2) เพื่อนใหม่
“เมี๊ยว”
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเจ้าขายังคงมองไปที่เจ้าแมวนิ่งๆ แสงจันทร์ที่ส่องสว่างทำให้เจ้าขาพอจะมองออกว่าเจ้าแมวที่ส่งเสียงและสบตาอยู่นั้นเป็นแมวสามสีที่ตัวโตพอสมควร หางยาวเป็นพวงส่ายสะบัดไปมาก่อนร่างปุกปุยจะค่อยๆลุกขึ้นแล้วกระโดดจากระเบียงลงมายืนบนพื้น
สี่เท้าค่อยๆเยื้องย่างเข้ามาใกล้เจ้าขาเรื่อยๆโดยที่เจ้าขายังคงมองไปนิ่งๆอย่างทำตัวไม่ถูก จนเมื่อเจ้าก้อนขนตัวโตมาหยุดตรงหน้า เจ้าขาที่ได้สบตาสีเทาอมฟ้านั่นถึงได้ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ดวงตาโตคมกริบกับหน้านิ่งๆนั่นดูยังไงก็ไม่น่าเป็นมิตร แต่หางที่ส่ายไปมาทำให้เจ้าขารู้ว่าเจ้าตัวตรงหน้าไม่ได้ดุร้ายอะไรแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่เดินมาหาเธอง่ายๆแบบนี้
“สีสวยจัง แอบออกมาเที่ยวสินะเรา”
เจ้าขาทักทายเจ้าขนฟูตรงหน้า สบสายตาดุที่น่าเอ็นดูมากกว่าน่ากลัวก่อนจะยื่นมือออกไปให้ดม จมูกเล็กๆแตะลงที่ปลายนิ้วเพียงนิดก่อนจะละออกไปแล้วหันไปมองทางอื่นแทน เจ้าขายิ้มบางทั้งที่น้ำตายังคงไหลเหมือนลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ก่อนจะถามเจ้าแมวตรงหน้าอีกครั้งราวกับว่ามันจะตอบตัวเองได้
“ชื่ออะไรเหรอ เจ้าสามสี”
เจ้าขาถาม ถือวิสาสะเรียกตามสีที่เจ้าแมวตรงหน้ามี ก่อนจะได้สายตามองแรงกลับมาแล้วมองเมินไปทางอื่นแทนไม่ได้ส่งเสียงใดๆออกมาอีก เจ้าขาทำท่าคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงข้างบนฟ้าแล้วสรุปเอาเองอีกครั้ง
“อืม งั้นขอเรียกมูนแล้วกัน ตกลงมั้ย”
“เมี๊ยว”
คราวนี้เจ้าแมวหันมาร้องใส่ครั้งนึงราวกับรับรู้ก่อนจะปีนขึ้นมานั่งบนตักจนเจ้าขาต้องรีบขยับตัวให้เจ้าขนปุยได้นั่งดีๆ ดวงตาสีสวยมองสบกับเจ้าขาก่อนที่เจ้ามูนจะยืดตัวขึ้นมาเกาะไหล่ไว้แล้วแลบลิ้นเลียน้ำตาบนแก้มเจ้าขาจนเธอตกใจ
“เจ้ามูน…”
เจ้าขาเรียกเจ้าขนปุยที่จ้องตาเธออยู่เสียงแผ่ว น้ำตาที่เหือดแห้งไปพลันเอ่อล้นออกมาอีกครั้งอย่างตื้นตันใจ ลิ้นเล็กๆไล้เลียที่แก้มเนียนก่อนจะเลื่อนลงมาเลียที่คอขาวจนเจ้าขาจั๊กจี้ แค่เพียงได้สบดวงตาใสกลมโตเจ้าขาก็ปล่อยน้ำตาไหลลงมาอีกครั้งแล้วกอดเอาเจ้าก้อนขนตัวโตไว้แน่น
“ฮึก ตัวแกอุ่นจังเลยมูน ขอกอดอีกนิดได้มั้ย”
เจ้าขาแนบหน้าลงกับขนนุ่มแล้วถูไถไปมาอย่างต้องการความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ยิ่งกอดก็ยิ่งอุ่นวาบในใจทั้งที่ไม่มีคำปลอบโยนใดๆออกมาสักนิด นอกจากเสียงร้องเล็กๆจากเจ้าขนฟูในอ้อมแขน
“รู้เหรอว่าเจ้าขาเศร้า ฮึก ขอบคุณนะที่มาหา เจ้าขาอยากเลี้ยงมูนไว้จังอยากมีมูนรอเจ้าขากลับบ้าน แต่มูนต้องมีเจ้าของแน่ๆเลยใช่มั้ย งั้นมาหาเจ้าขาบ่อยๆได้รึเปล่ามาเป็นเพื่อนกับเจ้าขานะ”
เจ้าขาขอร้องปนสะอื้น ทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวในอ้อมกอดตอบโต้ไม่ได้ แต่กลับอยากคุยด้วยราวกับได้เจอเพื่อนใหม่คนนึง
อาจจะเพราะเจ้าขาอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่ มีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่อยู่ห่างกันคนละซีกโลกจนไม่กล้ารบกวน มีครอบครัวที่ยุ่งจนไม่กล้าไปเพิ่มความวุนวายใจให้ ทุกความรู้สึกไม่ว่าจะดีหรือแย่เจ้าขาต้องจัดการมันด้วยตัวคนเดียวมาตลอด
ยามนี้ที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้ๆแม้จะพูดไม่ได้แต่เจ้าขากลับดีใจ จนอยากระบายทุกอย่างที่แสนเหนื่อยออกมาให้ฟังทั้งหมดเลย เพราะเจ้าขารู้ว่าถ้าพูดไปก็จะไม่เป็นไร
“เมี๊ยว”
เสียงร้องราวกับตอบรับคำขอนั่นทำให้เจ้าขายิ้มออกมาทั้งน้ำตา สองมือลูบขนนุ่มเบาๆกอดเจ้ามูนเอาไว้แนบอกอย่างไม่อยากละออกไปไหน สายลมแผ่วเบาพัดผ่านพาเอากลิ่นดอกไม้จากสวนข้างๆบ้านโชยมาให้หอมชื่นใจ แต่เจ้าขากลับชอบกลิ่นป่าที่ติดอยู่ตามตัวเจ้ามูนมากกว่า มันให้ความสบายใจและอบอุ่นราวกับถูกโอบกอดเอาไว้เลย
เจ้าขาเอนตัวพิงกำแพงด้านหลังก่อนจะลูบขนเจ้ามูนที่ขดตัวนอนบนตักแผ่วเบา เรื่องราวแสนเหน็ดเหนื่อยถูกเอ่ยออกมาเรื่อยๆแต่ไร้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดเหมือนเก่า เพราะตอนนี้เจ้าขาสบายใจและโล่งใจมากๆที่ได้ระบายทุกอย่างออกไป แม้จะเหมือนพูดคนเดียวก็ตามที
รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปเป็นอีกวันจนเจ้าขาพ่นลมหายใจอย่างเสียดาย ถึงจะอยากนั่งต่อแบบนี้อีกนานแค่ไหน แต่เจ้าขาก็ต้องไปทำงานแต่เช้าอยู่ดี
“อ่า ต้องนอนแล้วล่ะพรุ่งนี้เจ้าขาต้องไปทำงานแต่เช้า มูนก็ต้องกลับบ้านนะอย่าไปไหนไกลอีกรู้มั้ย ไม่งั้นเจ้าของมูนจะต้องเสียใจมากๆแน่เลยเอาไว้มาหาเจ้าขาอีกนะ”
เจ้าขาจับเจ้าตัวนุ่มออกจากตักให้ยืนตรงหน้า เจ้ามูนที่ถูกรบกวนการหลับลืมตามองอย่างไม่พอใจนัก ก่อนจะร้องประท้วงออกมาแล้วจ้องตาเจ้าขานิ่ง
“เมี๊ยว”
“ทำไมล่ะ ไม่กลับบ้านเหรอเจ้าขาต้องนอนแล้วนะ มูนเองก็ต้องกลับบ้านเดี๋ยวเจ้าของเป็นห่วงรู้มั้ย”
เจ้าขาบอกกับเจ้าขนฟูตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะนั่งยองๆมองตากลมใสนั่น แต่เจ้ามูนกลับยืนมองนิ่งไม่แม้จะขยับกายสักนิดจนเจ้าขาถอนหายใจ จะปิดประตูหนีแล้วปล่อยไว้ก็ใจร้ายไม่ลง
“เฮ้อ…งั้นถ้าเจ้าขาให้นอนด้วยกันคืนนึงเจ้าของมูนคงไม่ว่าหรอกเนอะ ตอนเช้าค่อยกลับละกัน”
“เมี๊ยว”