บทนำ
บทนำ
โรงอาหารช่วงพักเที่ยงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ลงมารับประทานอาหารหลังเลิกเรียนช่วงเช้า เสียงจอแจราวกับมีเรื่องให้พูดคุยมากมาย ตามร้านอาหารที่มาประมูลเพื่อเปิดขายในโรงเรียนซึ่งได้รับการการันตีว่าอร่อยแทบทุกร้านมีแถวต่อยาวเป็นหางว่าว
เรือนร่างแบบบางสวมเสื้อสีขาวทับด้วยกระโปรงจีบรอบ ตามยูนิฟอร์มของโรงเรียนพร้อมถักเปียสองข้างผูกด้วยโบว์สีขาว ดวงหน้าหวานแต่งเติมเครื่องสำอางให้พอมีสีสันไม่ได้จัดจ้าน เครื่องหน้าสวยน่ามองไปหมด แต่กลับไม่มีชายใดได้เข้าใกล้หล่อนแม้เพียงปลายเล็บ
ชีวาพร ฉันท์หทัย ลูกสาวสุดรักสุดหวงของเอกอัครราชทูต มีความเย่อหยิ่งและทระนงตนพอสมควร เพื่อนที่คบก็ผ่านการเลือกสรรอย่างดีว่าจะไม่มาหาผลประโยชน์ แต่ทุกคนที่เข้ามาก็ล้วนผ่านไปไม่ได้คบหาสนิทสนม หล่อนจึงไม่ค่อยมีเพื่อน
แต่ยังดีที่มีพี่ชายข้างบ้าน...ซึ่งเป็นคู่หมั้นของเธอ
“พี่หมอก!”
เมืองหมอก มงคลทิวัตถ์ หนุ่มหล่ออัธยาศัยดี ลูกชายเจ้าของบริษัทนำเข้ารถยนต์รายใหญ่ของประเทศ การเรียนดี เป็นที่รักของทุกคน เขาเหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างให้ความอบอุ่นแก่คนรอบข้างตลอดเวลา
เสียแต่ว่าชายหนุ่มกลับมีเจ้าของที่จ้องจะหาเรื่องผู้หญิงทุกคนที่เข้าใกล้คู่หมั้นของตน
ทั้งสองหมั้นหมายกันด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ บ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามและเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี เธอเองก็ติดพี่ชายสุดหล่อที่เป็นเจ้าของหัวใจ
ร่างงดงามถือชามก๋วยเตี๋ยวเดินพลางส่งยิ้มกว้างมายังโต๊ะที่มีสามหนุ่มจับจอง รีบนั่งลงข้างคู่หมั้นแล้วโชว์แหวนที่ได้รับจากตระกูลมงคลทิวัตถ์ จึงยิ้มแก้มปริตั้งแต่เช้าจนเมื่อยแก้ม มีความสุขทุกเวลาไม่คาดคิดว่าเวลาแห่งการรอคอยจะมาถึงเร็วเช่นนี้
ต่างจากร่างสูงที่ทำหน้านิ่ง ไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามปฏิเสธแต่ก็ไม่อาจขัดครอบครัวได้
“พี่ทุ่น พี่เทพสวัสดีค่ะ ขอกินข้าวด้วยคนนะ” ทักทายเพื่อนสนิทของเมืองหมอกที่เป็นฝาแฝด
วรท รุ่งวิไกรและยศธนะ รุ่งวิไกรเป็นเพื่อนกับคู่หมั้นหล่อนมาตั้งแต่เรียนประถมศึกษา รู้จักกันมานานจนกลายเป็นคุ้นเคย หญิงสาวไม่ได้วางตัวเหนือกว่า ให้ความสนิทสนมกับรุ่นพี่ทั้งสองเป็นอย่างดี ต่างจากชายหนุ่มคนอื่นที่พยายามเข้ามาทำความรู้จัก แต่ก็ถูกหล่อนมองด้วยหางตา แล้วปฏิเสธเสียงแข็ง
เธอมีคนในใจแล้ว ทั้งยังมั่นใจว่าเขาคือสามีในอนาคตของตน เรื่องอะไรจะต้องมองผู้ชายคนอื่น
มีแค่เมืองหมอกก็พอแล้ว
“ไม่มีเพื่อนหรือไง ทำไมถึงชอบมากินกับพวกพี่ ไปกินข้าวกับเพื่อนสิจะได้พูดคุยตอนพักเที่ยง” เธอนั่งลงข้างร่างสูง ความหล่อของเขาทำให้มีสาวเมียงมองหลายครั้ง แต่พอเจอสายตาคมดุของชีวาพรก็ต้องรีบหลบ
ใครจะกล้าไปมีเรื่องกับหล่อน มีผู้หญิงหลายคนกล้าลองดี สุดท้ายก็เจอมือตบสุดโหดแก้มบวมช้ำไปหลายรายแล้ว
“ไม่มีเพื่อน มีแต่พี่หมอก”
ส่งสายตาหวานให้ชายหนุ่ม แต่เขาก็ไม่ได้เคลิ้มด้วย ทำเพียงตักข้าวเข้าปากพลางถอนหายใจเสียงเบาด้วยความเบื่อหน่าย เพื่อนทั้งสองเห็นว่าบรรยากาศกำลังจะเสีย จึงต้องเอ่ยแซวสร้างกรอบสีชมพูให้คู่รักสักหน่อย
“หวานกันเหลือเกิน คนทางนี้อิจฉาตาร้อนไปหมดแล้วครับ...อย่างว่าแหละคนเป็นคู่หมั้นกัน จะกินข้าวเที่ยงด้วยกันก็ไม่แปลก” ดวงหน้าหวานยิ้มจนแก้มยก เริ่มจัดการอาหารของตัวเอง แล้วพยายามขยับเข้าไปใกล้เมืองหมอก
เธอรักเขาและแสดงออกชัดเจน ผู้ชายที่เป็นอดีต ปัจจุบันและอนาคตของหล่อน
ต่างจากชายหนุ่มที่ยังนึกหงุดหงิดไม่หาย เขาไม่ได้สวมแหวนหมั้นที่เป็นแหวนเกลี้ยงเพราะจะได้ไม่สะดุดตาจนเกินไป ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการให้ทั้งหมด ยังจำวันที่คุยกับครอบครัวได้เป็นอย่างดี แม้ตนจะโวยวายทั้งยังหาข้ออ้างสารพัดเพื่อจะไม่ได้หมั้นกับเธอ
สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานความต้องการของทุกคนได้
“คุณย่าจะให้ผมหมั้นกับซอโซ่เหรอครับ!” ตะโกนเสียงดังลั่นแล้วลุกยืนอย่างตระหนก คุณย่าฝนแก้ว มงคลทิวัตถ์ผู้เป็นที่เคารพของคนทั้งบ้าน ไม่ว่าท่านต้องการอะไรทุกคนก็ยอมทำตาม คราวนี้ท่านเป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อให้หลานชายคนโตหมั้นหมายกับคนที่คู่ควร
อย่างไรคนทั้งสองก็เห็นกันมาแต่เด็ก รู้จักนิสัยใจคอ ผู้ใหญ่ก็สนิทสนมแล้วจะรอเวลาทำไม ท่านเองก็หมั้นกับสามีผู้ล่วงลับตั้งแต่อายุสิบแปด เรียนจบก็แต่งงานมีลูกตอนที่อายุยังน้อย จึงวาดหวังให้หลานชายเป็นเช่นเดียวกัน
ไม่คิดว่าเมืองหมอกจะแสดงท่าทีขึงขังเช่นนี้ ปกติเห็นสนิทสนมกับชีวาพรเป็นอย่างดี คิดว่าสนิทสนมรักใคร่เสียอีก
“ใช่ ย่าชอบหนูโซ่ อยากหมั้นให้เราไว้ในอนาคตหลังเรียนจบก็แต่งงานกันเลย ย่าอยากเห็นหมอกแต่งงานก่อนย่าจะตาย ทำให้ย่าได้ไหมลูก”
เอาน้ำอุ่นเข้าลูบแต่หลานคนโตก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงเลยสักนิด ยกเหตุผลเรื่องอายุขึ้นมาบอกท่าน
“ผมเพิ่งสิบแปด ส่วนโซ่ก็เพิ่งสิบเจ็ด ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ทำแบบนี้ไม่ถูกต้องนะครับ”
ค้านหัวชนฝาจนทุกคนที่นั่งในห้องรับแขกต่างเหลียวมองหน้ากัน แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าขัดคุณฝนแก้ว แม้กระทั่งบุตรชายที่ทำเพียงแค่เหลือบมองแล้วยกมือขึ้นกอดอก คอยดูสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง
“ย่าแค่ให้หมั้นไม่ได้ให้ทำอะไรกันสักหน่อย ถือว่าช่วยให้ย่าสบายใจเถอะนะ”
“เรื่องแค่นี้เองหมอก ไม่เห็นจะยุ่งยากเลย เราก็ทำเพื่อย่าหน่อยเถอะ” คุณอนัญพรที่เป็นแม่ของเมืองหมอกบอกลูกชายเมื่อเห็นว่าการหมั้นหมายไม่ได้ยุ่งยาก อย่างไรเด็กทั้งสองก็เป็นคนคุ้นเคยกัน
“คุณแม่...” ครางเสียงแผ่วเมื่อเห็นว่าทุกคนอยากให้เขาหมั้น อยู่ข้างคุณย่ากันหมดไม่เห็นใจตนเลยสักนิด
“คบกับน้องมาตั้งนาน หนูโซ่ออกจะน่ารักนิสัยดี เข้าหาผู้ใหญ่เป็น พูดจาก็ไพเราะ ไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนเสียหายเลย ทำไมเราถึงไม่อยากหมั้นกับน้อง” กล่อมลูกชายที่ทรุดนั่งลงบนโซฟาดังเดิม ใบหน้าเคร่งขรึมทั้งดวงตาแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้ตลอดเวลาด้วยความโมโห
เขากำลังถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเลยสักนิด รู้จักแต่เด็กแล้วอย่างไร สนิทสนมแล้วเป็นยังไง ในเมื่อความรู้สึกของเขาที่มีต่อหล่อน...เป็นเพียงพี่น้องเท่านั้น
“ผมไม่ได้รักนี่ครับ”
ใครจะรักผู้หญิงอารมณ์ร้ายอย่างนั้นลง ทั้งยังตามติดเขาตลอดจนไม่มีเวลาของตัวเอง ทำตัวน่าเบื่อน่ารำคาญ ยึดติดกับเขามากเกินไป...
“ไม่รักก็หมั้นได้ คบกันไปก็รักเองนั่นแหละ” คุณตรัยคุณเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าน
ดวงตาคมไล่มองตั้งแต่ย่ามาที่แม่และหยุดลงที่พ่อ ไม่มีใครอยู่ข้างเขาเลยสักคน ต่อให้ดื้อดึงไปก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“ถ้างั้นก็ตามใจทุกคนครับ ผมขัดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”
งานหมั้นภายในครอบครัวจึงเกิดขึ้น เจ้าสาวยิ้มกว้างมีความสุข ต่างจากเจ้าบ่าวที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง ภาพที่ได้จึงเหมือนคนหนึ่งอยู่งานมงคล ส่วนอีกคนอยู่งานอวมงคล
ความรู้สึกสวนทางกัน...อย่างชัดเจน
มือบางกำเข้าที่กลุ่มผมหนาแล้วดึงจนเจ้าของร่างร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด ลานหญ้าหลังโรงเรียนในช่วงบ่ายไม่มีคนผ่าน ทุกคนต่างเข้าห้องเรียนเพื่อศึกษาตำรา มีเพียงชีวาพรที่ไม่อาจปล่อยให้ตัวเองนั่งเรียนด้วยความอารมณ์หงุดหงิดได้
จึงไปเรียกคนต้นเหตุให้ไปเคลียร์กัน เพียงแค่เดินเข้ามาหลังอาคารสูงก็กระชากผมของสาวรุ่นน้อง ดวงหน้าโกรธเกรี้ยวผิดจากช่วงกลางวันที่ยิ้มหวานให้คู่หมั้นของตน
“โอ๊ย พี่ พี่โซ่ ปล่อยหนูไปเถอะนะ” ฝ่ายที่ถูกกระทำยกมือไหว้แล้วอ้อนวอนเสียงหลง แต่ก็ไม่ถูกปล่อยทั้งยังกำผมคู่กรณีแน่นกว่าเดิมอีก