บทที่ 12 ทางรอดหรือทางตาย
ที่แท้พวกเขากำลังเข้าใกล้รังงูพวกนี้ มิน่าเล่ายิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ งูพวกนี้ มันกลายพันธุ์เหมือนกัน ไหนเลยจะแค่กลายพันธุ์ ยังเหนือความคาดหมาย มีงูที่ไหนพ่นไฟได้กัน!
แต่ว่าพวกมันอยู่ต่อหน้าแล้ว มันเป็นของจริง!
"ไป รีบไป"
น้ำเสียงเฉินซ่ายังคงราบเรียบสงบนิ่ง ประหนึ่งอันตรายเบื้องหน้ามิคู่ควรให้เอ่ยถึง ชายผู้นี้สามารถฝึกตนจนท่าทีไม่ไหวติงแม้ภูเขาพังทลายลงตรงหน้าได้อย่างไร?
โหลชีวิ่งเร็วมาก งูพวกนั้นก็เร็วยิ่งกว่านาง คล้ายกับเป็นปีศาจ รู้จักรังแกผู้อ่อนแอยอมลงให้ผู้แข็งแกร่งกว่า งูหลายตัวที่พันกับต้นไม้พากันพุ่งเข้าหานาง ดั่งจะรัดคอนาง กัดหน้านาง และพ่นไฟใส่หัวนาง
โชคยังดีมีเฉินซ่าอยู่ด้านหน้านาง สองฝ่ามือประกบกัน สะบัดงูสองข้างทางบินว่อน แม้แต่ไฟที่งูพ่นออกมายังสะบัดพัดดับเลย
ด้านหลังมีองครักษ์กับอิง นางเองไม่ต้องกังวลอะไร
เพียงแต่ว่าต่อให้พวกเขาเก่งกาจเพียงใด งูมีจำนวนมาก มากเกินไป ต่อให้จะฆ่าก็ฆ่าได้ไม่หมด
ความชันใต้ฝ่าเท้าเริ่มลาดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้วิ่งแล้วเหนื่อยมาก
"ขึ้นมา"
ทันใดนั้นพลันได้ยินเฉินซ่าพูดทั้งๆ มิได้หันกลับมา โหลชีถามขึ้นอย่างสงสัย "อะไรนะ?" ที่ฝ่าเท้ามีงูพ่นไฟตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามา นางตกใจรีบกระโดดหนี
เฉินซ่าราวกับมีตาหลัง เขายกเท้าเหยียบด้านหลัง ลงหัวงูตัวนั้นเต็มๆ แต่ก่อนตายงูตัวนั้นยังมิวายพ่นไฟ ไฟนั่นจึงเผาพื้นรองเท้าของเฉินซ่าเข้าพอดี
เขาแค่นเสียงเย็น กระทืบเท้าดับไฟลง ท่าทางไม่รีบไม่ร้อน เด็ดขาดชัดเจน ไม่หวาดกลัวตื่นเต้นเพราะรอบข้างมีงูพ่นไฟแปลกประหลาดฝูงหนึ่งอยู่เลย
"ขึ้นมา" น้ำเสียงเขาเริ่มไม่พอใจเมื่อต้องเอ่ยเป็นครั้งที่สอง
ถ้ามิเห็นแก่ว่านางเป็นยาแก้ปวดของเขา อีกทั้งทุกวันขึ้นสิบห้าค่ำยังต้องการนาง เขามีหรือจะทำตัวกับสตรีเยี่ยงนี้ และมีหรือจะยอมให้นางเข้าชิดใกล้ครั้งแล้วครั้งเล่า
โหลชีถึงได้เข้าใจว่าเขาจะให้นางขี่หลัง อดลังเลไม่ได้ แต่พอเห็นงูที่ฝ่าเท้า นางกัดฟันกรอด กระโดดขึ้นหลังกว้างของเขาทันที
นางเป็นคนยุคปัจจุบัน ไม่ถือสาเรื่องชายหญิงห้ามใกล้ชิดกัน นางเกลียดงูมากที่สุด หากหนีได้จะหนี แต่เฉินซ่านี่แข็งแรงจริง น้ำหนักสี่สิบกว่ากิโลของนางกระโดดขึ้นไป เขากลับไม่ไหวติงสักนิด ฝ่าเท้าไม่ได้หยุด พุ่งทะยานขึ้นเขาด้วยความเร็วสูง ราวกับนางเบาดุจปุยนุ่นก็ไม่ปาน
"น่าตายนัก พวกมันกำลังพ่นไฟแล้ว!"
อิงร้องขึ้นมาอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน โหลชีหันกลับไปมอง งูนับไม่ถ้วนต่างพากันเงยหัว เริ่มพ่นไฟไปทุกทิศ ลูกไฟเหล่านั้นทำให้ต้นไม้ถูกเผาไปตามๆ กัน ชั่วพริบตาเดียว ด้านหลังกลายเป็นทะเลเพลิงแล้ว ในป่าทึบนี้ ไฟลามเร็วที่สุด ประกายไฟเริ่มเผาไล่หลังพวกเขามา
ดูท่า งูพวกนั้นเห็นว่าตามพวกเขาไม่ทัน โมโหจัด นี่ตั้งใจจะเอาให้ตายไปตามๆ กันเลยรึ?
วิ่ง ต้องวิ่งเร็ว ขืนไม่วิ่ง พวกเขาคงตายในกองไฟแล้ว
เวลานี้มีหรือจะสนใจ ดอกลึกลับอีก
โหลชีเกาะหลังเฉินซ่า เขาต้องใช้มือหนึ่งประคองนางไว้ อีกมือสะบัดฝ่ามือใส่เหล่างูที่ยังไม่ยอมแพ้ไม่หยุด ฝ่าเท้าไม่หยุดนิ่ง ดั่งกับว่าเท้าแตะพื้นเพียงนิดก็สามารถทะยานไปได้อีกหลายเมตร
ด้านหลังอิงกับองครักษ์พยายามตามติดความเร็วของเขาอย่างสุดชีวิต พยายามวิ่งแข่งกับงูและไฟพวกนั้น
"ที่นั่น วิ่งไปที่นั่น!" โหลชีพลันตบบ่าเฉินซ่า พลางชี้ไปด้านหน้าขวามือ
อิงตะคอกดังไล่หลังมา "วิ่งตรงไม่เสียเวลาที่สุด จะวิ่งอ้อมทำอะไร!"
โหลชีไม่มีเวลามาอธิบายกับเขา นางกลับตบบ่าเฉินซ่าอีก ร้องว่า "เฉินซ่า เฉินซ่า ฟังข้านะ วิ่งไปที่นั่น มีน้ำ!"
มีน้ำ? วิทยายุทธ์สูงส่งอย่างเขายังมิได้ยินเสียงน้ำไหลเลย นางรู้ได้อย่างไรว่ามีน้ำ?
ทะเลเพลิงด้านหลังเริ่มขยับตามมาชิดทีละก้าว บนเขามีแต่ป่าทึบ ไม่มีทางถอย วิ่งต่อไปแบบนี้มิรู้ว่าที่ไหนถึงจะปลอดภัย และจะหยุดได้เมื่อไหร่ เฉินซ่าแววตาครุ่นคิด หากร่างกายกลับมิได้ชะงักตามไปด้วย เขาเปลี่ยนทิศ วิ่งไปทางที่นางชี้ทันที
"ตามมา"
อิงกับองครักษ์เห็นเขาเชื่อคำพูดโหลชีจริงๆ พากันตะลึง ก่อนรีบตามไป
ไฟด้านหลังโหมกระหน่ำ ฝูงงูไล่กวดเข้ามา หลายคนข้างหน้าเพิ่มความเร็วอย่างบ้าคลั่ง
"หยุด หยุด หยุดก่อน!" โหลชีพลันร้องห้ามเสียงดัง
เฉินซ่าหยุดลง องครักษ์ที่วิ่งไล่ตามไม่ลดละกลับหยุดไม่ทัน ชนด้านข้างพวกเขาเข้า โหลชีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ยื่นมือไปคว้าคอเสื้อเขาไว้ และโยนไปด้านหลัง
มีก้อนหินใต้ฝ่าเท้าลื่นตกลงไป แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนสี
ความกว้างของหุบเหวลึกอยู่เบื้องหน้า ก้อนหินนั้นกลิ้งตกลงไป และไม่ได้ยินเสียงกระทบพื้นเลย นี่มันหุบเหวลึกนี่!
เมื่อครู่หากมิใช่โหลชีไหวตัวทัน รั้งองครักษ์คนนั้นไว้ เขาพลัดตกลงไปเห็นทีจะหาซากศพมิเจอแน่!
อิงหน้าเขียวเข้ม ย่างเข้าไปใกล้หนึ่งก้าว รู้สึกเพียงว่าปกคลุมไปด้วยหมอกควันจางๆ เหวนั้นลึกจนมองมิเห็นก้นเหว ระยะห่างจากเขาฝั่งตรงข้ามมาก และก็อยู่ในหมู่หมอกควัน ดูเลือนรางมิชัดเจน
"ทางที่เจ้าชี้มา! มันเป็นทางตันชัดๆ ! บอกมีน้ำมิใช่รึ? น้ำเล่า? สตรีเช่นเจ้าคิดจะให้ร้ายพวกข้าใช่หรือไม่?" อิงโกรธจัด ตะคอกดังใส่โหลชีที่ยังเกาะหลังเฉินซ่าอยู่
โหลชีเองก็ไม่คิดว่าที่นี่จะเป็นหุบเหวลึก หากนางไม่ยอมรับคำต่อว่าไร้เหตุผลของอิง จึงชี้ไปที่ฝั่งอีกด้านว่า "น้ำอยู่ที่นั่น!"
นางมิได้พูดปด เมื่อครู่ลมพัดมา เป็นทางนี้ชัดๆ ที่มีกลิ่นอายชื้นของน้ำ ทางนี้ต้องมีแหล่งน้ำแน่ และไม่ใช่แหล่งเล็กด้วย มิเช่นนั้นคงไม่ลอยไปตามกระแสลมได้แน่ ไฟกำลังลามไปทั้งภูเขา วิ่งหาแหล่งน้ำมันไม่ถูกหรือไร? เพียงแต่นางคิดมิถึงว่าที่นี่จะมีหุบเหวเท่านั้นเอง
ทั้งหมดมองไป เห็นสายน้ำสีขาวเงินไหลตามหน้าผาลงหุบเหวอยู่ที่ภูเขาฝั่งตรงข้ามจริง หมอกเหล่านั้นเป็นไอน้ำที่แหล่งน้ำโดนลมพัดขึ้นมา ยืนอยู่ตรงนี้ ลมที่พัดมาล้วนพัดพาไอชื้นมาด้วย
อิงกัดฟันพูด "ดี ดีมาก งั้นเจ้าบอกข้าสิ น้ำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีประโยชน์อันใดกัน หา?!" คำสุดท้ายเขาแทบจะอยากกินเลือดกินเนื้อนางเข้าไป
ด้านหลัง ไฟเผาผลาญภูเขาอย่างบ้าคลั่งคืบคลานเข้ามา ไอร้อนแผดเผามาถึงด้านหลังพวกเขา งูพ่นไฟพวกนั้นถึงจะโดนเผาไปกว่าครึ่ง หากยังมีอีกมากที่มิยอมแพ้คืบคลานมาพร้อมกับพ่นไฟไปด้วย
ด้านหน้าไร้ทางไป ด้านหลังมีทะเลเพลิง หรือว่าพวกเขาต้องมาตายที่นี่รึ?
โหลชีกัดริมฝีปาก ตัวแข็งค้าง
"เอะอะอันใดกัน? ทางอื่นมิแน่จะเป็นทางรอด" เฉินซ่าพูดเสียงเย็น เขาพูดความจริง มิใช่ทนไม่ได้ที่จะเห็นโหลชีโดนด่า
ที่นี่เดิมอันตรายรอบด้าน ทางนี้มีหุบเหว เลือกทางอื่นมิแน่อาจเป็นทางตันเช่นกัน โหลชีพบว่าทางนี้มีน้ำ วิ่งมาทางนี้ก็มิผิด พวกเขาชายฉกรรจ์สามคน ยังคิดจะโยนความผิดที่พาเข้าทางตันให้กับสตรีนางหนึ่ง?
โหลชีไม่คิดว่าเฉินซ่าไม่เพียงไม่ด่านาง ยังพูดแทนอีก นางรู้สึกดีกับผู้ชายคนนี้ขึ้นมากโข ไม่เจ้าอารมณ์ ไม่บ้าคลั่ง เขายังมีข้อดีอีกมากนัก!