เป็นที่หมายปอง
เสียงโห่ร้องสลับกับเสียงกองยาวดังเป็นระยะๆ ทำเอาหัวใจคนเป็นเจ้าสาวใจเต้นอยู่ไม่น้อย อัยยายืนข้างพี่สาวที่ยืนมองขบวนแห่ผ่านหน้าต่างของบ้าน ขบวนขันหมากค่อยๆเคลื่อนเข้าประตูรั้วบ้าน ทว่าเจ้าบ้านกว่าจะฟันฝ่าประตูเงินประตูทองมาได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เมื่อได้ฤกษ์ยาม อัยยาก็จูงมือพี่สาวคนสวยมาส่งถือมือเจ้าบ่าว แม่เลี้ยงพยอมและบุษราคัมได้ตรวจนับสินสอดก่อนที่บ่าวสาวจะได้สวมแหวนหมั้น ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็ได้นั่งล้อมวงผู้ข้อไม้ข้อมือให้คู่บ่าวสาว
เมื่อถึงฤกษ์ส่งตัวเข้าหอ ขวัญข้าวก็อดที่จะเขินไม่ได้ เธอยืนบิดไปมา จนน้องสาวเกิดอาการหมั่นไส้ อดที่จะเอ่ยปากเหย้าพี่สาวไม่ได้
“ นี่พี่ขวัญ แค่พิธีส่งตัวยังไม่ได้เข้าหอจริง จะเขินอะไรนักหนา เก็บอาการหน่อย “
“ ก็มันตื่นเต้น แล้วพี่ต้องอยู่แต่ในห้องนี้ กับพี่พลจนถึงเย็นงานขันโตกเลยนะ “
“ แล้วไง ………” อัยยาสงสัยในอาการหน้าแดงของพี่สาว
“ โธ่……ยังต้องให้อธิบายอีก “
แต่ไม่ทันที่อัยยาจะได้คำตอบ ผู้เฒ่าผู้แก่ ก็ทำพิธีเสร็จสิ้น จึงได้ไล่ทุกคนออกจากห้อง เหลือเพียงอัยยาที่ยังคงยืนงงอยู่อย่างนั้น จนอำพล อดที่จะกะแซะน้องเมียไม่ได้
“ อัยย์ใจคอจะยืนอยู่ในห้องนี้กับพี่สองคนใช่ไหม “
“ อ่อ……ค่ะ เดี๋ยวไปแล้วค่ะ ขอโทษที่ขัดจังหวะ “
เมื่อสถานการณ์กดดันจากคนในห้อง อัยยาจึงรีบเดินออกมาก่อนจะปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ
“ ฮูว!! ……ยายอัยย์……แกยืนงงอยู่ดงขันหมากอยู่ได้ “ อัยยารำพึงรำพันเบาๆอยู่หน้าห้อง
เมื่อด้านนอกเงียบลงจนได้ยินเพียงเสียงหายใจของกันและกัน อำพลเดินมายืนทางด้านหลังเจ้าสาวแสนสวยที่เอาแต่ก้มหน้างุดอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ชายหนุ่มจับเก้าอี้ให้หันมาทางเขา ก่อนจะย่อตัวลงนั่งคุกเข่า เขาผสานมือหนาเข้ากับมือขาวที่บอบบาง พร้อมกับยกมือนั้นขึ้นมาจูบอย่างแผ่วเบา
“ ป้อจายคนนี้ คนที่นั่งอยู่หน้าขวัญของสัญญาว่าจะฮักและดูแลไปตลอดชีวิตจนกว่าชีวิตของป้อจายคนนี้จะหมดลม”
“ สัญญาแล้วนะถ้าผิดคำพูด เจอดีแน่!!…”
“ บ่มีทางเป็นจะอั้น ก็เมียปี่คนอะหยังคือมางามแต๊งามว่า “
“ ปากหวานเสียจริง “
“ ปี่ฮักน้องเน้อ ……อู้กำเมืองได้ก๊ะ ปี่อยากยิน”
“ เออ……… เปิ้นฮักตั๋วเน้อ “
อำพลหัวเราะเบาๆที่ได้ยินสำเนียงแปล่งๆจากเจ้าสาวป้ายแดง เขาจูบที่หน้าผากขาวก่อนจะเลื่อนหน้าลงมาประกบริมฝีปากหนาลงบนริมฝีปากบางที่เย้ายวน คู่บ่าวสาวในวันส่งตัวมักจะเปรียบเสมือนผลไม้สุกงอมรอวันตกจากต้น อำพลถอนจูบก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางวางลงบนที่นอนนุ่มที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบ
“ ที่รักพร้อมมั้ย”
“ พร้อมอะไรคะ “
“ พร้อมมีหลานให้ยายอุ้มไง “
“ จะบ้าเหรอพี่พล ยังกลางวันอยู่เลย คนอยู่เต็มบ้านเต็มบ้าน”
“ ไม่บ้าหรอก ใครจะไปอดใจไหว เจ้าสาวปี่ขาวเผื้อะขาวเผือก เห็นแล้วหน้ามืด “
“พี่พลอย่ามาพูดกลางทีเหนือทีขวัญไม่เข้าใจ “
“ เอาเป็นว่าพี่จะทำเบาๆ แต่ขวัญต้องให้ความร่วมมือกับพี่ด้วย “
“ ฮือ!! ร่วมมืออะไร “
“ อย่า…ร้อง…ดัง “
“ พี่พลบ้า ………ไม่เอาหยุด… “
อำพลไม่ฟังเสียงร้องทักใดๆทั้งนั้น เขาบรรจงซุกไซ้ไปตามซอกคอระหงเงยขึ้นมาประกบปากจูบมอบความหวานจนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างของหญิงสาว เขาซุกจมูกโด่งไล่ลงต่ำมาเรื่อยๆจนคนใต้ร่างเริ่มจะหลอมละลายกลายเป็นขี้ผึ้งโดนไฟก็ไม่ปาน แม้เสียงเอ็ดตะโรจากนอกห้องจะยังคงดังต่อเนื่อง ด้วยผู้คนช่วยกันเตรียมงานสำหรับเลี้ยงขันโตกญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายในเย็นนี้ก็ไม่อาจหยุดยั้งไฟสวาทที่โหมกระหน่ำหัวใจของคนทั้งสองในตอนนี้ได้ กว่าพายุร้อนที่ก่อตัวจากความรักจะพัดผ่านขวัญข้าวไปก็เล่นเอาหญิงสาวเมื่อยขบไปทั้งตัว เธอพยุงร่างลุกขึ้นนั่งช้าๆ ก่อนจะหันไปอมยิ้มให้กับชายตัวโตที่นอนฟุบหน้ากับหมอนมีเพียงผ้าขนหนูปิดกายท่อนล่าง เผยให้เห็นขาอ่อนและไหล่กว้างที่แสนอบอุ่น
หลังจากเกือบสามชั่วโมงผ่านไปสำหรับพิธีส่งตัวเข้าหอ อัยยาก็ไม่เห็นหน้าพี่สาวและพี่เขยของเธอจะออกมาจากห้อง อัยยาอดสงสัยไม่ได้ จึงทำคำปองอย่างคนไร้เดียงสา
“ คำปอง เวลาพิธีส่งตัวเข้าหอเนี่ย ทำไมเขาห้ามให้คู่บ่าวสาวออกจากห้องจนกว่าจะถึงพิธีขันโตก “
“ ก็มันเป๋นความเชื่อนะเจ้า “
“ แล้วถ้าเราไม่ถือ จะออกมาเดินเล่นข้างนอกก็ได้นี่นา ข้างนอกมีอะไรให้ทำเยอะแยะ ญาติก็มากันเต็มบ้าน ทำไมพี่ขวัญต้องอยู่แต่ในห้องด้วย อึดอัดจะตายอยู่แต่ในห้องต้องห้าชั่วโมง…เบื่อตาย! “
คำปองหัวเราะคิ ในความเดียงสาของเจ้านาย คำปองคิดในใจว่านายหญิงของเธอจะไปรู้อะไร ว่ามันตื่นเต้นแค่ไหนในห้องนั้น ห้าชั่วโมงที่ว่าน่าเบื่อยังไม่รู้เลยว่าเวลาจะพอไหมถ้าเปลี่ยนเจ้าสาวในห้องวันนี้เป็นเธอ ก่อนพิธีเย็นจะเริ่มคำปองได้มาเคาะหน้าประตูห้องหอ เสียงประตูเปิดออกจากคนด้านใน ขวัญข้าวในชุดผ้าไหมสีสด ควงแขนเจ้าบ่าวในชุดผ้าไหมสีขาวงาช้าง เดินควงผ่านหน้าคำปองไป
“ หน้าบานขนาดไม่ต้องสืบก็ฮู้ว่า……อื๋ย!! “ คำปองอมยิ้มก่อนจะเดินตามหลังทั้งสองไป
ที่ในงานญาติๆต่างมาถ่ายรูปกับคู่บ่าวสาว อีกมุมของลานสนามหญ้าหน้าบ้านแม่เลี้ยงพยอม และบุษราคัมนั่งล้อมวงขันโตกแบบกันเอง อาหารเหนือ หลากหลายเมนู ถูกรังสรรค์มาวางลงตรงหน้า
“ คำปอง “
“ เจ้าแม่เลี้ยง “
“ ไป่ตามคุณอัยย์มากิ๋นข้าว “
“ เจ้า “ “ อุ้ย… คุณอัยย์เดินมาปู้นแล้วแม่เลี้ยง “
อัยยาเดินเฉิดฉายมาในชุดพื้นเมือง ทำเอาเพื่อนเจ้าบ่าวเจ้าสาวจับจ้องเป็นตาเดียว ร่างระหงเดินเนิบช้ามายังที่แม่เลี้ยงนั่งอยู่ บุษราคัมจ้องความสวยของว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตอย่างไม่วางตา
“ คนอะไร สวยมาก สวยจนสะกดป้าได้ขนาดนี้ นี่ถ้าลูก……เออป้าหมายถึงถ้าผู้ชายคนไหนที่หนูอัยย์เดินผ่านต้องหันมองจนเหลียวหลังแน่นอน “
“ ขอบคุณค่ะ แต่อัยย์คงไม่ได้สะดุดตาใครขนาดนั้น “
“ นั่นสิ บุษพูดเกินไป ถ้าสวยจริงป่านนี้ต้องมีแฟนมาอวดแม่บ้าน แต่นี่อะไรกันไปทำงานทำการที่กรุงเทพก็หลายปียังไม่มีชายไหนแลตามาเลย “
“ แม่คะ ก็อัยย์ยังไม่อยากมีแฟนต่างหาก ผู้ชายสมัยนี้ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ก็โง่อะ อัยย์ไม่ค่อยชอบ “
“ หนูอัยย์ยังไม่มีแฟนเหรอจ๊ะ “ บุษราคัมเลียงเคียงถาม
“ ค่ะ ยังไม่มี “
บุษราคัมยิ้มกริ่มทันทีที่รู้ว่าสาวน้อยยังไม่มีใครอยู่ในหัวใจ เธอจะได้กลับไปจัดการภารกิจพิชิตลูกสะใภ้ให้กับลูกชายตัวดี แม้ในงานจะมีผู้คนเยอะแยะ แต่ทางด้านอัยยาก็มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เดินเข้ามาทักทายขายขนมจีบเธอ ชนิดที่ว่าหัวกระไดไม่แห้ง แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเธอเลย อาจเป็นเพราะเธอตั้งสเปคไว้ค่อยข้างสูง ด้วยเธอนั้นเรียนจบเกรดนิยมอันดับสองบวกกับหน้าที่การงาน ทำให้ผู้ชายที่จะดูแลเธอต้องฉลาดกว่าเธอ และเก่งกว่าเธอมากๆ ถึงจะคว้าหัวใจอัยยาคนนี้ไว้ได้
‘ เป็นไงแค่เจอหน้าครั้งแรกก็เอ็ดดูสุดๆแบบนี้จะเหลือหรอ เรื่องราวเริ่มสนุกงั้นหนูนาขอไปต่อเรื่องที่ว่าความบังเอิญหรือตั้งใจไม่รู้ แต่ที่เขารู้กันทั้งออฟฟิศก็เพราะถูกเรียกตัวเข้าพบด่วนนะสิ ‘
* ขาวเผื้อะขาวเผือก = มองไปทางไหนก็ขาวไปหมด *