INTRO
ณ สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
“เฮ้ย! พี่” เสียงเล็กที่ร้องตะโกนลั่นของเด็กผู้ชายดังขึ้นทางด้านหลังมาพร้อมแรงกระชากที่คอเสื้อเพื่อหยุดสิ่งที่ผมกำลังจะทำไว้
“นี่พี่กำลังคิดสั้นเหรอวะ?” ผมไม่สนใจคำถามจากคนแปลกหน้าพร้อมกับเอ่ยบอกน้ำเสียงขุ่นมัว
“ปล่อย! อย่ามายุ่ง” พร้อมกับสะบัดตัวแรงๆ เพื่อให้หลุดจากมือที่กุมคอเสื้อไว้
“อยากให้ปล่อยพี่ก็ถอยมาก่อนสิครับ อีกแค่ก้าวเดียวพี่ได้หล่นน้ำแน่”
ผมมองไปด้านหน้าตามคำที่เด็กหนุ่มหัวเกรียนเอ่ยบอก
อืม ใช่! อีกแค่ก้าวเดียวผมก็จะได้ทำดั่งใจปรารถนาแล้ว ถ้าไม่ติดตรงที่...
“อย่าเสือก ไม่ใช่เรื่องของเด็ก” ผมสะบัดไหล่อีกครั้ง ครั้งนี้ค่อนข้างแรงกว่าครั้งก่อนมาก ทำให้มือคนที่จับคอเสื้อผมไว้หลุดตามแรง
“ก็ไม่ได้อยากเผือกหรอกนะครับ แต่ผมไม่อยากเห็นชีวิตคนดีๆ ต้องจบลง”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูเป็นคนดี” ผมรีบสวนกลับทั้งๆ ที่ไอ้เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมพูดยังไม่ทันจบประโยคดี
“ไม่รู้ผมก็แค่เดา” ไอ้เด็กนี่มันกวนส้นนัก แถมาได้ข้างๆ คูๆ แต่ก็แปลกที่ผมถอยหลังมาสองก้าวแล้วยืนคุยกับเด็กนั่นดีๆ
“กลับบ้านไป ป่านนี้พ่อแม่เป็นห่วงแย่” ผมปัดมือไล่ตัววุ่นวายให้ไปพ้นๆ จากตรงนี้สักที ตอนนี้อารมณ์ที่อยากจะฆ่าตัวตายมันหดหายไปหมดแล้ว
ฟังไม่ผิดหรอกครับ เมื่อกี้ผมกำลังจะคิดสั้นจริงๆ ถ้าไม่ได้จอมเผือกเป็นนักเรียนมอปลายผมเกรียนสั้นคนนี้มารั้งไว้
“ถ้ามีก็ดีสิพี่” ผมหันไปมองเจ้าของประโยคสีหน้ามึนงงกับคำพูดของน้องมัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไรออกมา ก็พบกับใบหน้าที่เศร้ามองอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นน้องมันก็ส่งยิ้มมาให้ผม
เป็นยิ้มที่โคตรจะละลาย
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่เจออะไรมาถึงอยากจะทิ้งชีวิตที่เหลือไปแบบนี้” เหมือนกำลังโดนเด็กสั่งสอนกรายๆ แต่ผมก็ยืนนิ่งจ้องเสี้ยวหน้าน้องมันตอนที่พูดเงียบๆ
“แต่ผมเชื่อถ้าพี่ยังมีครอบครัวเหลืออยู่ ผมว่าเรื่องอื่นๆ คงจิ๊บๆ ถ้าจะเอามาเปรียบกับชีวิตอันมีค่าที่เหลืออยู่”
จึก!
รู้สึกจุกกับคำพูดของเด็กที่เดาจากชุดนักเรียนมอปลายไม่น่าจะอายุเกินสิบแปดปีด้วยซ้ำ
“อย่าบอกนะว่า...” ผมกำลังจะพูดสิ่งที่คิดออกไปแต่ก็ไม่ทันเมื่อเสียงหวานๆ พูดต่อ “เอ้า! ผมให้” มันยื่นอะไรบางอย่างให้ผม ผมไม่รับมันเลยถือวิสาสะคว้ามือผมและยัดของสิ่งนั้นไว้ในอุ้งมือ
“นี่ผลงานชิ้นเอกของผมกับแม่เลยนะ”
“แล้วทำ...”
“พี่ไม่ต้องซีเรียส เพราะเห็นพี่กำลังสับสนในชีวิตหรอกนะเลยจะให้ไว้”
ผมกำลังจะถามมันว่า ทำไมมันต้องเอาของมีค่าแบบนั้นมาให้ผม แต่ไอ้เด็กนี่ก็พูดเป็นต่อยหอยขึ้นมาเสียก่อน
“ชีวิตคนเราเมื่อมืดมนในวันนี้ ใช่ว่าวันข้างหน้าจะไม่เจอแสงสว่าง ถ้าพี่ยังเหลือครอบครัวที่รักพี่ อย่าคิดเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งกับเรื่องที่ทำให้พี่หดหู่และเศร้าหมอง”
ประโยคยืดยาวที่ไอ้เด็กนี่กำลังเตือนสติผม ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาได้
ใช่! ผมยังมีครอบครัวเหลืออยู่ แต่เป็นครอบครัวที่รักผมหรือเปล่าผมไม่แน่ใจ ในเมื่อคำว่า ‘ครอบครัว’ นั่นแหละที่ทำให้ผมคิดสั้นแบบนี้
“ผมหวังว่าถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีกวันข้างหน้า พี่จะยังมีชีวิตอยู่นะครับ แล้วอีกอย่าง ช่วยเก็บรักษาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไว้ดีๆ ล่ะ เพราะมันคือตัวแทนของแม่ที่จากไปของผม”
ประโยคสุดท้ายที่ฟังดูหดหู่ทำให้ผมแทบจะยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นคืน แต่ไม่ทันเมื่อเด็กคนนั้นวิ่งโบกไม้โบกมือลาผมไปหลายสิบก้าวก่อน
“ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอนะพี่ ยิ้มเข้าไว้ แล้วปัญหาทุกอย่างจะหมดไป”
ยังมีทิ้งท้ายคำพูดที่เป็นกำลังใจให้ผมพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมมองแล้วหัวใจเต้นตึกตักไปทั่วอก
“ไอ้เด็กบ้า คิดว่าเป็นใคร กล้ามาสั่งสอนกู” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง สองมือค่อยๆ คลี่ผ้าเช็ดหน้าที่เด็กคนนั้นให้ไว้
“พระอาทิตย์ คู่ พระจันทร์?”
ผมถึงกับยกยิ้มเมื่อเห็นภาพวาดด้วยสีอะคริลิค รูปพระอาทิตย์ที่ส่องสว่างสดใส และอีกฝั่งเป็นรูปพระจันทร์ในบรรยากาศยามค่ำคืน พร้อมกับตัวอักษรภาษาอังกฤษ P.K. อยู่มุมขวาของผ้าเช็ดหน้า
“ขอบใจนะไอ้เด็ก พีเค แล้วสักวันถ้าเจอกันฉันจะตอบแทนนายที่มอบชีวิตใหม่ให้ในวันนี้”
และนั่นคือเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วห้าปี แต่ผมไม่มีวันลืมมันเลยสักวินาทีเดียว