โน้มกิ่งซิ่งฮวา

172.0K · จบแล้ว
ธารธารา
47
บท
22.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ครอบครัวนางถูกตั้งข้อหากบฎที่ผู้ใดก็อาจไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือนอกจาก ‘เขา’เมื่อทุกสิ่งบีบคั้น นางจึงจำต้องยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปขอร้องทำข้อแลกเปลี่ยนกับปีศาจร้ายที่จ้องแต่จะรังแกนาง

นิยายจีนโบราณแม่ทัพแต่งงานสายฟ้าแลบนางเอกเก่งโตมาด้วยจีนโบราณโรแมนติก

บทนำ

หน้าประตูเมืองแออัดคับคั่งไปด้วยผู้คนที่กำลังต่อแถวทำเรื่องผ่านทาง ทหารประจำการตรวจตราอย่างเข้มงวด แม้แต่รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ของทางการก็ยังถูกตรวจค้น ผู้คนต่างกระซิบกระซาบด้วยสีหน้าเป็นกังวล แม้จะพ้นผ่านเหตุการณ์นองเลือดมาร่วมครึ่งเดือน แต่ทุกแห่งหนในเมืองหลวงก็ยังคงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง หลังฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงพระนามว่าโจวฮุ่ยขึ้นครองราชย์ ราชสำนักถูกเก็บกวาดครั้งใหญ่ ขุนนางที่เคยแบ่งฝักฝ่ายสร้างความวุ่นวายต่างถูกส่งเข้าคุกหลวงเพื่อรอการไต่สวน

เสิ่นชิงหร่านแง้มม่านหน้าต่างรถม้ากลางเก่ากลางใหม่เพื่อสำรวจดูความเคลื่อนไหวเบื้องหน้า

“ยังคงต้องรออีกราว ๆ ครึ่งชั่วยามขอรับ” บ่าวรับใช้ตาไวรีบขยับเข้ามากระซิบข้างบานหน้าต่าง

นางพยักหน้ารับแล้วจึงปล่อยม่านลง นอกจากเสียงกระซิบกระซาบด้านข้างก็ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดเข้ามา ทว่าเรื่องราวในบทสนทนาเหล่านั้นกลับ

ทำให้คนฟังต้องทอดถอนใจด้วยความปริวิตก

“นอกจากพวกซือเหมิน1ที่ข้าพอจะคุ้นหน้า ในกลุ่มผู้ตรวจค้นยังมีทหารปะปนอยู่ด้วย ข้าว่าคงเป็นทหารในกองทัพของต้าซือหม่าคนใหม่เป็นแน่”

“ต้าซือหม่า2คนใหม่คือใคร ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่เร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ ข้ามีญาติที่ทำงานอยู่ในกรมขุนนาง เห็นว่านอกจากจับกุมกบฏราชวงศ์เก่าและกลุ่มขุนนางฝ่ายองค์ชายรองก็ยังไม่มีการแต่งตั้งอะไร”

“เจ้าโง่ การปราบปรามกบฏราชวงศ์เก่าครั้งนี้สำเร็จได้เพราะใคร แค่นี้เจ้ายังคิดไม่ได้อีกรึ”

“โฮ้... แม่ทัพหลี่มู่เฉินน่ะหรือ เป็นคนหนุ่มที่อนาคตไกลจริง ๆ แต่เจ้าเคยได้ยินข่าวลือนี้หรือไม่ ในอดีตท่านแม่ทัพผู้นี้เคยเป็นแค่บ่าวรับใช้ในจวน...”

เสียงพูดคุยขาดหายเมื่อพวกเขาขยับเข้ามาใกล้ประตูเมือง บ่าวรับใช้ผู้ติดตามรถม้ารีบนำหนังสือผ่านทางไปมอบให้ทางการ เมื่อเจ้าหน้าที่เปิดดูเอกสารด้านใน ไม่เพียงไม่ก้าวเข้ามาตรวจค้น แม้แต่เอ่ยปากซักถามสักครึ่งคำยังไม่มี พวกเขารีบสั่งให้เปิดทางท่ามกลางสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของชาวบ้านที่ยังถูกซักประวัติอย่างละเอียดลออ

หลังผ่านประตูเมือง ม้าตัวใหญ่แข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามก็วิ่งห้อตะบึงเต็มฝีเท้า หากเป็นคนดูม้าออกคงลอบแปลกใจว่าเหตุใดม้าพันธุ์ดีถึงเพียงนี้จึงมาประจำรถแสนธรรมดาคันหนึ่ง ทว่านอกจากเสิ่นชิงหร่านจะไม่รู้ว่าการเดินทางออกมานอกเมืองครั้งนี้ ตนจะถึงกับใช้มีดฆ่าโคมาเชือดไก่

นางยังแทบไม่สนใจกับอาการสั่นคลอนเพราะม้าที่กำลังวิ่งเหยียดเต็มฝีเท้าพวกนั้น ยามนี้ในห้วงคำนึงของนางเต็มไปด้วยความกังวลถึงการนัดหมายที่กำลังจะเกิดขึ้น

หลี่มู่เฉิน... ต้าซือหม่าผู้กุมกำลังทหารมากที่สุด ชายหนุ่มที่สามารถบุกขึ้นเหนือเพื่อทวงคืนทุกเมืองที่เคยถูกแคว้นอื่นยึดไป เขาใช้เวลาสิบปีไต่เต้าจากตำแหน่งพลทหารขึ้นสู่แม่ทัพ จากนั้นก็นำกองทัพขับไล่ข้าศึกที่เคยเข้ามาปล้นฆ่ายึดแผ่นดินต้าโจว และยังเป็นคนที่นำกองทัพเข้ามาปราบปรามกบฏในเมืองหลวง

ท้ายที่สุดผู้ใดต่างก็ไม่คิดว่าเขากลับเลือกที่จะสนับสนุนองค์ชายสามผู้ไร้อำนาจขึ้นสู่บัลลังก์ แต่การกระทำเช่นนั้นยิ่งทำให้เขาได้รับอำนาจมหาศาลที่จะสั่งชี้เป็นชี้ตายขุนนางในราชสำนักยามนี้

เขากลายเป็นคนสำคัญที่ใครต่างก็อยากเข้าหา

ต่อมาเกิดคำพูดล้อเลียนที่ว่า หากทหารในค่ายนำเทียบขอเข้าพบ

ต้าซือหม่าในช่วงนี้ออกมากางต่อกัน คงจะยาวตั้งแต่หน้าประตูเมืองหลวงไปจนสุดแดนเหนือกระมัง แม้แต่เสิ่นชิงหร่านเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจที่เขาเลือกหยิบเทียบของนางออกมาจากกองเอกสารเหล่านั้น สำหรับเรื่องนี้หากเขา

ไม่บังเอิญเสี่ยงไม้สั้นไม้ยาวจับขึ้นมาได้ ก็คงเหลือเหตุผลสุดท้ายที่เขายอมให้นางเข้าพบในวันนี้

เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน

ถุย ๆ ๆ เห็นแก่ความสัมพันธ์อันใด กับสตรีที่เคยสั่งลงโทษจนเขา

ถูกโบย ชายผู้นี้คงนั่งนับโมงยามรอแก้แค้นนางอยู่เป็นแน่

เสิ่นชิงหร่านนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด ๆ หากย้อนเวลากลับไปได้ นางไม่มีวันรับปากท่านปู่ว่าจะทุ่มกำลังดูแลจวนโหวเป็นอันขาด ส่วนให้ย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องหลี่มู่เฉินนั้น นางยังยืนยันว่าจะทำเช่นเดิม

ในโลกนี้ไม่มียาแก้อาการเสียใจย้อนหลัง หากนางไม่สั่งลงโทษเขาในวันนั้น ตอนนี้หลี่มู่เฉินก็ยังเป็นแค่บ่าวไพร่ตระกูลกัว ไหนเลยจะมีต้าซือหม่าอะไรนี่ เขาควรยกความดีความชอบนี้ให้ นางยังต้องสำนึกเสียใจอะไรอีกเล่า

ช่างเถอะ คนเรายืดได้หดได้ชีวิตย่อมยืนยาว วันนี้นางจะยอมถอยให้เขาสองสามก้าว

หลังปลุกปลอบเสริมกำลังใจให้ตนเองอยู่นาน เสิ่นชิงหร่านในชุดบุรุษก็ยอมก้าวขาลงจากรถม้า โรงเตี๊ยมฉิงซือยังคงคึกคักเหมือนในวันวาน นอกจากความหรูหราสะดวกสบาย เหตุผลหลักที่คนเดินทางเลือกเข้าพักก็เพราะโรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ใกล้ค่ายทหารมากที่สุด อย่างไรก็ย่อมปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายที่อาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวายเช่นนี้ออกอาละวาด และนอกจากแขกเหรื่อที่ยังรอทำเรื่องขอเข้าเมือง ด้านหน้าโรงเตี๊ยมก็ยังเต็มไปด้วยกลุ่มเด็กขอทาน เพราะแคว้นต้าโจวอยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้ที่เอาแต่ลุ่มหลงสุรานารีมาช้านาน บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยความระส่ำระสาย

“พี่ชาย... ท่านมีขนมพอจะแบ่งข้าสักชิ้นหรือไม่ ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลาย...” ยังไม่ทันที่เด็กขอทานใจกล้าจะโผเข้าใส่ บ่าวรับใช้ด้านข้างก็ก้าวเข้ามาขวางทางพลางคว้าตัวเด็กไว้

เสิ่นชิงหร่านไม่แม้แต่จะหยุดมองพวกเขา นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าเฉียบขาด

“ส่งตัวให้เถ้าแก่จัดการ”

“ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อที่เห็นเหตุการณ์รีบก้าวเข้ามา แม้โรงเตี๊ยมแห่งนี้จะตั้งอยู่นอกเมือง แต่ทำเลที่ตั้งกลับอยู่บนถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่วัดต้าจ้งทำให้มี

ชนชั้นสูงแวะเวียนมาพักระหว่างเดินทางไม่ขาดสาย เพียงเขาเห็นผ้าไหมเนื้อดีบนตัวคุณชายผู้นี้ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชนชั้นสูงจากเมืองหลวงจึงเร่งเข้ามาต้อนรับด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม

“คุณชายต้องการห้องพักหรือจะสั่งอาหารดีขอรับ”

“จันทร์กระจ่างกลางนภา ข้ามาพบคน”

เสี่ยวเอ้อได้ยินดังนั้น ท่าทางที่แสดงออกยิ่งนอบน้อมขึ้นอีกหลายส่วน รีบก้าวนำแขกผู้สูงศักดิ์ขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นสองที่มีคนในกองทัพมาจองไว้

เสิ่นชิงหร่านเหลือบตามองแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านชายไม้ด้านนอก นางรีบออกจากจวนตั้งแต่ฟ้าสาง เทียบโมงยามแล้วคาดว่าคงมาถึงก่อนเวลานัดหมายราว ๆ หนึ่งก้านธูป3 คิดว่าอีกฝ่ายอาจมาถึงช้า นางพอรู้มาบ้างว่าช่วงนี้เขามีหลายอย่างให้ต้องจัดการ อีกทั้งไม่รู้ว่าในหนึ่งวันหลี่มู่เฉินต้องเจียดเวลามาพบคนมากเท่าไร คงมีหลาย ๆ คนอยากให้เขาออกปากช่วยเหลือเหมือนกับนางที่หมดหนทางช่วยบิดาจนจำต้องบากหน้ามาพึ่งพาเขาในวันนี้

เอ่ยตามจริงแล้ว นางหาได้มีใจห่วงบิดาที่ยกตนให้ผู้อื่นเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเล็กไม่ ตั้งแต่จำความได้นางก็เรียกเขาว่าท่านอาเสมอมา ทว่าถึงจะไม่มีความผูกพันใด ๆ แต่นางก็ไม่อาจตัดใจปล่อยให้จวนโหวที่ท่านปู่ทุ่มเทแรงกายสร้างขึ้นมาล่มสลายลงด้วยฝีมือบุตรชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวนี้

ห้องส่วนตัวที่เขาจองไว้อยู่สุดทางเดินชั้นสอง เป็นห้องที่ดีที่สุดเนื่องจากสามารถมองเห็นดอกซิ่งที่กำลังบานสะพรั่งเต็มเนินเขา การจองห้องจิบชาแห่งนี้จำต้องทำล่วงหน้าถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว

จุ ๆ ไม่ทันไร ต้าซือหม่าผู้นี้ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่เสียแล้ว

“เชิญขอรับ”

เสิ่นชิงหร่านก้าวเข้าไปในห้องที่ตกแต่งไว้อย่างเรียบง่าย สิ่งที่ส่งเสริมให้ห้องนี้โดดเด่นคือทิวทัศน์ด้านนอก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจัดวางเครื่องเรือนมากมาย ทว่าบรรยากาศโปร่งโล่งสบายเมื่อครู่กลับอันตรธานไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางพลันสังเกตถึงการมีอยู่ของใครอีกคน

ชายหนุ่มสวมชุดยิงธนูสีดำสนิทยืนหันหลังให้นางพลางทอดสายตาออกไปด้านนอก หากมองจากมุมนี้อาจคิดว่าเขากำลังชื่นชมความงดงามของดอกซิ่งที่แย้มบาน ทว่าไม่ทราบด้วยเหตุใด เสิ่นชิงหร่านกลับคิดว่าเขากำลังมองเลยไปไกล จิตใจอาจกระหวัดไปถึงชายแดนที่ตนจากมา

“คารวะท่านแม่ทัพ” เสิ่นชิงหร่านเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน

ร่างสูงใหญ่หันกลับมา แสงแดดอ่อนจางยามบ่ายสาดเข้ามากระทบเสี้ยวหน้าคมสันที่ราวกับสลักขึ้นจากปลายกระบี่ ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน

คนผู้นี้ก็นับว่าเป็นชายหนุ่มรูปงาม เมื่อก่อนเขาแค่มีท่าทางห่างเหินเย็นชา ทว่ามาบัดนี้บรรยากาศรอบกายกลับดุดันเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร

“คุณหนูใหญ่”

ชั่วขณะที่ได้ยินน้ำเสียงห้าวต่ำแหบพร่าเรียกตน เสิ่นชิงหร่านพลันรู้สึกถึงกระแสคุกคามที่ทำให้แทบก้าวขาไม่ออก หัวใจดวงน้อยกระตุกไหว

แต่ด้วยนิสัยรักหน้าตาและความหยิ่งทะนงที่ฝังรากอยู่ในกมลสันดานมาตั้งแต่วัยเยาว์ นางจึงฝืนบังคับตัวเองให้เชิดหน้าประสานสายตากับอีกฝ่าย

“ไม่ได้พบกันเสียนาน”

“คุณหนูใหญ่แค่ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้พบข้าอีกมากกว่ากระมัง” น้ำเสียงของเขาราบเรียบขณะผายมือไปยังโต๊ะด้านข้างที่จัดเตรียมขนมน้ำชาเอาไว้

เสิ่นชิงหร่านเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนวาจาของเขาก็

คมกริบเช่นนี้แต่เก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี หรือพอในมือมีอำนาจก็เปลี่ยนนิสัย

หญิงสาวยอบตัวลงนั่งตรงข้ามเขา ก่อนจะยื่นมือไปรินน้ำชาส่งให้ ชายหนุ่มเพียงใช้ปลายนิ้วลูบวนปากถ้วย ต่างจากนางที่ใช้ฝ่ามือขาวเนียนจับฝาถ้วยค่อย ๆ ปาดใบชาด้วยท่าทางสง่างามเป็นธรรมชาติ

“คิดว่าท่านคงทราบถึงจุดประสงค์ที่ข้าขอพบในวันนี้” เสิ่นชิงหร่านเอ่ยอย่างไม่เร่งร้อนขณะช้อนตามองอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าเขาไม่ทักท้วงใด ๆ จึงทำใจกล้าเอ่ยต่อว่า “คดีของท่านอา... ท่านพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่”

สำหรับคนในเมืองหลวงแล้วนั้น พวกเขารู้เพียงว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนฟู่โหวคือบุตรสาวของคุณชายใหญ่เสิ่นหาน หาใช่คุณชายรองเสิ่นอวิ๋น ดังนั้นวันนี้นางจึงมาเจรจากับเขาในฐานะหลานสาวที่อยากช่วยผู้เป็นอา หาใช่บิดาแท้ ๆ

“เรื่องนี้ก็คงขึ้นอยู่กับคุณหนูใหญ่แล้วว่ามีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน” ประกายตาคมพาดผ่านราวกับกำลังท้าทายนาง

“ข้ามีร้านค้า ที่ดิน และเงิน...”

“คุณหนูใหญ่คิดว่าหลังได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งต้าซือหม่า ฝ่าบาททรงพระราชทานสิ่งใดให้ข้าบ้าง” เขาเท้าคางมองนางด้วยท่าทางเกียจคร้านเสเพล

ฮ่องเต้พระองค์ใหม่พระราชทานสิ่งของให้เขามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง ที่ดิน ร้านค้า และจวนหลังใหม่

คำพูดโอ้อวดของเขาทำเอาเสิ่นชิงหร่านบื้อใบ้ไร้วาจาชั่วขณะ

หลี่มู่เฉินหัวเราะแผ่วเบา ดวงตาคมหรี่แคบยามเอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่คงไม่คิดว่าข้าจะยอมลงแรงทำการค้าที่ขาดทุนหรอกกระมัง”

แม้จะแต่งกายด้วยชุดบัณฑิตประกอบกับเรือนร่างสูงโปร่งกว่าสตรีทั่วไปทำให้ยามมองผาด ๆ แล้วนางในตอนนี้นั้นแทบจะกลมกลืนไปกับเหล่าปัญญาชนในสถานศึกษา ทว่าเมื่อได้พิศมองใกล้ ๆ ย่อมแจ้งชัดในความงาม ใบหน้าเล็กเกลี้ยงเกลาขาวผ่องราวเคลือบไข ดวงตากลมโตใสกระจ่างถูกเคลือบด้วยหยาดน้ำแวววาวที่ซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตางอนยาว จมูกได้รูปสวยรับกับริมฝีปากอิ่มที่กำลังเม้มเข้าหากัน

สาวงามเอ่ยถามลอดไรฟัน

“เช่นนั้นท่านคิดว่าสิ่งใดเล่าที่จะมีค่าพอแลกเปลี่ยนได้”

จู่ ๆ ตรงหน้าของนางพลันมืดลง เมื่อร่างสูงใหญ่โน้มตัวเข้ามาหา หลี่มู่เฉินเคลื่อนไหวเฉียบไว โดยไม่ทันรู้ตัว ฝ่ามือหยาบกระด้างที่เคยลูบถ้วยชา

ข้างนั้นก็ย้ายมากุมลำคอระหงของนาง ใบหน้าคมขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจของคนทั้งสองสอดประสาน

เสิ่นชิงหร่านรับรู้เพียงความเยียบเย็นบนลำคอ

อีกฝ่ายเพียงกุมลำคอของนางไว้หลวม ๆ ก่อนจะขยับปลายนิ้วลูบไล้ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังใช้กรงเล็บหยอกล้อกับเหยื่อของมัน ชั่วขณะนั้นนางพึ่งได้สัมผัสความหวาดกลัวที่กำลังคืบคลานขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ ดวงตากลมโตสั่นไหวขณะจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่อาจควบคุม

เขาใช้ดวงตาสีดำราวรัตติกาลที่ไร้ซึ่งแสงจันทราและดารา ราวกับบ่อน้ำลึกสุดหยั่งจดจ้องนาง น้ำเสียงทุ้มแหบต่ำหยาบกระด้างราวกับถูกขัดด้วย

พายุทราย

“คุณหนูใหญ่กล้ามอบชีวิตให้ข้าหรือไม่”