ณ ที่น่าน
หลังจากจัดการกับแฟ้มกองโตบนโต๊ะ อินทัชก็รีบบึ่งรถมุ่งตรงไปยังบ้านหลังงามทันที ทว่ากว่าจะฟันฝ่ารถติดจากที่ทำงานไปถึงบ้านก็เอาเสียเวลาไปเกือบสองชั่วโมง
ที่ห้องอาหาร อินทัชถอดสูทแขวนไว้กับเกาอี้ข้างๆก่อนจะหย่อนตัวลงหน้าข้างผู้เป็นพ่อ ชายหนุ่มรู้สึกว่าภายในบ้านเงียบผิดปกติจึงเอ่ยถามหาสมาชิคในบ้านที่หายไป
“ พ่อครับ แม่ละครับ “
“ ไปน่าน “
เมื่อได้ยินคำตอบชายหนุ่มแทบจะสำลักน้ำที่กำลังดื่ม เขารีบวางแก้วน้ำทันที
“ อะไรนะ!!………ไปน่าน อย่าบอกนะครับว่าไปดูตัวว่าที่ลูกสะใภ้ให้ผมอีก “
“ ไม่ใช่ แกก็อย่ามองแม่แกในแง่ร้าย แม่แกเขาไปร่วมงานแต่งลูกสาวเพื่อน “
“ ใครกันครับ “
“ หนูขวัญข้าว ลูกน้าพยอมไงละ “
“ อ๋ออออ……ผมจำได้ละ แล้วแม่ไปกี่วันละครับ “
“ ก็ว่าไปสักหนึ่งอาทิตย์ “
แค๊กๆๆ แค๊กๆๆ ชายหนุ่มสำลักอาหารอีกครั้งเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของผู้เป็นพ่อ
“ อะไรของแก อิน สำลักอยู่ได้ “
“ โธ่พ่อ……ไม่ให้สำลักได้ไง แม่ไปเป็นอาทิตย์ นี่ผมสงสัยแม่ถูกเชิญไปร่วมงานหรือ ถูกเชิญไปเป็นแม่เจ้าสาว ถึงได้อยู่นานเสียจริง”
“ คงจะแวะเที่ยวตามประสาแม่แกนั่นแหละ ………ว่าแต่งานวันนี้แกทำได้ดีนะ “
“ ครับพ่อ ขอบคุณครับ “
“ อันที่จริงพ่อก็เห็นด้วยกับแม่แกนะเรื่องผู้หญิง การงานหน้าที่ความรับผิดชอบพ่อไม่เคยห่วง ถ้าจะห่วงก็คงเป็นเรื่องครอบครัวในอนาคตแก อิน……พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่กับแกร้อยปีนะโว้ย ดังนั้นแกก็ควรจะมองหาคนรู้ใจไว้บ้าง อย่าน้อยก็ช่วยดูแลกันตอนแก่นะ “
“ ครับพ่อ ผมจะพยายาม”
“ พยายาม!!… แค่เมียยังต้องพยายาม “
“ พ่อครับ หาแม่ของลูกนะครับ ไม่ใช่ช้อนปลาหางนกยูง “
ท่านธีรวุฒิส่ายหน้าอย่างระอาให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ อายุอานามปีนี้ก็ปาเข้าไปสามสิบแล้ว ยังไม่คิดเรื่องมีครอบครัว แล้วชาตินี้เขาและคุณบุษราคัมจะได้อุ้มหลานไหมเล่า
ที่น่าน หญิงวัยกลางคนสวมชุดผ้าไหมอิตาลีสีชมพูพาสเทลพร้อมกับหมวกปีกกว้างที่เด่นจนเป็นที่จับจ้องของผู้คนในไร่ส้มพยอม เรือนรับรองแขก คุณบุษราคัมหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หวาย หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าทอนุ่งซิ่นยกถาดที่มีน้ำหวานพร้อมของว่างวางลงบนโต๊ะแก้ว
“ เดี๋ยวแม่เลี้ยงมานะเจ้า เชิญคุณนายกิ๋นน้ำก่อนนะเจ้า”
บุษราคัมพยักหน้าเล็กน้อย เธอหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มก่อนจะลุกขึ้นยืนมองไปทางเรือนไม้สักทรงไทย ที่อึกกะทึกไปด้วยเสียงดนตรี เสียงซอที่ได้ยินมาแต่ไกลๆฟังที่ไรก็เพราะจับใจไม่รู้ลืม
“ บุษ! “
เสียงหวานทุ้มแบบฉบับสาวเหนือ ทำให้บุษราคัมต้องหันไปทันที ทั้งสองเมื่อพบหน้ากันก็อดไม่ได้ที่จะโผกอดกันด้วยความคิดถึง บุษราคัมและพยอมเป็นเพื่อนรักในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวก่อนที่ทั้งคู่จะต่างฝ่ายต่างมีครอบครัว จนกระทั่งบุษราคัมได้ยินข่าวร้ายของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสามีเพื่อนรัก พยอมขายกิจการทุกอย่างของสามี เหลือไว้เพียงคอนโดหรูที่แม่เลี้ยงและสามีซื้อเหมาไว้ทั้งชั้นเพื่อลูกสาว หลังจากนั้นได้ปีกว่าแม่เลี้ยงก็ได้ย้ายกลับภูมิลำเนาของตน
“ หกปีแล้วที่เราจากกัน เธอยังสวยไม่เคยเปลี่ยนเลยบุษ “
“ แหมๆ เธอก็ใช่ย่อยพยอมดูสิ วัยเลขห้าเช่นเรารักษาผิวให้ขาวผ่องได้ขนาดนี้ฉันละยอมแพ้เธอจริงๆ “
“ แล้วทานอะไรมารึยัง ไปที่เรือนใหญ่นะ ฉันอยากอวดลูกเขย “
“ ไปสิๆ นี่ฉันมีของจะให้หลานด้วยนะ “ คุณบุษราคัมหยิบกล่องหัวใจกำมะหยี่สีแดงออกมา
“ โอ้ย !!! อะไรอีก ซื้อเก่งจริงแม่คนนี้ “
ทั้งสองเดินคุยกันไปตลอดทางจนมาถึงหน้าเรือนใหญ่ อำพลออกมายืนต้อนรับบุษราคัมพร้อมกับว่าที่เจ้าสาว
“ ไหนขอป้ากอดหน่อยสิหนูขวัญ “ บุษราคัมโผเข้ากอดขวัญข้าวหลานสาวที่เลี้ยงมาแต่เล็ก
“ เนี่ยรู้ไหม ถ้าแม่ไม่พาขวัญมาที่นี่นะ ป่านนี้ได้แต่งงานกับลูกชายป้าไปละ “
“ คงไม่ขนาดนั้นมั้งคะคุณป้า “ ขวัญข้าวเอามือโอบเอวชายหนุ่มที่ยืนข้างๆ
“ บุษ……นี่อำพลแฟนขวัญ “ แม่เลี้ยงพยักพเยิดหน้าไปที่ชายที่ยืนเคียงข้างขวัญข้าว
“ ว๊ายตายแล้ว ป้าขอโทษนะที่แซวหนูขวัญแบบนั้น อย่าถือสาป้านะ ป้านะหยอกพยอมเล่นก็รายนี้นะหวงลูกสาวมาก “
“ จริงครับ “ อำพลพยักหน้าเห็นด้วย
ที่ชานบ้าน ยามเย็น มองเห็นพระอาทิตย์ตกที่ค่อยๆหายไปจากท้องฟ้า ตัดกับภูเขาเขียวขจี ยิ่งมองต่ำลงมาเรื่อยๆก็จะเห็นต้นไม้เขียวตัดกับผลของส้มดูสบายตา
“คำปอง ไปตามคุณอัยย์มาที “ ขวัญข้าวเรียกสาวใช้ให้ไปตามน้องสาว
“ คุณอัยย์บ่อยู่เจ้า คุณอัยย์ไปกาดเจ้า “
“ แปลกจัง นี่แสดงว่าคงมีแต่พยอมสินะที่พูดภาษาเหนือ “ บุษราคัมถามด้วยความสงสัย
“ ใช่ เราไม่เคยสอนให้พูดตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะยายขวัญ เกิดและโตที่กรุงเทพย้ายมาที่น่านก็อายุสิบขวบแล้ว “
“ แล้วลูกสาวคนเล็กเธอ เมื่อไหร่จะได้เห็นป่านนี้คงโตเป็นสาวแล้วสินะ”
ทางด้านในครัว อัยยากำลังขมักขเม้นกับการขูดมะพร้าวเพื่อเตรียมทำขนม เมื่อคำปองเดินผ่าน เธอจึงร้องทักทันที
“ คำปอง!! ……เป็นไงแม่ถามหาไหม “
“ แม่เลี้ยงบ่ได้ถามเจ้า แต่คุณขวัญถามหานะเจ้า ทำไมคุณอัยย์ต้องให้ข้าเจ้าจุ๊ด้วยหนา อันเพื่อนแม่เลี้ยงไค้หันหน้าคุณอัยย์ขนาดนะเจ้า”
“ ก็ ฉันยังไม่พร้อมนี่นา ดูสิเลอะเทอะไปหมด ขืนออกไปให้แม่เห็นสภาพนี้ มีหวัง โดนประหาร “
“ ประหารเลยก๊ะเจ้า แม่เลี้ยงคงบ่ใจ๋ร้ายยะกะลูกจ๊ะไปกิ๊ดนัก “
“ อะ!……นี่ขูดต่อไปเลย “ อัยยาส่งลูกมะพร้าวที่กำลังขูดอยู่ในมือยื่นส่งให้คำปอง
“ โขดข้าเจ้าเรื่องอะหยัง “
อัยยาถอนหายใจก่อนจะหันไปพูดแกมเบื่อหน่ายระอาในความใสซื่อของคำปอง
“ โกรธ ในความง่าวของแกไง “
“ เป๋นอะไรของเปิ้น “
หลังจากจัดการเนื้อตัวที่แสนมอมแมม อัยยาก็เดินตรงมายังชานบ้าน ที่มีคนมาช่วยงานล้อมวงกัน บางกลุ่มก็นั่งพับดอกบัว บางกลุ่มก็ปั้นบัวลอย เสียงสนทนาภาษาถิ่นกันอย่างสนุกสนาน ที่โต๊ะไม้ใหญ่ อัยยาเดินมานั่งข้างผู้เป็นแม่ก่อนจะยกมือไหว้หญิงกลางคนที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนท้องที่
“ อัยย์ มาแล้วเหรอ หายไปนานจังลูก นี่ป้าบุษ เพื่อนแม่สมัยเรียน จะมาอยู่ช่วยงานเรา “
“ สวัสดีค่ะ ป้าบุษ “
“ นี่หนูอัยย์เหรอเนี่ย ตายแล้ว ตอนนั้นห้าขวบก็ว่าหน้ารักแล้วนะ ยิ่งโตยิ่งสวยขึ้นไปอีก “
“ สวย ไม่เถียง แต่ความเปิ่น ยังไม่หาย “
“ แม่ !! …… พูดอะไร “
“ แล้วหนูอัยย์ ทำงานที่ไหนจ๊ะ เห็นแม่บอกอยู่ กรุงเทพฯ “
“ ค่ะ หนูทำงานที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งหนึ่งค่ะ”
“ ว๊ายตายแล้ว อยู่ธนาคารอะไรละ นี่ลาออกแล้วมาอยู่ธนาคารป้าไหม ป้าจะดันหนูให้ขึ้นผู้บริหารเลย “
“ เออ………ขอบคุณค่ะ ป้าบุษ แต่อัยย์ว่าแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วค่ะ “
“ ถ้าอึดอัดก็ลาออกเลยนะลูก อย่ามัวรอช้า “
“ ค่ะคุณป้า “ อัยยาไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเมื่อบุษราคัมเอาแต่จ้องหน้าเธอตาไม่กะพริบราวกับเจอสิ่งของถูกใจก็ไม่ปาน
‘ ความน่ารักของนางถูกตาถูกใจว่าที่แม่สามีตั้งแต่แรกเห็น คนอะไรวาสนาดีสุดๆแต่ยังยังไม่พอจะเล่าความปลาบปลื้มในตัวนางที่คุณบุษราคัมหลงรัก เอาให้อิจฉากันตาแตกไปเลย ‘