บทที่4 ทบต้นทบดอก
ตกเย็นของอีกวันหลังจากเลิกงานประภากรณ์ก็ให้พายัพไปพาเติมรักมาพบเขาที่ห้องอาหารในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งทันทีเพราะต้องการต้อนเธอให้จนมุม
ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้มนั่งไขว้ห้างพลางแกว่งไวน์ในแก้วเล่นอย่างใจเย็นระหว่างรอการมาของพนักงานสาว ดวงตาคมกริบทอประกายวาววับด้วยความเจ้าเล่ห์ตวัดมองนาฬิกาข้อมือก่อนเริ่มนับเวลาถอยหลัง "5 4 3 2 1"
แกร๊ก!
สิ้นเสียงนับประตูห้องอาหารก็ถูกเปิดออกพอดิบพอดี ก่อนจะเผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของลูกน้องคนสนิทเดินนำร่างบางของคนที่เขาต้องการเจอเข้ามา
นัยน์ตาดำขลับมองผ่านลูกน้องคนสนิทไปยังร่างบางด้านหลังที่เดินก้มหน้างุดอย่างคนมีพิรุธนิ่ง ๆ มุมปากหยักกระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัยแต่เพียงเสี้ยวนาทีก็มลายหายไป
ดูท่าทางพนักงานสาวคนนี้คงจะนิสัยขี้อาย และขี้กลัวไม่น้อยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวันนั้นถึงได้หนีออกมาก่อน ซึ่งบอกตามตรงว่าบุคลิกแบบนี้ไม่ค่อยเร้าใจเขาสักเท่าไรหรอก แต่ที่ถูกใจเขาคือความบริสุทธิ์และเรื่องบนเตียงของเธอต่างหาก
จากที่คิดไว้ว่าจะเล่นสนุกกับกระต่ายน้อยตัวนี้สักหน่อยก็ล้มเลิกความคิดเพราะดูแล้วเธอไม่มีอะไรให้น่าค้นหาสักนิด หนำซ้ำยังค่อนข้างอ่านง่ายอีก
"สวัสดีค่ะท่านประธาน" เขาวางแก้วไวน์ในมือลงบนโต๊ะพร้อมกับพยักหน้ารับคำทักทายพนักงานสาวที่เดินมาหยุดตรงหน้า ก่อนบอกให้เธอนั่ง “นั่งสิ”
"ค่ะ" เติมรักตอบรับเสียงแผ่วพร้อมกับหย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามประธานหนุ่มด้วยท่าทางเกร็ง ๆ เธอไม่แม้แต่จะกล้ามองหน้าเขาตรง ๆ ได้แต่แอบมองเป็นบางครั้งบางคราว
"ผมจะไม่อ้อมค้อมนะคุณเติมรักที่ผมเรียกคุณมาพบในวันนี้เพราะต้องการถามอะไรคุณสักหน่อย ขอให้คุณตอบตามความจริง"
หัวใจดวงน้อย ๆ ของเติมรักที่เต้นแรงอยู่แล้วยิ่งกระหน่ำเต้นหนักกว่าเก่ากับคำพูด และแววตาทอประกายวาววับของประธานหนุ่ม ประสานมือบนหน้าตักแน่นข่มความตื่นเต้นเอาไว้ เปล่งเสียงถามไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ "อะ..อะไรเหรอคะท่านประธาน"
"ปาร์ตี้คืนสุดท้ายที่พัทยาคุณบุกรุกเข้ามาในห้องพักผมใช่ไหม" เสียงทุ้มทว่าทรงไปด้วยพลังเปล่งถามอย่างไม่อ้อมค้อม ขณะที่สายตาจับจ้องใบหน้าเรียวอย่างคาดคั้นทำเอาคนถูกจ้องถึงกับใบหน้าถอดสี กลอกกลิ้งตาไปมาส่อให้เห็นพิรุธอย่างปิดไม่มิด
“ใช่ไหมครับ” นั่นยิ่งทำให้ประภากรณ์มั่นใจเค้นเสียงถามอย่างนุ่มนวล แต่กลับทำให้เติมรักเสียวสันหลังวาบกับถ้อยคำนุ่มนวลนั้น สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างลำคอพานแห้งผากขึ้นมาดื้อ ๆ จนต้องลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ประสานมือบนหน้าตักแน่นพร้อมกับจิกเล็บบนผิวหนังข่มไม่ให้ตัวเองตื่นเต้น แล้วเค้นเสียงปฏิเสธไปอย่างกระอักกระอ่วน “มะ..ไม่ใช่ดิฉันค่ะท่านประธาน”
ประภากรณ์ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งกับคำตอบที่ได้รับเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าพนักงานสาวคงไม่ยอมรับง่าย ๆ นั่งจ้องหน้าเธอตาไม่กระพริบกดดันทางอ้อม ขณะที่อีกคนรู้สึกตัวหลีบเหลือเท่าสองนิ้วก้มหน้างุดไม่กล้าสบสายตา ในใจก็ภาวนาขอให้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้เร็ว ๆ
เธอมัวแต่นั่งก้มหน้าภาวนาจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไม่รู้เลยว่าประธานหนุ่มลุกเดินมายืนหลังเก้าอี้ที่เธอนั่งตั้งแต่เมื่อไรกระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ ๆ หู “ที่ตอบมาแน่ใจใช่ไหมเติมรัก”
“อ๊ะ” เธอสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจเอี่ยวหน้าไปมองต้นเสียงอัตโนมัติจึงทำให้ปลายจมูกโด่งชนเข้ากับแก้มของประธานหนุ่มที่ยังค้างใบหน้าอยู่ข้างกกหูจัง ๆ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธออึ้งค้างไปชั่วขณะมองเสี้ยวหน้าเกลี้ยงเกลาที่ห่างเพียงนิดตาปริบ ๆ ร่างกายพานแข็งทื่อไปหมดไม่แม้แต้จะกล้าหายใจแรง หัวใจดวงน้อย ๆ เต้นโครมครามแทบทะลุออกมานอกอก
ส่วนประภากรณ์ยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจพร้อมกับสูดดมกลิ่นหอมที่ลอยแตะจมูกเข้าปอดพรืดใหญ่พอได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ทำให้ได้กลิ่นหอมบนกายเธอชัดเจนขึ้นยอมรับว่าชอบกลิ่นหอมหวานแบบนี้มากรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ทว่ากลับมีบางอย่างทำให้อดแปลกใจไม่ได้ทำไมเขารู้สึกว่าไม่คุ้นเคยกับเธอเอาเสียเลย ความรู้สึกในคืนนั้นกับวันนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเพราะอะไรกัน หรือเขาจะคาดเดาผิดเธอไม่ใช่ผู้หญิงในคืนนั้นจริง ๆ ตามที่ปฏิเสธ
ยิ่งคิดก็ยิ่งพานทำให้รู้สึกหงุดหงิดอย่าบอกนะว่าเขาเสียเวลาเปล่าอีกแล้ว จะเป็นไปได้ยังไงกันในเมื่อพนักงานสาวแสดงพิรุธออกมาชัดเจนขนาดนี้ต่างจากอีกคนที่มีท่าทีปกติไม่มีพิรุธใด ๆ สักนิด
แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้เขาจะไม่ยอมเสียเวลาเปล่าแน่นอนต้องคาดคั้นเอาความจริงจากพนักงานสาวให้ได้
เขาหลับตาพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะผละหน้าออกเดินกลับไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเองจากนั้นก็เริ่มตั้งคำถามกับพนักงานสาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับพูดด้วยน้ำเสียงดุและแข็ง “หากไม่ใช่คุณงั้นก็แสดงว่าเป็นเพื่อนของคุณใช่ไหม”
“ม..ไม่ใช่เช่นกันค่ะ” เติมรักตอบอย่างกระอักกระอ่วนไม่แพ้ในตอนแรกถึงแม้ครั้งนี้ประธานหนุ่มจะพุ่งเป้าไปที่เพื่อนสนิทแทนก็ตาม จิกเล็บลงบนผิวมือตัวเองอย่างแรงจนเป็นรอย แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเจ็บเลยเพราะถูกความตื่นเต้นและกังวลฝังกลบหมด
“คุณคิดว่าผมโง่ไหมเติมรัก” จากที่แค่หงุดหงิดในตอนแรกประภากรณ์ก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาเล็กน้อยกับความปากแข็งของพนักงานสาวทั้งที่เธอก็แสดงพิรุธออกมาอย่างชัดเจนยังจะกล้าปฏิเสธ
เขาไม่อยากจะเป็นเจ้านายใจร้ายกับลูกน้องเลยแต่เธอกลับทำให้ความอดทนของเขาลดน้อยถอยลงทุกที
สีหน้าเคร่งขรึม แววตาดุดันบวกกับน้ำเสียงและถ้อยคำที่เปล่งออกจากปากประธานหนุ่มยิ่งทำให้เติมรักตื่นตระหนกสัมผัสได้ถึงรังสีความน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมา รีบส่ายหน้าปฏิเสธระรัวกลัวประธานหนุ่มจะโกรธไปมากกว่านี้ “ไม่ใช่นะคะท่านประธาน”
ประภากรณ์เลือกจะไม่ใส่ใจคำพูดพนักงานสาวเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เลิกคิ้วมองดวงหน้าเรียวอย่างคาดคั้น “ผมจำกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงในคืนนั้นได้ดีว่าเป็นกลิ่นที่คุณสองคนใช้แสดงว่าต้องมีคนใดคนหนึ่งเข้าไปในห้องผม จะยอมรับดี ๆ หรือต้องให้ผมเอาภาพจากกล้องวงจรปิดที่รีสอรท์ให้ดู แต่ถ้าทำแบบนั้นผมไม่รับประกันนะว่าคุณกับเพื่อนจะได้ทำงานที่บริษัทผมต่อหรือเปล่า”
"คนในคืนนั้นไม่ใช่ดิฉะ.." เติมรักพรั่งปากปฏิเสธอย่างลืมตัวเพราะตื่นตระหนกตกใจกับคำพูดของประธานหนุ่มมาก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกไปก็รีบยกมือขึ้นปิดปาก ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้วประธานหนุ่มคงพอจะเดาได้แล้วว่าคนในคืนนั้นเป็นใคร
เธอได้แต่พร่ำขอโทษเพื่อนสาวคนสนิทอย่างคามิลลาในใจด้วยความรู้สึกผิดที่รักษาคำพูดไม่ได้อย่างที่รับปากไว้
คนฟังถึงกับขบกรามกรอดกับคำตอบที่ได้รับนึกโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาเสียเวลาเช่นนี้ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าหญิงสาวกลบเกลื่อนพิรุธได้ดีมากจริง ๆ ขนาดเขาที่ช่ำชองเรื่องผู้หญิง และอ่านใจเก่งไม่ว่าผู้หญิงจะเข้าหาเขาด้วยเหตุผลอะไรยังมองไม่ออกเลย
ยิ่งคิดถึงสีหน้าท่าทางอันสงบนิ่งเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรของเธอเมื่อวานก็ยิ่งทำให้ขุ่นเคืองเข้าไปใหญ่ หลอกให้เขาหลงทางได้แบบนี้สิค่อยสมน้ำสมเนื้อหน่อยดูมีอะไรน่าค้นหาดี
ป็อก! ป็อก!
นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะอย่างใช้ความคิด ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างบางที่นั่งหน้าซีดเผือดนิ่ง ๆ ดูท่าร่างบางตรงหน้าคงรู้สึกกลัวไม่น้อยกับคำพูดของเขา ซึ่งบอกได้เลยว่าเขาก็แค่พูดขู่ไปเท่านั้นเองเพื่อให้เธอยอมเปิดปากพูดความจริงไม่ได้คิดจะทำสักนิด
เขามีเหตุผลพอแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้ไม่อย่างนั้นเขาคงขึ้นมานั่งแท่นผู้บริหารแทนบิดาไม่ได้นานถึงเจ็ดปี
“งั้นคนที่ปีนขึ้นเตียงผมคงเป็นคามิลลาเพื่อนคุณสินะ” เสียงทุ้มเปล่งออกจากริมฝีปากหนาเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่เติมรักจะได้ยิน เธอทำได้แค่เม้มปากแน่นพร่ำขอโทษเพื่อนสาวในใจซ้ำ ๆ เพราะความกลัวแท้ ๆ ทำให้เธอพรั่งปากพูดไป
แบบนี้ประธานหนุ่มยังจะไล่เธอกับเพื่อนออกจากงานไหมได้แต่คิดแล้วก็สงสัยในใจไม่กล้าปริปากถามออกไป
“ผมไม่ไล่คุณกับเพื่อนออกหรอกไม่ต้องกังวล” ประภากรณ์พอจะเดาได้จากใบหน้าที่ดำคล้ำเครียดของพนักงานสาวออกว่าเธอกำลังกังวลเรื่องที่เขาพูดจึงเอ่ยบอกไปให้หายกังวล
จากนั้นก็นิ่งเงียบนานนับนาทีแล้วจึงเอ่ยต่อ “แต่คุณต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามให้คามิลลารู้เรื่องที่คุณกับผมคุยกันในวันนี้ คุณก็ทำตัวตามปกติไป”
“ค่ะท่านประธาน” เติมรักพยักหน้ารับด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเก็บพิรุธอยู่ไหมขนาดเรื่องคืนนั้นที่เธอดันไปเห็นประธานหนุ่มกับเพื่อนสาวมีความสัมพันธ์กันเธอยังปิดไม่มิดเลย
คืนนั้นเธอเองก็เมาไม่ต่างจากเพื่อนสาวแต่ก็ยังมีสติสัมปชัญญะกว่า เริ่มเรื่องก็คือเพื่อนสาวขอแยกกับไปนอนก่อนเพราะเมามาก ส่วนเธอถูกพี่ ๆ ในบริษัทชวนดื่มต่อเลยไม่ได้ไปด้วย
เธอนั่งดื่มต่อเพียงสิบนาทีจึงหาข้ออ้างแยกตัวออกมา และระหว่างที่กำลังเดินกลับห้องพักเธอก็ดันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ้นในใจจึงทำให้เธอเดินตามเสียงไปจนถึงต้นตอของเสียง นั่นก็คือห้องประธานหนุ่มเธอค่อย ๆ แง้มประตูชะโงกหน้าเข้าไปดูจึงได้เห็นภาพคนสองคนกำลังมีความสัมพันธ์กัน
ตอนนั้นเธอยังไม่รู้หรอกว่าคนในห้องคือเพื่อนสาวกับประธานหนุ่มเพราะในห้องค่อนข้างมืดสลัวมีเพียงแสงไฟจากด้านนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นแค่ลาง ๆ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงรีบเดินกลับห้องตัวเอง แต่พอกลับมาถึงห้องก็ไม่พบเพื่อนสาว
ด้วยความเมาเธอเลยไม่ได้สนใจมากนักล้มตัวลงนอนและหลับไปในที่สุดจนกระทั่งตื่นมาตอนเช้ามืดเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวไม่ได้อยู่ในห้องจึงออกตามหา ขณะที่เธอกำลังเดินผ่านห้องพักประธานหนุ่มเพื่อนสาวก็เดินออกมาจากห้องพอดีทำให้เธอได้รู้เรื่องทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นซึ่งเธอไม่ได้อยากจะรู้เลยสักนิด
“หวังว่าคุณจะทำได้ตามที่พูดนะ”
เสียงทุ้มดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งหลุดออกจากห้วงความคิดรีบพยักหน้ารับระรัว“ค่ะ ๆ”
“พายัพไปส่งเติมรักด้วย” เมื่อพูดคุยกันจนเป็นอันเข้าใจแล้วประภากรณ์จึงหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่มุมห้อง พูดจบก็ยกไวน์ในแก้วขึ้นดื่มดับอาการหงุดหงิดงุนง่านที่เกิดขึ้นในใจ
สมองก็นึกถึงแต่ใบหน้าของคนที่ทำเขาเสียเวลาคอยดูเถอะเขาจะทบต้นทบดอกจากเธอให้สาสมเลย