บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 1 ลาภก้อนโต (1)

ตอนที่ 1

ลาภก้อนโต

ร่างสมส่วนในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนรองเท้าผ้าใบสีขาวอมเหลืองเก่าๆ ก้าวเท้าลงจากรถโดยสารประจำทาง แล้วเดินย้อนกลับไปที่หน้ารถเพื่อจ่ายค่าโดยสารให้คนขับ จากนั้นก็พาร่างอันเหนื่อยอ่อนจากการเดินตะเวนสมัครงานจนเกือบจะทุกซอกซอยของนิคมอุตสาหกรรม เข้าไปในซอยที่เต็มไปด้วยตึกและห้องแถว สำหรับคนทำงานไว้เช่าพักอาศัย และเธอก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ที่มาหางานทำและเช่าห้องเดือนละหนึ่งพันสองร้อยบาทอยู่ตามลำพัง

“ทำมันงานมันหายากหาเย็นอย่างนี้ว้า...” กัญชรสหรือรสบ่นพึมพำ ขณะยกซองเอกสารขึ้นโบกสะพัดบรรเทาอากาศที่ร้อนอบอ้าว จนไม่น่าจะย่างกายออกไปไหน นอกจากอาบน้ำปะแป้งเย็นๆ แล้วนอนผึ่งพัดลมอยู่ในห้อง

หญิงสาวหยุดเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆ สองสามขั้นหน้าร้านสะดวกซื้อ หางตาเหลือบไปมองที่ตู้เอทีเอ็ม ก่อนจะกลับมาก้มมองกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลกลางเก่ากลางใหม่ ที่ด้านในมีเพียงเอกสารสำหรับใช้สมัครงานกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างชั่งใจ

“ลองเช็กยอดดูหน่อยดีกว่า เผื่อจะมีใครหลงโอนเงินเข้ามา สักร้อยสองร้อยก็ยังดี”

ด้วยความที่ตอนนี้เงินติดตัวเหลือไม่ถึงพันบาท และคาดว่าจะต้องตะเวนหางานอีกนาน และไม่รู้เมื่อไหร่มันจะได้ ทำให้กัญชรสตัดสินใจเบนเข็มไปที่ตู้เอทีเอ็ม แทนการเข้าร้านสะดวกซื้อ ร่างสมส่วนไปหยุดนิ่งอยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมามองข้างหลังว่ามีใครต่อคิวหรือเปล่า พอเห็นว่าไม่มีใครเลยสักคน หญิงสาวจึงดึงบัตรเอทีเอ็มในกระเป๋าเงินที่มีอยู่สองใบ ขึ้นมาเช็กยอดที่ละใบ โดยเริ่มจากใบล่าสุด ที่เพิ่งไปเปิดมาเมื่อสองเดือนก่อน ผลปรากฏว่ายอดเงินคงเหลือเก้าสิบเก้าบาทเจ็ดสิบห้าสตางค์ สร้างความเจ็บใจให้เธอเป็นอย่างมาก เพราะขาดแค่ไม่กี่สตางค์ก็จะสามารถกดเงินจำนวนนั้นมาใช้ได้แล้ว นิ้วเรียวกดปุ่มยกเลิกย้ำแรงๆ ดึงบัตรเก็บเข้ากระเป๋า ก่อนจะดึงบัตรอีกใบ ที่ไม่ได้ใช้มาเกือบปีอยู่แล้ว ค่อยๆ สอดมันเข้าไปในช่องเสียบบัตร จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนอย่างใจเย็น จนกระทั่งมาถึงขั้นตอนสำคัญคือการเช็กยอด นิ้วเรียวค่อยๆ จิ่มพร้อมกับกลั้นลมหายใจ เมื่อได้ยินเสียงกดดัง ติ๊ด! เธอก็รีบยกมือทั้งสองขึ้นไปปิดหน้าจอ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมันออกที่ละข้าง...ที่ละข้างอย่างลุ้นระทึก ด้วยความหวังว่ามันอาจจะมีหลงเหลือสักร้อยสองร้อยพอได้ให้ชื่นใจ นำมาสมทบกับเงินเก่าเพื่อต่อชีวิตไปอีกสักวันสองวัน

ตากลมโตเบิกโพลง รู้สึกตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น มือบางยกขึ้นตบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อย้ำว่าไม่ได้ฝันไป และเมื่อพอตั้งสติได้ใบหน้าตื่นเต้นตกใจ ก็ยื่นเข้าไปมองตัวเลขบนหน้าจอชัดๆ อีกครั้ง จากนั้นเพื่อความแน่ใจในจำนวนเงินที่เห็น ริมฝีปากบางจึงขมุบขมิบนับไล่ ไปตั้งแต่หลักหน่วย...สิบ...ร้อย...พัน...และมาจบลงที่หลักหมื่น

“ห้าหมื่น!” กัญชรสอุทานเสียงหลง ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากที่อ้าค้างของตัวเองเอาไว้ แล้วรีบกดยกเลิกการทำรายการ ดึงบัตรเอทีเอ็มมากอดแนบอกไว้ด้วยหัวใจที่เต้นระทึก

เธอเริ่มทำอะไรไม่ถูก ความคิดฝ่ายดีฝ่ายชั่วตีกันวุ่นวาย ทำไมในบัญชีของเรามีเงินเยอะแยะขนาดนี้ เกิดมาไม่เคยมีเงินค้างในบัญชีถึงห้าหมื่น กดเลยดีไหมหรือว่าไม่ดี เพราะมันไม่ใช่เงินเราแน่นอน ร่างสมส่วนยืนนิ่งชั่งใจไปพักหนึ่ง ว่าจะเชื่อจิตใต้สำนึกที่เป็นเทวดาหรือซาตานดี ท้ายที่สุดมันก็จบลงตรงที่ ‘เอาไว้ก่อน’ จากที่ตั้งใจว่าจะแวะซื้ออาหารญี่ปุ่น (มาม่า) และไข่ไปตุนเก็บไว้ แล้วค่อยเดินเล่นๆ กลับห้อง กัญชรสก็เปลี่ยนใจเรียกวินมอเตอร์ไซค์ไปส่งที่ห้องพักแทน

กัญชรสปลุกปล้ำอยู่กับการไขกุญแจหน้าห้องมาพักใหญ่ แล้วในที่สุดเธอก็ไขมันได้สำเร็จ มือข้างที่ถือแม่กุญแจเจ้าปัญหายกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลมาจนถึงขมับแรงๆ ก่อนจะรีบเปิดประตูพาตัวเองเข้าไปด้านในทั้งรองเท้า จากนั้นก็ทำการปิดประตูลงกลอน แล้วโยนร้องเท้าที่เพิ่งถอดออกไว้ตรงมุมห้องข้างประตู วางซองเอกสารและกระเป๋าสะพายไว้ตรงหัวนอน ใช้เท้ากดเปิดพัดลมที่ตั้งอยู่ปลายที่นอน ก่อนจะมานั่งขัดตะหมาดแหมะลงตรงกลางห้อง ยื่นแขนออกไปจนสุดเอื้อมแล้ววางบัตรเอทีเอ็ม ที่ชื้นไปด้วยเหงื่อลงบนพื้นกระเบื้อง

“เอาไงดีวะ” หญิงสาวพึมพำ พลางค้ำศอกแหลมลงบนต้นขาใช้ฝ่ามือเท้าที่ค้างอย่างคนคิดไม่ตก สายตาก็จ้องมองสิ่งตรงหน้าราวกับไม่เคยเห็นหรือเป็นของแปลกประหลาด ที่ร่วงหล่นมาจากห้วงอวกาศ หัวสมองก็พร่ำคิดอยู่แค่ว่าจะกดหรือไม่กดเงินในบัตรนี้มาใช้ดี

ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่กด แต่พอคิดไปถึงรายจ่ายในสิ้นเดือนที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอก็ชักจะไม่แน่ใจ จนต้องไปรื้อเอาใบแจ้งหนี้ในตู้เสื้อผ้าพลาสติกสีชมพูออกมาคำนวณรายจ่ายในสิ้นเดือนนี้ดู

“บัตรเครดิตหนึ่งใบจ่ายขั้นต่ำเก้าร้อย บวกค่างวดโทรทัศน์อีกหกร้อย บวกค่าห้องก็คงประมาณไม่เกินพันห้า รวมสามรายการก็ปาเข้าไปสามพันแล้ว ไหนจะค่ากินค่าอยู่ ส่งกลับบ้านอีกละ...ทั้งเนื้อทั้งตัวตอนนี้ก็เหลืออยู่แค่เก้าร้อย มันจะพอได้ไงวะ” กัญชรสคำนวณไปบ่นไป เบ็ดเสร็จรายจ่ายสิ้นเดือนนี้ไม่รวมค่าอาหารประทังชีวิตก็ตกประมาณห้าพันบาท แล้วเธอจะเอาเงินจำนวนนี้มาจากไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่...

ร่างสมส่วนเลื้อยตัวลงไปนอนบนพื้นกระเบื้องเย็นๆ ข้างๆ บัตรเอทีเอ็ม ใช้นิ้วจิ้มๆ มองตาปริบๆ ก่อนจะเริ่มพูดคุยกับมันราวเป็นสิ่งมีชีวิต

“นี่ๆ แก ถ้าฉันกดเงินที่แกมีอยู่มาใช้ แกคงไม่ว่าฉันใช่ไหม ตอนแรกฉันก็กะว่าจะไม่ แต่ดูๆ แล้วก็คงจะไม่รอด ที่จะต้องกดเงินที่แกมีอยู่ออกมาสักหกเจ็ดพัน” คิ้วสวยได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด นิ้วที่จิ้มๆ อยู่ จู่ๆ ก็หยุดชะงัก เมื่อเธอสะดุดเข้ากับคำพูดของตัวเอง

หกเจ็ดพัน หนี้ก็ยังไม่หมด ถ้าจะเอาทั้งทีก็น่าจะปลดหนี้ไปเลย ว่าแล้วร่างสมส่วนก็ดีดตัวลุกขึ้นไปคำนวณหนี้สินทั้งต้นทั้งดอกที่มีอยู่ในขณะนี้บวกกับค่าใช้จ่ายใหม่ ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีผลการคำนวณก็ออกมาเป็นเงินประมาณเกือบๆ สามหมื่น เธอเลยปัดเศษไปเป็นสามหมื่นพอดี

“เอามันสามหมื่นนี่แหละ”

ว่าแล้วหญิงสาวก็คว้าบัตรเอทีเอ็มขึ้นมามองอย่างหมายมาด จากนั้นก็คลานไปหยิบกระเป๋าคู่กายขึ้นมาสะพายลุกขึ้นไปสวมรองเท้าแตะ ที่วางอยู่มุมห้องข้างประตูใกล้ๆ กับรองเท้าผ้าใบคู่เก่าที่เธอโยนไว้ก่อนหน้านั้น

และยังไม่ทันที่เธอจะปลดล็อกกลอนประตู เสียงริงโทนโทรศัพท์รุ่นดึกดำบรรพ์ ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้น กัญชรสล้วงมันขึ้นมาดูแล้วระบายยิ้มหวาน ก่อนจะกดรับแล้วกรอกเสียงสดใสลงไปตามสาย

“สวัสดีค่ะแม่”

“พ่อไม่ใช่แม่”

“อ้าวเหรอจ๊ะ งั้นก็ค่ะพ่อ...มีไรคะ” หญิงสาวเอ่ยสัพยอกผู้เป็นพ่อน้ำเสียงติดตลก

“คือตอนนี้พ่อกำลังจะเข้าอำเภอ เลยโทรมาถามว่า รสโอนเงินมาให้ยัง ถ้าโอนแล้วพ่อจะได้พกบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินซื้อของใช้มาด้วยเลย”

“อ๋อ...รสกำลังจะไปโอนพอดีเลยจ้ะ ไปถึงพ่อก็กดได้เลยนะจ๊ะ” หญิงสาวบอกพลางปลดล็อกกลอนประตูห้อง ใช้ไหล่ประคองโทรศัพท์ให้แนบกับใบหู ปากก็พูดกับผู้เป็นพ่อไปเรื่อย ส่วนมือก็ปลุกปล้ำกับการล็อกกุญแจห้องเจ้าปัญหา ที่เห็นทีเย็นนี้จะต้องซื้อมาเปลี่ยนใหม่ หลังจากที่ทนใช้มันมานานหลายเดือน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel