บทนำ
พ.ศ. 2562
กลางซอยแจ้งวัฒนะติดกับห้างสรรพสินค้ามีชื่อ หญิงสาวอายุยี่สิบหกปีสวมชุดนักศึกษา เดินเข้าไปในอาคารชั้นเดียวที่คนละแวกนั้นต่างรู้ดีว่า มันคือบ่อนการพนันที่เปิดเย้ยกฎหมาย คนเฝ้าบ่อนด้านหน้าส่งยิ้มให้สาวนักศึกษาที่วันนี้ใบหน้าอิดโรย ราวกับเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน
“แม่ล่ะพี่เข้ม” ลักษิณาถามเข้ม คนเฝ้าประตูด่านแรก
“อยู่ข้างใน” เข้มตอบเสียงเรียบ “วันนี้ดูท่าทางรักเหนื่อยนะ หน้าโรยเชียว”
“วันนี้มีเรียนตอนเช้า ตอนกลางวันก็ต้องรีบไปทำงาน ตอนเย็นก็ต้องไปสอนพิเศษ สอนเสร็จก็มานี่แหละพี่” ลักษิณาตอบ “รักเข้าไปข้างในก่อนนะพี่”
เข้มพยักหน้าเปิดประตูให้สาวนักศึกษาเข้าไปด้านใน ที่แบ่งออกเป็นสามห้องใหญ่ๆ ที่เชื่อมต่อกันห้องแรกจะเป็นตู้ปลาและกาสิโนออนไลน์ ในส่วนนี้มีนักพนันเล่นไม่ค่อยมากเท่าไหร่ เดินผ่านประตูบานที่สองจะเป็นห้องเล่นตู้สล็อตวางเรียงรายหลายตู้ มีนักเสี่ยงโชคเล่นกันเต็มทุกตู้ ก่อนที่หล่อนจะเดินไปยังห้องที่สามห้องที่ใหญ่ที่สุด และมีนักพนันเล่นนับร้อยคน
ห้องนี้มีการเล่นพนันสามชนิด หนึ่งคือโต๊ะแทงไฮโลโต๊ะใหญ่ที่มีนักพนันรายล้อมประมาณห้าสิบคน ส่วนอีกสามโต๊ะขนาดกลางจะเป็นการเล่นมังกรเสือ แต่ละโต๊ะมีพนักงานของบ่อนเป็นคนรับแทง อีกสองโต๊ะจะเป็นโต๊ะป๊อกเด้ง คนที่มาเล่นสองโต๊ะนี้ค่อนข้างเกรดดี กระเป๋าหนักแทงได้เสียครั้งละหลักพัน ต่างกับโต๊ะอื่นที่หลักสิบและหลักร้อย
ลักษิณาไม่ได้เดินไปเล่นการพนัน หล่อนเดินเลี้ยวไปทางด้านซ้ายมือที่แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ ห้องน้ำ ห้องอาหารไว้สำหรับอำนวยความสะดวกเรื่องอาหารการกินและเครื่องดื่มให้กับนักพนัน และเป็นส่วนของห้องทำงานคนคุมบ่อน
“สวัสดีค่ะน้าหมาย” ลักษิณาพนมมือไหว้สมหมาย คนคุมบ่อนที่ยกมือรับไหว้
“วันนี้แม่ลื้อมาเสียไว้สามหมื่น ลื้อต้องเอามาคืนอั๊วห้าหมื่น” ลักษิณาถอนหายใจออกมาเบาๆ หันไปมองมารดาที่นั่งกินข้าวอย่างสบายใจ ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนกับหนี้สินที่ตัวเองก่อ
“ค่ะน้าหมาย” ลักษิณารับคำง่ายๆ ราวกับว่ามีเงินสำรองเป็นถุงเป็นถัง มีไว้ใช้หนี้สินแทนมารดาโดยไม่ลำบากลำบน ซึ่งมันไม่ใช่เลย ลักษิณาเดินออกจากห้องไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดไปรเวท จากนั้นจึงเดินไปยังโต๊ะป็อกเด้งเพื่อทำหน้าที่ดีเลอร์หรือคนแจกไพ่
เป็นที่รู้กันว่า โต๊ะป็อกเด้งที่ลักษิณาทำหน้าที่ดีเลอร์มีแต่คนกระเป๋าหนัก เดิมพันตาละหนึ่งพันบาท มีผู้เล่นทั้งหมดเจ็ดคน ลักษิณาเป็นดีเลอร์มานานสองปี คนที่สอนให้หล่อนเป็นอดีตเซียนไพ่ที่เก่งที่สุดในประเทศไทยนามว่าเฮียจู้ หกเดือนที่หล่อนเป็นนักเรียนหัวไว และอีกหกเดือนต่อจากนั้น ลักษิณาใช้บ่อนแห่งนี้เป็นที่ฝึกปรือฝีมือ เวลาผ่านมากว่าหนึ่งปีหกเดือน ทำให้หล่อนก้าวเข้ามาสู่มืออันดับต้นๆ ของวงการพนัน
หน้าที่ของลักษิณาไม่ใช่เพียงการแจกไพ่ หน้าที่หลักของหล่อนคือ การโกง โกงในที่นี้คือ การโกงในรูปแบบการล้างไพ่ สับไพ่ ตัดไพ่ และแจกไพ่ ซึ่งเทคนิคต่างๆ ลักษิณารู้ดี และรู้ด้วยว่า ต้องดูดเงินจากใคร และให้ใครเป็นผู้เล่นได้
การจัดเล้าจึงเริ่มขึ้น จัดเล้าที่ว่านี้คือ จะมีคนของบ่อนแฝงตัวเป็นผู้เล่นสามคนที่เรียกกันเฉพาะว่า ลูกเล้า อีกสี่คนคือเหยื่อในการถูกโกงจะมีศัพท์เรียกว่า ลงเล้าหรือหมูลงเล้า โดยเป้าหมายไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังถูกสูบเงินในกระเป๋า
การโกงไม่ใช่ว่าจะโกงตั้งแต่ต้นเกม ลักษิณาให้หมูที่กำลังลงเล้าเล่นได้ก่อน ส่วนลูกเล้าได้บ้างเสียบ้างสลับกันไปเพื่อไม่ให้เหยื่อสงสัย จากนั้นค่อยเอาคืนแบบตาเว้นตา สองตาเว้นหนึ่งตา และให้ตนซึ่งเป็นเจ้ามือ ได้เด้งสองสีหรือสองเด้ง สามเด้ง ไพ่เรียง และอื่นๆ ที่เจ้ามือชนะรอบวง ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงลักษิณาก็สามารถหาเงินได้ห้าหมื่นตามจำนวนเงินที่ต้องใช้คืนบ่อน
“ได้คืนแล้วนะน้าหมายห้าหมื่น” ลักษิณาเดินเข้ามาบอกสมหมายคนคุมบ่อน พร้อมกับเงินห้าหมื่นบาท
“ทำไมลื้อไม่เล่นต่อล่ะ ฝีมืออย่างลื้อ ถ้าเล่นต่อลื้อได้เปอร์เซ็นต์เป็นหมื่นเลยนะ” สมหมายอยากให้ลักษิณามาประจำเป็นดีเลอร์ที่นี่ใจแทบขาด หากหล่อนมาประจำรายได้ของบ่อนจะมีมากตามไปด้วย เขาใจปล้ำให้เปอร์เซ็นต์ร้อยละสามสิบจากรายได้ทั้งหมดที่โกงในแต่ละวัน ทว่าลักษิณากลับไม่สนใจ
“ไม่ค่ะ เท่าที่ทำอยู่ก็มากพอแล้ว เฮียก็รู้ว่ารักไม่อยากทำ แต่ที่ทำเพราะแม่ค่ะ”
ลักษิณาไม่คิดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสถานที่อโคจรแห่งนี้ แต่ด้วยความจำเป็นทำให้หล่อนต้องมาคลุกคลีในสิ่งที่เกลียดเข้าไส้ จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อสองปีสองเดือนก่อน หากมารดาไม่ติดการพนันหนักและเป็นหนี้สินบ่อนสามแสนบาท แถมถูกขู่บังคับว่าจะฆ่าทิ้งหากไม่นำเงินมาคืน หล่อนก็คงไม่เข้ามาทำงานบาปงานนี้
“เอานี่ไป เฮียให้” สมหมายเข้าใจความรู้สึกลักษิณา ใจหนึ่งก็สงสาร แต่อีกใจเขาก็ต้องใช้เงินเพื่อความอยู่รอด ช่วยเหลืออะไรหล่อนไม่ได้นอกจากสินน้ำใจเล็กน้อยที่หยิบยื่นให้ “เอาไว้ซื้อนม ซื้อขนมให้ลูกกิน”
“ขอบคุณค่ะเฮีย แต่แหม แค่ห้าร้อยมันดูน้อยไปนะคะ” คนที่ยื่นมือมารับเงินไม่ใช่ลักษิณา แต่เป็นกมลา มารดาของเซียนพนันสาว
“อั้วรู้อยู่แล้วว่าลื้อต้องชิงเงินลูกไป อั้วเลยให้เท่านี้ไง”
สมหมายระอากับกมลา แต่ที่ยอมให้เข้าบ่อนเพราะมีลูกสาวเป็นถึงเซียนแจกไพ่ ต่อให้กมลาติดหนี้สินหลักแสน หลักล้าน เขามั่นใจว่าได้ยืนในระยะเวลาไม่กี่วัน กมลาไม่สนใจคำพูดสมหมาย นางเก็บเงินใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไปทันที
“รักกลับก่อนนะคะเฮีย” ลักษิณาพนมมือไหว้
“เดี๋ยวก่อน เอาเงินนี่ไป แล้วอย่าให้แม่รู้ล่ะ” สมหมายหยิบเงินให้ลักษิณาหนึ่งพันบาท “ถือว่าเฮียให้ปราชญ์ก็แล้วกัน เอาไปซื้อนม ซื้อขนมให้ลูก”
“ถ้าไม่อยากให้แม่รู้ รักต้องไม่รับค่ะ” ลักษิณาไม่เคยรับเงินจากสมหมายเลยสักครั้ง เพราะหล่อนถือว่าเงินที่ได้มาจากบ่อนคือเงินไม่สุจริต มาจากการโกง เป็นเงินร้อนและเงินบาปที่ไม่ควรแตะต้อง “ขอบคุณเฮียมากค่ะ แต่รักขอไม่รับนะคะ”
สมหมายนับถือความคิดลักษิณามาก หล่อนแน่วแน่ตั้งแต่แรกว่า จะไม่รับสินน้ำใจจากเขาทุกกรณี หล่อนมาที่นี่เพื่อปลดหนี้ให้มารดา ไม่ใช่รับทรัพย์จากการโกง ทั้งที่มีฝีมือทางด้านนี้ สามารถหาเงินเลี้ยงชีพ เลี้ยงครอบครัวได้วันละหลายหมื่นบาท หรืออาจจะหลักแสนด้วย สมหมายเสียดายฝีมือระดับเซียนของลักษิณามาก
“แกนี่บ้าหรือเพี้ยนฮะ ที่นี่หาเงินให้แกได้วันละเป็นหมื่นทำไมไม่ทำ ไปทำงานแต่งหน้าให้หมอนวดได้วันละพันอยู่ได้ มีสมองหรือเปล่าเนี่ย”
หลายครั้งที่กมลาต่อว่าลูกสาว เพราะนางอยากให้ลักษิณามาทำงานในบ่อนมากกว่า ไปรับจ้างแต่งหน้าในอาบอบนวดขึ้นชื่อแถวรัชดา เปรียบเทียบรายได้ที่นี่ได้มากกว่าหลายเท่า
“แม่อย่าพูดเลย ยังไงรักก็ไม่ทำงานที่นี่แน่” ลักษิณาตอบกลับมารดา “แล้วแม่ก็เลิกเล่นการพนันได้แล้ว เล่นทีไรมีแต่เสีย รักไม่อยากโกงใครอีกแล้วนะแม่ มันบาป”
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลักษิณาพูดกับมารดา หล่อนพูดแล้วพูดอีก พูดซ้ำพูดซากแต่ก็ไม่ได้ทำให้กมลาสำนึกในความผิดเลย กลับทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่ละอายใจ
“กูไม่สนบาปกรรมอะไรทั้งนั้น กูสนแต่เงิน” กมลาพูดตรง “แกต้องรับผิดชอบสิ ถ้าแกท้องไม่มีพ่อ ครอบครัวเราจะเป็นอย่างนี้เหรอ เพราะแกคนเดียวที่ทำให้ทุกอย่างมันพัง แกก็ต้องรับผิดชอบทุกคนและทุกอย่างที่เกิดขึ้น จำใส่หัวแกไว้ว่า แกต้องรับผิดชอบกู ไม่ใช่มาสั่งสอนกู”
ลักษิณาเหมือนมีก้อนเนื้อจุกในลำคอ ไม่อาจออกเสียงโต้กลับมารดาได้ จริงตามกมลาพูด ชีวิตหล่อนกำลังสดใสมีอนาคต หากไม่มีเรื่องผิดพลาดในชีวิตขณะเรียนอยู่ชั้นปีสองในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ชีวิตและครอบครัวหล่อนคงไม่เป็นเช่นนี้ และไม่ต้องเข้าไปยุ่งในสถานที่อโคจร ที่จะนำพาชีวิตไปยืนอยู่ปากเหวอันน่าสะพรึงกลัว