกลปิดปากกลั้นหัวเราะจนตาหยีตัวงอ เฉินซ่ามองนางแล้วไร้ซึ่งคำพูดใด
รอจนฝุ่นผงมลายสิ้น ด้านนั้นเผยให้เห็นแสงสว่างของท้องฟ้า ด้านนอกเป็นพืชพรรณขึ้นหนาแน่น ขั้นบันไดหินคดเคี้ยวและยาวมาก ในหมู่พืชพรรณมีดอกไม้หลากหลายสีสันบานสะพรั่ง ผีเสื้อบินเล่นประหนึ่งภาพ ช่างเป็นดินแดนในอุดมคติเสียจริง
อิงลืมการไอไปสนิท ยืนอึ้งมองด้านนอก ไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าทางออกปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาแล้ว
เฉินซ่าก้มหน้าลงมองสตรีนางนี้ที่ยังยิ้มมุมปากอยู่ พลางถาม "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าทางออกอยู่ตรงนั้น? และรู้ได้อย่างไรว่าดึงเถาวัลย์นั่นแล้วจะเปิดกำแพงนี้ได้?"
"อะไรกัน? นายท่านอย่าล้อเล่นสิ ข้าเป็นแค่สาวใช้ตัวเล็กๆ จะรู้เรื่องเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ข้าก็แค่โชคดี จับพลัดจับผลูถูกเท่านั้นเอง! แหะแหะ" นางขยิบตายิ้มให้เขาอย่างซุกซน วิ่งมาข้างอิงมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และเอ่ยอย่างมิปกปิดความสะใจของนางแม้แต่น้อยว่า "ใต้เท้าอิง ตอนนี้ท่านหล่อเหลามากเชียว ท่านดูสิ ขนาดผมท่านยังย้อมสีเลย สีเหลืองของดิน มิเลวมิเลว พิเศษยิ่ง! ฮะฮะฮะ"
นางหัวเราะไปพลางเดินย่องแผ่วเบาไปทางออก อิงโกรธจนอยากเข้าไปดึงนาง หากพลาดไปเล็กน้อย
"นังเด็กนี่! เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่?" อิงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน
โหลชีที่ออกไปยืนด้านนอกแล้วหันกลับมายิ้มร่า จากนั้นทำหน้าล้อเลียนเขา
หลายปีหลังจากนั้น อิงนึกถึงเรื่องนี้ ยังคงรู้สึกว่าท่าทางของนางชัดเจนราวกับมาอยู่ตรงหน้า หากในเวลานั้นเขามิอาจมองนางด้วยความรู้สึกเยี่ยงนี้ในเวลานี้ได้อีกแล้ว
เดิมในถ้ำมีราชางูใหญ่ตัวหนึ่ง และยังเป็นถ้ำปิด อากาศถ่ายเทได้ไม่ดี ดังนั้นพอออกมาด้านนอก ได้รับรู้อากาศปลอดโปร่งนั้นทำให้อารมณ์ดีขึ้น
โหลชีสูดหายใจเข้าปอดลึก และไม่สนใจนายบ่าวด้านหลังสามคนนั่น นางเดินขึ้นบันไดไปเอง และเดินต่อไปทีละก้าว
"นายท่าน พวกเรา?"
"ไป"
เฉินซ่าพูด และก้าวเท้ายาวออกไปทันที
ใครเองก็ไม่คิดว่า ในที่นี้จะมีถ้ำเยี่ยงนี้อยู่ มีราชางูเยี่ยงนั้น และทางออกจะมีวิวงดงามเยี่ยงนี้
เฉินซ่ามองไปยังโหลชีที่กำลังปีนขึ้นบันไดอย่างแผ่วเบางดงามด้านหน้า สายตาครุ่นคิดลง ครั้งนี้หากมิใช่นาง พวกเขาต้องหาดอกลึกลับไม่พบแน่ ต่อให้หาพบ ก็อาจจะหาทางออกมิพบ และโดนขังอยู่ในถ้ำนั้น ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดจึงจะออกมาได้
นางเป็นดาวนำโชคของเขา และยังเป็นยาของเขาอีกด้วย
ดังนั้นนางต้องอยู่ข้างกายเขา ไปไหนมิได้ทั้งนั้น
โหลชีไม่รู้ว่าใครบางคนได้จัดอันดับนางเป็นของใช้ติดตัวไปแล้ว นางคิดแต่ว่า หาดอกลึกลับเจอแล้ว พวกเขาควรจะกลับไปแล้ว ออกจากภูเขาไป ไปในที่ที่มีผู้คน ไปในเมือง งั้นนางก็จะจากไปได้แล้ว
การเป็นสาวใช้ไม่ใช่สิ่งที่นางหวัง นางต้องการอิสระ ไร้การผูกมัด ชีวิตของนางนางตัดสินเอง ในยุคปัจจุบันตอนนางวางมือก็เพราะเหตุนี้ ตอนนี้ถึงจะเปลี่ยนห้วงเวลาเปลี่ยนโลก จุดนี้ก็ยังไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนหรอก
นางเชื่อว่าอาศัยตัวนางแค่คนเดียวก็สามารถทำมาหากินหาเงินซื้อบ้านเลี้ยงดูตัวเองได้ที่นี่
เพียงแต่ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีบัณฑิตหล่อเหลาหรือจอมยุทธ์ท่องยุทธภพบ้างไหม ถ้ามีเข้าตา นางก็สามารถมีความรักในยุคโบราณได้นี่นา
อืม คิดๆ แล้วก็ไม่เลว
เพราะในสมองคิดเรื่องพวกนี้อยู่ บวกกับตื่นเต้นที่จะได้ออกไป โหลชีลืมแสดงไปเสียสนิท ผลสุดท้ายรอจนนางรู้ตัว นางเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นดวงตาราวกับมองเห็นทะลุปรุโปร่งของเฉินซ่าเข้าพอดี ยังมีสีหน้าตกใจของอิงกับองครักษ์
นางมองอึ้งๆ ไป ในใจร้องอุทาน แม่เจ้า
พอมองไปแบบนี้ บันไดยาวจนแทบไม่เห็นพื้น คดเคี้ยวราวกับงู ไม่มีเป็นพันเมตรก็ต้องแปดร้อยเมตร ระหว่างที่นางคิดไปพลางนางก็กระโดดขึ้นไปอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ยังไม่หอบเลยสักนิด สำหรับสตรีแน่งน้อยที่ไม่รู้วิทยายุทธ์ อ่อนแอ น่ารัก มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากจริงรึไม่?!
ซวย! นี่คือสิ่งที่เรียกว่าประมาทเลินเล่อ
แต่เฉินซ่ากลับเบนสายตาไปทางอื่น ประหนึ่งไม่คิดจะถาม โหลชีกำลังจะถอนหายใจโล่งอก ก็ได้ยินอิงถามว่า "นี่เจ้ามิเหนื่อยเลยรึ?"
เจ้าอิงทุเรศศนี่! นายท่านเขาไม่คิดจะถามแล้ว เขายังมาเรื่องมากอีก!
ถึงโหลชีจะรู้ว่าตอนนี้มาแกล้งทำคงปลอมไป แต่มันจะทำไมล่ะ นางเดินยิ้มเผล่จะไปพิงไหล่ของอิง "เหนื่อย เหนื่อยมากเลย ตาข้างไหนเจ้ากันที่เห็นว่าข้าไม่เหนื่อย?"
หากร่างนางยังไม่ทันได้แตะอิง ก็มีมือหนึ่งยื่นมาดึงนางไป ใครบางคนพูดเสียงขรึมว่า "ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน"
โหลชีอึ้งตะลึง
ชายหญิงมิควรแตะเนื้อต้องตัวกัน?
งั้นก่อนหน้านี้ที่เขากอดอุ้มโอบเอวนาง แล้วตอนนี้ยังจับมือนาง นี่นี่ มันเรียกอะไรหะ?
ในโลกของนาง การล้อเล่นเอนพิงไหล่ของเพศตรงข้ามไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพื่อนก่อนหน้านี้ของนางก็เล่นกันเยอะมาก
แต่พอเห็นสีหน้าดำทะมึนของเฉินซ่า โหลชีเลือกที่จะปิดปากอย่างฉลาด
อิงลูบจมูกไม่ได้พูดอะไรอย่างเซ็งๆ ส่วนองครักษ์อีกด้านกลับมองไปรอบด้านเพียงแต่ไม่มองมาด้านนี้ ที่นี่ฐานะของเขาถือว่าต่ำที่สุด ถึงโหลชีจะเป็นสาวใช้ แต่ สาวใช้คนสนิทของนายท่านเชียวนะ นี่เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของพั่วอวี้แล้ว เขามีหรือจะกล้าดูถูก? อีกอย่าง หลายวันในการเดินทางนี้ เขาพูดน้อย มองออกชัดกว่าองครักษ์อิงมากนัก แม่นางโหลผู้นี้มิใช่คนธรรมดาเลย อย่างอื่นมิต้องพูด ถ้าพูดเรื่องโชค นางถือเป็นระดับสูงเลยทีเดียว! และยังเคยช่วยชีวิตเขาด้วย
ตอนนี้พวกเขามายืนอยู่บนยอดเขา และภูเขาด้านนี้กลับเป็นฝั่งตรงข้ามกับด้านที่พวกเขามองมาก่อนนั้น ด้านข้างมีน้ำไหลลง เป็นน้ำตกสายหนึ่ง ที่โหลชีพูดถึงก่อนหน้านี้ว่ารู้สึกได้ถึงน้ำ ก็คือที่นี่
โหลชีเลิกคิ้วใส่อิง โบ้ยปากไปทางน้ำตก ความหมายชัดเจนนัก ก่อนหน้านี้บอกว่ามีน้ำก็ไม่มีประโยชน์ไม่ใช่หรือไง? ข้ามมาไม่ได้หรอก? ดูสิ ดูสิ ความโชคดีของนางน่ะ!
อิงเห็นสีหน้าได้ใจของนางแล้วจะโกรธก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่เชิง เลยหันหน้าหนีไม่สนใจนางเอาซะเลย เขาเอื้อมมือไปดึงถุงน้ำที่เอวมา โหลชีหลุดหัวเราะพรืด "ไอ้หยา ท่านองครักษ์อิงเหตุใดโง่เขลานักเล่า? ถุงน้ำไม่อยู่แล้วยังมิรู้ตัวอีก! เฉินซ่า ท่านแน่ใจรึว่ายังจะให้เขาเป็นองครักษ์ข้างกายน่ะ?"
"โหลชี! เจ้าขี้ขโมย!" อิงเห็นถุงน้ำที่เอวนางแล้วเช่นกัน ใบหน้าหล่อเหลาพลันแดงก่ำ
"เจ้าโง่เองแล้วมาโทษข้ารึ? ตอนนั้นข้าบอกแล้วว่าจะเอาถุงน้ำ"
"เอามา ข้าจะเอาไปเติมน้ำ" อิงรู้สึกว่าตนต้องโดนนังเด็กนี่ทำโมโหตายสักวัน หากนางสามารถหยุดความเจ็บปวดของนายท่านในวันขึ้นสิบห้าค่ำได้ เขาจึงไม่กล้าไล่ไม่กล้าทำร้ายนางแม้เพียงนิด
"ไม่ให้" โหลชีทำหน้าล้อเลียนเขาอีก
"เจ้า!" ก่อนนี้ถุงน้ำของเขาเหลือน้ำเพียงครึ่งเดียว ถุงนั้นเป็นของนายท่าน ไม่เติมน้ำ พวกเขารีบกลับไปยังต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่ต้องดื่มน้ำหรือไร?
"ถุงน้ำนี้ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว เจ้าจะเติมน้ำก็หาอันอื่นเถิด" โหลชีพูดพลางซ่อนตัวหลังเฉินซ่าไป ตัวเขาใหญ่พอ ซ่อนตัวนางไว้ได้ทั้งตัวเลย
"นายท่าน..."
น้ำเสียงของอิงอ่อยลงอย่างน้อยใจ หากองครักษ์กลับตัวสั่นเทา ไอ้หยาแม่เจ้า องครักษ์อิงใช้น้ำเสียงราวกับเป็นหญิงสาวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? น่ากลัวเกินไปแล้ว!"
โหลชีหลุดหัวเราะพรืด
ตัวอิงได้สติกลับมา พลันเหงื่อไหลพราก กำลังกระแอมกระไอพูดแก้ความเข้าใจผิด ก็เห็นโหลชีโผล่หัวออกมาจากหลังเฉินซ่า มองเขาจากหัวจรดเท้า กลั้นหัวเราะถามว่า "ใต้เท้าอิง คนรักของท่านเป็นใครกัน? คงมิใช่เฉินซ่ากระมัง?"
กระอักเลือด กระอักเลือด
อิงยังมิทันกระอักเลือดออกมา โหลชีก็โดนใครบางคนหิ้วปีกไปแล้ว
"เฉิงสิบไปเติมน้ำ"
"ขอรับ นายท่าน" องครักษ์รับคำทันที เขายังมีถุงน้ำอีก
และในเวลานี้เอง โหลชีจึงได้รู้ว่าองครักษ์คนนี้ชื่อเฉิงสิบ หลายวันนี้พวกเขาไม่ได้เรียกชื่อเขาเลย นางเองก็ไม่ได้คิดจะถาม เพราะประสบการณ์ก่อนหน้านี้บอกนางว่า คนพวกนี้ไม่รู้ชื่อจะดีกว่า ถ้าเกิดเขาเจออันตรายอะไรจนถึงแก่ความตาย อย่างน้อยสำหรับนางก็คือคนไร้ชื่อ และนางเองก็คิดจะจากไปด้วย
หนึ่งวันหนึ่งคืนต่อมา พวกเขาได้แต่รีบร้อนเดินทาง ถึงเวลาหิวก็แค่หยุดพักหนึ่งคนมากินน้ำสองคำ กินอาหารแห้งเล็กน้อย โหลชีไม่มีวิชาตัวเบา ดังนั้นนางเลยเกาะหลังใครบางคนหลับสบายมาตลอดทาง ใครบางคนวิชาตัวเบาดีมาก บินเร็วระหว่างทางจนนางแทบไม่รู้สึกกระเด้งกระดอนอะไรเลย
อิงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันหลายครั้งเมื่อเห็นนางหลับสบายบนหลังนายท่าน แทบอยากเข้าไปกระชากนางออกจากตัวนายท่านประหนึ่งผ้าขาดวิ่นทิ้งไปเลย เหลือเชื่อยิ่งนัก เจอคนแบบนี้! นายท่านเคยต้องแบกใครอุ้มใครตั้งแต่เมื่อใดกัน? สาวใช้คนหนึ่ง สบายมากเกินไปกระมัง! น่าโมโหยิ่งนัก
แต่การคงอยู่ของนางกลับสำคัญยิ่ง
ดังนั้นเขาได้แต่กล้ำกลืนกระอักเลือดเพียงคนเดียวมาตลอดทาง
ตลอดทางไม่เจอผู้คนเลย โหลชีเองไม่ได้คิดจะแวะข้างทางอะไร ถึงตอนนี้พวกเขาจะเร่งรีบเดินทาง ถ้านางแวะ บางทีพวกเขาคงไม่มีเวลามาตามนางแน่ แต่นางไม่อยากทำตัวเป็นแมลงวันหัวขาดตัวหนึ่งบินชนไปทั่วแบบไม่รู้เรื่องอะไร ลองดูก่อนค่อยว่ากัน
คืนนี้ผ่านพ้น เมื่อแสงยามเช้าสาดส่องมาที่หน้าโหลชีและปลุกนางตื่น นางได้กลิ่นเหงื่อจางๆ ก่อนเลย แต่พ่วงกลิ่นดอกกล้วยไม้อบเชยมาด้วย ทำให้ไม่เหม็น นางพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวเองยังเกาะหลังเฉินซ่าอยู่ คืนนี้นางฝันแปลกมาก