ตอนที่ 2
หล่อนยังจำรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจของปิ่นกมลได้เป็นอย่างดี และแน่นอนว่าหล่อนไม่กล้าที่จะทำให้เพื่อนเสียใจเป็นอันขาด
ปราบต์คือความฝันของหล่อน ความฝันที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้
หล่อนก็ได้แค่แอบมอง แอบรักเงียบๆ เพียงลำพังภายในใจเท่านั้น
“ว่าแต่เธอเถอะมิน เมื่อไหร่จะตอบรับหนุ่มๆ ที่มาขายขนมจีบสักที”
“ฉันยังไม่ชอบใครน่ะ และที่สำคัญฉันยังไม่คิดเรื่องพวกนี้ ฉันอยากเรียนให้จบก่อน อยากหางานดีๆ ทำ พ่อกับแม่จะได้สบายขึ้นน่ะ”
“แหม ไม่ใช่เพราะว่าเธอชอบพออยู่กับนายหน้าจืดนั่นเหรอ”
นายหน้าจืด... หรือก็คือ พัชรพล คือรุ่นพี่ปีสี่ที่มีบ้านติดกับรั้วบ้านของหล่อนนั่นเอง
“เราไม่ได้คิดอะไรกับพี่พัชรเลยนะ”
“แต่หมอนั่นจีบเธอแน่ๆ ฉันมองออก”
ปิ่นกมลออกความคิดเห็น ก่อนจะพูดออกมาอีก
“แต่ถ้าเธอไม่คิดอะไรกับหมอนั่นก็ดีแล้ว เพราะฉันไม่ชอบขี้หน้าหมอนั่นเลย ผู้ชายอะไรปากเหมือนกรรไกรไม่มีผิด”
พัชรพลกับปิ่นกมลประลองฝีปากกันทุกครั้งเมื่อเผชิญหน้ากัน และทุกครั้งก็จบลงด้วยสงครามน้ำลายที่เต็มไปด้วยอารมณ์
“พี่พัชรเขาเป็นคนดีนะปิ่น แค่พูดขวานผ่าซากมากไปหน่อยเท่านั้นเอง”
“ไม่หน่อยหรอกมั้งมิน” พอพูดถึงอริ ปิ่นกมลก็หน้าหงิก “น่าจะมีคอกหมาในปากเป็นสิบๆ คอกนั่นแหละเราว่า”
“ปิ่นก็พูดไปนั่น”
มินรญายิ้มบางๆ และนั่นเงียบ ใบหน้าของปราบต์ยังคงผุดขึ้นในสมองตลอดเวลา หล่อนอึดอัดทรมานกับความรู้สึกนี้เหลือเกิน แถมสลัดยังไงมันก็ไม่ยอมหลุดยอมหายไปไหนเลย
“นั่นไง พูดถึงปุ๊บก็มาปั๊บ ฉันไปดีกว่า ไม่อยากจะทำสงครามน้ำลายกับหมอนั่น”
ปิ่นกมลลุกขึ้นยืนจะเดินหนี แต่ไม่ทัน เพราะพัชรพลเดินตรงเข้ามาหาเสียก่อน
“พี่ก็นึกว่าน้องมินอยู่คนเดียวเสียอีก”
พัชรพลเอ่ยขึ้น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง
“นี่ใครใช้ให้นายนั่งยะ ลุกขึ้นเลย”
ปิ่นกมลโวยวายหน้าตาเอาเรื่อง
“นี่มันที่สาธารณะไม่ใช่หรือคุณหนูปิ่นกมล อย่ามาคิดว่าทุกตารางนิ้วบนโลกเป็นของคุณคนเดียวสิ อย่ามโนโอเคไหมครับ”
น้ำเสียงของพัชรพลเต็มไปด้วยความยั่วเย้าโทสะเป็นที่สุด
ปิ่นกมลกัดฟันกรอด มองไอ้ผู้ชายที่แก่กว่าตัวเองแค่สามปีด้วยสายตาขุ่นเคือง
“ไม่โอเค และฉันก็ขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะว่าอย่ามาเข้าใกล้ฉันเกินหนึ่งเมตรอีก มันขยะแขยง เข้าใจเอาไว้เสียด้วย”
“อ้าว พูดอย่างนี้ก็สวยสิครับคุณหนูตีนแดง”
พัชรพลลุกขึ้นยืน และจ้องหน้าประสานสายตากับปิ่นกมลอย่างไม่ยอมแพ้
“อย่าทะเลาะกันเลยนะ ปิ่น พี่พัชร”
มินรญาพยายามห้ามศึก แต่ก็ถูกกันออกจากสนามสงครามจากทั้งสองคน
“อยู่เฉยๆ นะมิน ฉันขอด่าไอ้ผู้ชายปากมอมนี่ก่อน”
“น้องมินไม่ต้องเป็นห่วงพี่นะครับ พี่แค่อยากจะสู้กับผู้หญิงปากจัดสักตั้ง ดูสิว่าจะแน่แค่ไหน”
“ทำไม นายจะทำอะไรฉัน ไอ้รุ่นพี่เฮงซวย”
“ผมก็คงไม่กล้าทำอะไรคุณหรอกครับ แค่จะพาไปโรงพยาบาลด้วยกัน หางสุนัขมันโผล่ออกมาจากปากแล้วน่ะครับ”
พัชรพลหัวเราะร่วนด้วยความสะใจ ก่อนจะต้องร้องจ๊าก เมื่อถูกฝ่ามือเล็กของปิ่นกมลฟาดลงที่แก้มข้างซ้ายเต็มแรง
“ไอ้ผู้ชายปากเสีย”
รอยยิ้มสนุกสนานบนใบหน้าของพัชรพลจางหายไปทันควัน เขายกมือขึ้นกุมซีกแก้มของตัวเอง ก่อนจะตวัดตามองหน้าปิ่นกมลอย่างโมโห
“นี่ใช้กำลังกันเลยหรือครับ”
“ใช่ ก็นายมันปากเสียเองนี่ ถูกตบอย่างนี้แหละดีแล้ว หมาจะได้กระเด็นออกจากปากบ้าง”
พัชรพลกัดฟันแน่น ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทสะ
ปิ่นกมลอดหวาดกลัวไม่ได้เมื่อเห็นชายหนุ่มมือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวแน่นเป็นกำปั้น แต่แล้วก็ต้องโล่งใจ เมื่อพัชรพลเอ่ยขอตัวกับมินรญา
“พี่ไปก่อนนะน้องมิน ไม่อยากทำร้ายผู้หญิง”
“เอ่อ ค่ะพี่พัชร”
พัชรพลไม่ปรายตามองหน้าปิ่นกมลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาหมุนตัวและเดินจากไปทันที
ปิ่นกมลรู้สึกผิดเล็กๆ ยกมือข้างที่ฟาดหน้าของพัชรพลขึ้นมามอง ก่อนจะถอนใจออกมา
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมิน แต่ฉันโมโห...”
“เราเข้าใจ ไม่เป็นไรหรอกปิ่น พี่พัชรคงแค่โกรธ คราวหน้าก็เลี่ยงเผชิญหน้ากันก็พอ”
“แล้วฉันอยากเห็นหน้าหมอนั่นที่ไหนกันล่ะ แต่โผล่มาให้เห็นได้ทุกวัน” ปิ่นกมลบ่นกระปอดกระแปด “นี่ถ้าวันหนึ่งวันใดเธอตอบตกลงเป็นแฟนกับหมอนี่นะ ฉันคงต้องบ้าตายแน่ๆ”
“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่พัชรแบบนั้นหรอก เราเป็นแค่เพื่อนแค่พี่กันอย่างที่บอกนั่นแหละ”
“ฉันก็หวังแบบนั้นแหละ” ปิ่นกมลระบายลมหายใจออกมาแรงๆ “ไม่เอาแหละ เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า พูดถึงหมอนั่น แล้วฉันอารมณ์เสียทุกที”
มินรญาระบายยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ปิ่นกมลเลยเป็นฝ่ายพูดเสียมากกว่า
“เย็นนี้ไปกินข้าวบ้านฉันนะ”
“ไม่ดีมั้งปิ่น”
มินรญาส่ายหน้าดิก แค่คิดว่าต้องเผชิญหน้ากับปราบต์ ท้องไส้ของหล่อนก็ร้อนวูบวาบเสียแล้ว
“ทำไมล่ะ ไปเถอะนะ ฉันจะได้มีเพื่อนไง”
เมื่อเห็นมินรญาเลิกคิ้วสงสัย ปิ่นกมลเลยรีบอธิบายให้เพื่อนฟัง
“คือแบบนี้ โปรเจ็กซ์ใหญ่ของบริษัทฯ มันประสบความสำเร็จมากน่ะ พี่ปราบต์ก็เลยจะเลี้ยงลูกน้องที่ทำโปรเจ็กนี้น่ะ เลี้ยงที่บ้าน แต่เป็นแค่ปาร์ตี้เล็กๆ น่ะ ไม่ใหญ่โตอะไรหรอก”
“แต่ฉัน... คงไม่สะดวกน่ะปิ่น”
มินรญายังคงยืนยันคำเดิม ซึ่งนั่นก็ทำให้ปิ่นกมลผิดหวัง
“ฉันก็เหงาน่ะสิ ถ้าเธอไม่มาน่ะ นะมินนะ มาด้วยกันเถอะ ถือว่าฉันขอร้องนะ”
“แต่ฉันไม่สะดวกจริงๆ นะปิ่น ฉัน...”
หล่อนไม่อยากเผชิญหน้ากับปราบต์ นี่คือเหตุผลสำคัญ
“หรือว่าเพราะเธอมีชนักอะไรติดหลัง ถึงไม่กล้าไปที่บ้านของฉัน” ปิ่นกมลหรี่ตาแคบมองหล่อน “ฉันสังเกตมาสักระยะหนึ่งแล้วนะ เธอมักจะหลบเลี่ยงการไปบ้านฉันตลอด และก็มักจะหลบหน้าพี่ปราบต์ด้วย หรือว่าเธอ... เธอ...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะปิ่น ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่ปราบต์นะ”
มินรญาแก้ตัวออกไปอย่างร้อนอกร้อนใจ ปิ่นกมลยิ่งหรี่ตาแคบมอง
“ฉันยังไม่ได้พูดว่าเธอคิดอะไรกับพี่ชายฉันเลยสักคำ ร้อนตัวนะเนี่ย” ปิ่นกมลยังคงทำสุ่มเสียงจับผิด “หรือว่าแท้จริงแล้ว เธอแอบชอบพี่ปราบต์”
“ไม่ใช่... ไม่ใช่นะปิ่น ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่ปราบต์เลย”
“แน่นะ”
“อือ แน่สิ ฉันไม่ได้คิดอะไรกับพี่ปราบต์เลยจริงๆ นะปิ่น”
มินรญาต้องใช้ความพยายามมากมายที่จะยืนยันคำโป้ปดของตัวเองออกไปอีกครั้ง
“เชื่อฉันนะ ปิ่น”
“เชื่อก็ได้” ปิ่นกมลพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดต่อ “งั้นถ้าเธอบริสุทธิ์ใจจริง เธอต้องไปงานปาร์ตี้ที่บ้านฉันเย็นนี้ โอเคไหม”
“แต่...”
“เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของเธอไงล่ะมิน เพราะถ้าเธอไม่ได้คิดอะไรกับพี่ชายของฉันจริงๆ เธอก็ต้องไม่หลบหน้าพี่ปราบต์ จริงไหม”
หล่อนต้องใช้ความพยายามสูงสุดในชีวิตเพื่อที่จะยิ้ม และพยักหน้าตอบรับเพื่อนรักออกไป
“ได้สิ... ฉันไปก็ได้”
ปิ่นกมลฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เพราะไม่คาดคิดว่าการพูดเล่นๆ ของตัวเองจะใช้โน้มน้าวจิตใจของมินรญาได้
“เย้ ดีใจจังเลย ฉันอนุญาตให้เธอพาเพื่อนไปด้วยได้หนึ่งคน ใครก็ได้”
“จ้ะ”
ปิ่นกมลยิ้มอย่างมีความสุข ในขณะที่หล่อนเต็มไปด้วยความกังวลใจอย่างที่สุด
หล่อนไม่อยากเผชิญหน้ากับปราบต์เลย เพราะหล่อนเกรงว่าตัวเองจะไม่อาจละสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายจากร่างของปราบต์ได้นั่นเอง