แรงรัก

73.0K · จบแล้ว
Readed
34
บท
303
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ไดอาน่า มิลส์ นางแบบสาวสวยจากนครนิวยอร์คอันโอฬาร ชีวิตของเธอฉาบไล้อยู่ด้วยแสงสีอันตระการตามหาตลอดชีวิต ลิเจ มาสเตอร์ส คือบุรุษผู้กร้านเจ้าของไร่ปศุสัตว์จาก นิว เม็กซิโก ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแดดลมกับฝูงปศุสัตว์ เป็นนักขี่ม้าผาดโผนอันเลื่องชื่อจากสนามโรดิโอ แต่ในความแตกต่างกันของชีวิตสาวหนุ่มคู่นี้ได้มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งทั้งเขาและเธอไม่อาจที่จะปฏิเสธได้เกิดขึ้น ทั้งคู่ได้พานพบ ได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกันและแต่งงานกันในที่สุด แต่แล้วเมื่อชั่วโมงแห่งความสุขจากการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ได้ผ่านพ้นไป ไดอาน่าก็ได้พบว่า เธอไม่อาจจะทนสภาพชีวิตที่อ้างว้างเดียวดาย ในท้องถิ่นที่ห่างไกลความเจริญ และกับสามีที่มาดมุ่งสร้างหลักฐานให้กับชีวิต และทอดทิ้งเธออย่างสิ้นเชิง ความฝันได้สลายลง วิมานที่วาดไว้ได้พังทะลาย

นิยายรักนิยายรักโรแมนติกรักหวานๆดราม่าโรแมนติก

บทที่ 1

“สเปรย์ฉันหมดพอดีเลย ไดอาน่า ขอยืมของเธอหน่อยได้ไหม ?” สเตลล่า ถลาร่อนเข้ามาทางเบื้องหลังสาวน้อยผมสีบลอนซ์ พยายามไม่ให้ศีรษะของตัวเองขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเกรงว่าทรงผมของเจ้าหล่อน ที่ตบแต่งไว้เรียบร้อยแล้วจะเสียทรงไป

“นั่นแน่ะ” ไดอาน่าชี้ไปที่กระป๋องสเปรย์ที่วางอยู่บนโต๊ะ วางดินสอเขียนคิ้วในมือลง ก่อนที่จะหันไปมองภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาอีกครั้ง

ใบหน้าที่คงความงามอย่างสมบูรณ์แบบสะท้อนมองตอบมาอย่างสงบ ดวงตากลมโตเป็นสีฟ้าสดใสเต็มไปด้วยแววเฉลียวฉลาด สะท้อนออกถึงความคิดภายในนั้นล้อมกรอบอยู่ด้วยขนตาที่ยาวงอน ความหนาของแนวขนตานั้นเพิ่มความงามให้กับสีของดวงตามากขึ้นไปอีก เมื่อประกอบด้วยแผงขนตาเทียมที่ทาบทับ และแลเงาซ้ำด้วยอายเชโดว์สีเทอร์คว้อยซ์ จมูกของเธอโด่งเป็นสัน ไม่สั้นเกินไป ไม่ยาวเกินไป และไม่ใหญ่จนเกินไปนัก ริมฝีปากก็เช่นเดียวกันอิ่มเอิบได้รูปกำลังงาม ประกอบด้วยรอยหยักตรงริมฝีปากช่วงบนซึ่งโก่งราวคันธนู และริมฝีปากล่างเล่าก็ได้รูปเหมาะเจาะพองามดูเย้ายวนใจนัก เมื่อถูกไล้ไว้ด้วยลิปสติคสีชมพูสด สาวน้อยแสนสวยผู้นี้มีใบหน้ารูปไข่ผิวพรรณที่ผุดผ่องราวน้ำนมนั้นเป็นที่อิจฉาของนางแบบคนอื่น ๆ นัก แม้จะใช้รองพื้นสีงาช้างฉาบเติมลงไปบ้าง แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะมิได้ช่วยเชิดชูให้งามเกินกว่าผิวพรรณเดิมของเธอ

และด้วยความชำนาญพิเศษที่มีมานาน ไดอาน่าไล้ดินสอเขียนคิ้วสีเทาเข้มลงไป เพื่อเพิ่มความคมเข้มให้กับคิ้วที่โก่งงามได้รูปอยู่แล้วแต่เพียงบางเบา จากนั้นก็ดึงแถบสีฟ้าที่คาดทับเส้นผมสีบลอนซ์ออก และเริ่มแปรงแรง ๆ ลงไปบนเส้นผมที่เนียนนุ่มปานเส้นไหมนั้น เส้นผมตอนปลายของเธอหยักขึ้นเป็นลอนสลวยตามธรรมชาติรวมทั้งลูกผมที่หยิกหยักศก ซึ่งเธอมักจะแปรงให้พ้นจากกรอบหน้าอยู่เสมอ และมักจะต้องคอยปัดลูกผมที่คอยจะปรกลงมาเป็นไรตามธรรมชาติ ยามที่ถูกสายลมพัด และม้วนเป็นวงขอดอย่างงดงามด้วยแรงลมอยู่เป็นนิจ

ประตูรถเทรลเล่อร์ ถูกกระชากให้เปิดออกพร้อมกับร่างของสาวน้อยผมสีน้ำตาลผู้หนึ่งซึ่งปลิวเข้ามาพร้อมกับสายลมเย็นเยียบด้วยชุดแฟชั่น ซึ่งดูจะไม่สมบูรณ์แบบนัก และรีบปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็ว

“พวกข้างนอกนั่นเขารอเธออยู่แล้วล่ะ สเตลล่า” เธอร้องบอกฟันกระทบกันด้วยความหนาวสั่น

“ช่วยบอกเขาที ว่าฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ละ” สเตลล่าตอบ มองภาพสะท้อนเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกเงาเป็นครั้งสุดท้าย

“ไปบอกเองสิ ฉันไม่ออกไปอยู่กับไอ้อากาศหนาวจะเป็นบ้านั่นอีกหรอก จนกว่าจะถึงรอบของฉัน” สาวน้อยผมสีน้ำตาลตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ฉันละไม่คุ้นเสียเลย กับไอ้การที่จะต้องแต่งชุดฤดูร้อน ออกไปร่อนอยู่กลางฤดูหนาวนั่นน่ะ สงสัยว่าจะตายเพราะนิวมอเนียเสียก่อนก็ไม่รู้”

“อันที่จริง เดือนกุมภาฯ ปีไหน ๆ มันก็หนาวอย่างนี้ทั้งนั้นละน่า วาเนสสา” ไดอาน่าพูดขึ้น

วาเนสสายักไหล่อย่างไม่แยแสในคำพูดนั้น เลือกใช้วิธีเร่งให้สาวน้อยผม สีดำที่ชื่อ สเตลล่า ให้ออก ไปข้างนอกเร็วขึ้น

“นี่....แล้วก็ระวังเวลาเดินหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นละเธอเอ๋ย เป็นได้เหยียบปุ๋ยกันเต็มรองเท้าละ”

ไดอาน่าซ่อนยิ้มไว้กับคำเตือน เพราะรู้ว่าวาเนสสากำลังอารมณ์เสีย และทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับแววขุ่นขวางในดวงตาของเจ้าหล่อนผู้นั้น

“เออ....รอให้เธอแต่งไอ้ชุดสีขาวนั้นแล้วก็ออกไปเดินโชว์อยู่ต่อหน้าม้า มีคอนนี่คอยตะโกนไล่หลังบอกอยู่ตลอดเวลาว่าอย่าทำเปื้อนบ้างก็แล้วกัน” วาเนสสาบ่นพึมพำ จัดแจงถอดเสื้อผ้าน้อยชิ้นสีสดใสที่สวมออกเปลี่ยนเป็นใส่ชุดยาวแบบจีบรูดแทน “ฉันไม่เข้าใจเลยนะว่า คอนนี่เขาไปเอาไอ้ความคิดบ้า ๆ นี่มาจากไหน มีใครเคยได้ยินบ้างว่า มีการเอานางแบบมาถ่ายแฟชั่นกันในสนามโรดิโออย่างนี้.....บัดซบ....ไร้เหตุผลที่สุดเลย”

“มันไม่ไร้เหตุผลเสียทีเดียวหรอกน่า อันที่จริงแบ็คกราวด์ที่นี่มันสมบูรณ์แบบดี สำหรับแฟชั่นสมัยใหม่ที่ออกแบบระหว่างตะวันตกกับอินเดียนผสมกันกลาย ๆ จะหาสถานที่ไหนได้ดีกว่าใน ซาน แอนโทนิโอ แล้วก็กับงานแสดงการขี่ม้าโลดโผน ของโคบาลประจำปีนี่ล่ะ ?” ไดอาน่าเปลี่ยน สายตาจากหน้ากระจกมามองใบหน้าของเพื่อนสายตาที่ค่อยคลายความบึ้งตึงลง และพูดด้วยอย่างมีเหตุมีผล

“เอาละ ถ้าจะให้ฉันยอมรับก็เห็นจะเป็นไปได้แค่เรื่องเดียวเท่านั้นละ ว่าฉันไม่เคยเห็นผู้ชายหน้าตาดี ๆ ทุกคนเลยมารวมกลุ่มกันอยู่ในที่เดียวกันอย่างที่นี่มาก่อน” เพื่อนสาวของเธอตอบ อารมณ์ของเจ้าหล่อนสงบลงมากแล้ว “แล้วก็ไม่ใช่ประเภทที่ขี้อายจนไม่กล้าแสดงออกถึงความประทับใจในพวกเราด้วย” วาเนสสายิ้มให้กับเงาของตัวเองในกระจก “ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะได้ยินเสียงผิวปากตามหลัง ยักคิ้วหลิ่วตาแล้วก็ท่าทางเชื้อเชิญมากเท่าครั้งนี้เลย”

“อย่าไปเอามาคิด ให้รกสมองหน่อยเลยน่า” ไดอาน่าเตือน “เธอไม่เคยพบเคยเห็นพวกที่ไม่มีแก่นสารแล้วก็จรจัดมากมาย เหมือนพวกโคบาลที่มาร่วมในงานแสดงโลดโผนครั้งไหนเท่าครั้งนี้หรอก คนพวกนี้ถ้าจะเปรียบไปมันก็เหมือนพวกลูกเรือเดินทะเลนั่นแหละ ถึงท่าที่ไหนมีผู้หญิงที่นั่น”

“เธอนี่.... ชอบชักใบให้เรือเสียเรื่อยเชียวนะ” วาเนสสาสั่นศีรษะอย่างเศร้าใจ ให้กับเพื่อนสาวผู้มีผมสี บลอนซ์ของเธอ ซึ่งขณะนี้กำลังตั้งอกตั้งใจแปรงผมตามวิธีจนกระทั่งเส้นไหมนั้นเปล่งประกายสดใส และสดสวยยิ่งนัก “นี่ฟังนะ มันไม่จำเป็นสักหน่อย ที่เราจะออกไปกับผู้ชายคนไหนแล้วจำเป็นที่จะต้อง แต่งงานกับผู้ชายคนนั้นด้วยนะ การที่ออกเดทน่ะสนุกจะตายไป เธอก็รู้ พนันกันได้เลยว่า ถ้าได้ออกไปกับเคาบอยพวกนี้ละก้อ เป็นได้สนุกกันสุดเหวี่ยงเชียวละ”

“เธอน่ะไปที่ไหนก็สุดเหวี่ยงที่นั่น ทุกทีละ เท่าที่ฉันรู้นะ” ไดอาน่าวางแปรงลงบนโต๊ะเล็ก ใช้นิ้วมือดึงเส้นผมตอนปลายให้ฟูขึ้น “ชี้มาให้ฉันดูหน่อยสิ....หน้าไหนก็หน้านั้นแหละ....คนไหนบ้าง ที่จะมีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นของตัวเองในชนบทอย่างนี้บ้าง แล้วก็ทำให้ฉันมีความสุขได้”

“นี่....ไม่มีใครหรอกที่เขาจะมีจิตใจเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างเธอ จะเกิดมาพรั่งพร้อมอย่างที่เธอว่าหรอกเธอน่ะดูถูกอาชีพนางแบบจะตายไป”

“อย่าพูดจาเหลวไหลอย่างนั้นหน่อยเลยน่า” ไดอาน่าหัวเราะออกมา “พนันกันได้เลยนะ ฉันว่าเธอก็ต้องเคยนั่งเหงาอยู่กับบ้านในตอนกลางคืนบ่อย ๆ เหมือนฉันนี่แหละมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่.... หลับตาไม่ลง เพราะไอ้ภาพต่าง ๆ มันคอยแต่จะติดตาอยู่ หรือไม่อีกทีก็คอยแต่จะกังวลอยู่กับจำนวนนิ้วตรงเอวที่มันเพิ่มขึ้น เพราะอาหารแล้วก็เหล้านั่น”

“การมีอาชีพเป็นนางแบบอะไร ๆ มันก็ต้องจำกัดไปทั้งนั้นละ” วาเนสสายอมรับอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก “แต่ที่ฉันว่านี่น่ะ เพราะว่าเวลานี้เรามาอยู่ในเท็กซัส ซึ่งสาวงามจากอเมริกาทั้งหลายเป็นที่น่าชื่นชมบูชาทั้งนั้น ไอ้นิวยอร์คน่ะ.. มันคนละเรื่องกัน”

“เฮ้อ” ไดอาน่าสั่นศีรษะ “พวกนางแบบในดัลลัสน่ะไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากนางแบบใน สังคมชั้นสูงคนไหนที่เธออยากจะเอ่ยถึงหรอก งานก็หนักแล้วก็หยุมหยิมตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าจะน่าเสน่หาไปเสียทั้งหมดที่ไหนมันก็เหมือนกันทั้งนั้นละ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงแฟชั่นกันตามร้านขายเสื้อผ้าหรือว่าถ่ายแบบกันอย่างที่เราทำอยู่ ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีที่ไหนน่าสนุกสนานไม่ว่าจะไปตรงไหนของประเทศเลยด้วยซ้ำ”

“แต่มันก็ยังมีชื่อเสียงละ”

“อีกไม่นานฉันก็คงหาชื่อเสียงได้ด้วยการเป็นภรรยาแล้วก็เป็นแม่ของลูกได้เหมือนกันนี่” ไดอาน่าเถียงเดินไปปลดจั๊มท์ สูทสีขาวที่แขวนอยู่กับไม้แขวนเสื้อออก

“ไม่ใช่ฉันแน่ ฉันไม่มีวันมีลูกหรอก.. ไม่อยากให้รูปร่างเสีย”

ไดอาน่าสะดุ้ง คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจนั้น กระทบเข้าอย่างจังตรงบาดแผลที่ยังไม่หายสนิท มันเป็นอะไรบางอย่างที่เธอไม่เคยบอกเล่าให้ผู้ใดฟัง และที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุผลข้อหนึ่งที่ว่า เพราะไม่เคยมีใครผู้ใดที่จะเคยได้ใกล้ชิดสนิทสนม จนเธอสามารถจะพูดคุยในเรื่องนี้ได้ เธอซ่อนเร้นความเดียวดายนั้นไว้ภายใต้หน้ากาก ซึ่งจะมองเห็นแต่ใบหน้าที่สงบ สดสวยอย่างสมบรูณ์แบบ ไม่มีใครเคยระแวงสงสัยเลยสักนิดว่าความลับได้ถูกซ่อนไว้ใต้หน้ากากนั้น