CHAPTER. 7
ข้อดีของการโดนเทในครั้งนี้คือตรงกับช่วงวันหยุดยาวพอมีเวลาให้เธอได้ตั้งหลัก คิดจะอยู่ที่บ้านของคุณแม่ลูกอ่อนอีกสักคืนเพื่อเรียกสติตัวเองก่อนกลับไปทำงาน หลังรู้ข่าวเพื่อนสาวในกลุ่มที่เหลือต่างก็เป็นห่วงพิมพิสา วันนี้จึงพร้อมใจกันมารวมตัวตั้งแต่หัววัน
“มาค่ะ ครบองค์ประชุมแล้ว เล่ามาโลด” เจ้าของบ้านสวมบทเป็นประธานสภาประชุมว่าด้วยเรื่องความโสดสายฟ้าแลบของนางสาวพิมพิสา ภัทรธานินทร์
“เย่าเย่า ..โยด” เด็กหญิงได้ยินแม่พูดอะไรก็พูดตาม ทำเอาทุกคนหัวเราะด้วยความเอ็นดู
พิมพิสาเล่าเหตุการณ์คืนส่งท้ายปีให้ทุกคนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องเพิ่งผ่านมาได้ไม่เต็มวันดี เธอย่อมจำทุกท่าทางและคำพูดปกรณ์ได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงความรู้สึกขณะนั้นของตัวเองด้วย
เอาอีกแล้ว…เล่าจบพลันรู้สึกแสบในจมูก ทัศนะพร่ามัวเพราะม่านน้ำตากำลังเอ่อ เด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งเล่นบล็อกกลางห้องนั่งเล่นลุกขึ้นยืน แล้วเตาะแตะมาหาพิมพิสา มือป้อมแตะลงบนเข่าเธอพลางลูบไปมา
“โอ๋~” ท่าทางเด็กหญิงจะจำมาจากที่ผู้ใหญ่ทำ ครั้นเห็นคนร้องไห้จึงแสดงออกเช่นนั้น
“ตายแล้วลูก” พิมพิสาอุทานด้วยความเอ็นดู ก่อนจะอุ้มหลานขึ้นมานั่งตัก คำปลอบพยางค์เดียวจากเด็กที่มีฟันในช่องปากไม่เกินหกซี่ ช่วยปัดเป่าความรู้สึกหม่นเศร้าออกไปได้มากทีเดียว
“เลี้ยงลูกมาดีมาก จนไม่เชื่อว่าเป็นลูกนังแน้ต” จุฑามาศหรือจูนเอ่ยชมเพื่อน แต่ฟังแล้วเหมือนด่าอยู่ในที
“ปากแจ๋วแบบนี้ น้าจูนจะอดกินข้าวแล้วได้กินอย่างอื่นแทนนะคะ” พิชญ์นาฎตอบโต้
“กลับเข้ามาเรื่องไอ้แพรก่อน” อรณิชาหรือออมดึงให้ทุกคนกลับเข้าประเด็นหลัก “แกถามแค่เหตุผลคำเดียวแล้วก็ปล่อยไปเลยเหรอ”
“อือ ช็อกสิ ไม่รู้จะถามอะไร แต่จะให้อ้อนวอน…ก็ไม่ใช่ตัวเอง” พิมพิสาไม่ใช่คนทะนงตน แต่กรณีนี้มองว่ารั้งไปก็ไร้ผล
“โอ้โห!” จู่ ๆ จุฑามาศก็ส่งเสียงดังขึ้นมากลางวงทั้งยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ราวกับมีโทสะ “ดูนี่ดิ!”