แพ้ทางรัก ครั้งที่ 6
ติ๊งหน่อง!
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น ผมชะโงกหน้าผ่านหน้าต่างครัวมองไปยังรั้วบ้านที่สูงประมาณเมตรกว่าๆ แต่ก็มองไม่ชัดว่าใครมากดกริ่ง ปกติถ้าเป็นไอ้มะนาวที่อยู่บ้านถัดผมไปไม่กี่หลังคาเรือนมันไม่กดกริ่งแบบมีมารยาทแบบนี้แน่
“สีน้ำ ไปดูหน่อยใครมาแต่เช้าเนี่ย!” เพราะผมยังตั้งหม้อโจ๊กอยู่เลยไม่ว่างออกไปดู “ค่าๆ รอแป๊บนะคะ” สีน้ำรับคำ พร้อมกับประโยคท้ายที่เหมือนจะตะโกนบอกคนมาเยือน
เฮ้อ! น้องสาวผมจะเป็นกุลสตรีกับเขาบ้างมั้ยนะ
ผมเลิกสนใจนอกบ้าน กลับมาตักโจ๊กที่เพิ่งเสร็จหมาดๆ ลงชามสองใบ
“พี่กัน” สีน้ำเรียกผมจากทางด้านหลัง
“ใครมาเหรอ?” ผมไม่ได้เงยหน้ามองสีน้ำตอนที่ถาม
“ไม่รู้อ่ะ แต่อย่างหล่อ” เพราะคำว่า ‘หล่อ’ ทำให้ผมเงยหน้ามองน้องสาวตัวเองที่ตอนนี้กำลังทำตาหวานเยิ้มวิ้งๆ น้ำลายสออยู่ตรงหน้า
“อ้าว! ไม่รู้จักแล้วพาเข้าบ้านได้ไง” ผมมองออกไปผ่านประตูครัว เห็นเพียงแค่ด้านหลังครึ่งตัวของผู้ชายผมน้ำตาลทองคนหนึ่งนั่งอยู่
เดี๋ยวนะ! ทำไมสีผมนี้มันคุ้นๆ
“ก็เขาบอกรู้จักพี่กันอ่ะ” คำตอบของสีน้ำทำเอาผมกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ
ผมสีน้ำตาลทอง แถมยังบอกว่ารู้จักผมอีก จู่ๆ ก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ
“เอ้านี่เสร็จแล้ว ยกไปกินไป เดี๋ยวพี่ขอตัวไปดูก่อนว่าเขาเป็นใคร”
ผมเลื่อนชามโจ๊กหมูที่กำลังอุ่นๆ ให้น้องสาวตัวดี ส่วนของตัวเองที่ตักเสร็จแล้วก็เอาวางไว้ตรงนั้นก่อน ขอไปดูหน้าคนที่มาเยือนชาวบ้านชาวช่องเขาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าก่อนแล้วกัน
“นี่คุณ” ผมเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังร่างสูงผมน้ำตาลทองก่อนเอ่ยเรียก
ไม่รู้สิ แบบว่าตอนนี้ไม่กล้าเดินไปมองหน้าคนที่นั่งตัวตรงดิ่งทำตัวสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเองชัดๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับ น้องพู่กัน” ตัวผมชาวาบกับใบหน้าหล่อคมคายที่หันมาส่งยิ้มทักทายหลังจากที่ผมเอ่ยเรียก
“อะ ไอ้โรคจิ..”
“หืม?”
ผมกำลังจะเรียกแขกตรงหน้าว่าไอ้โรคจิต แต่ก็ถูกสายตาดุๆ จ้องเขม็งเสียก่อน
“พะ พี่รู้จักบ้านผมได้ไง แล้วมาทำไม” ผมรัวคำถามไม่กล้าสู่ดวงตาสีเทาคู่นั้น
“จำได้เคยบอกไปแล้ว พี่รู้ทุกเรื่องของเรา” ไอ้พี่ซันทำเสียงเซ็กซี่ส่งมาให้
แค่ตอบทำเสียงให้มันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไง แล้วไหนจะสีหน้าท่าทางอ่านกินผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบไม่ปิดบังนั่นอีก
“ละ แล้วพี่มีธุระอะไรกับผม” ผมพูดอึกอัก รู้สึกร้อนวูบวาบกับสายตาคู่คม
แถมแว้บหนึ่งยังเผลอไปคิดเรื่องความฝันบ้าๆ นั่นอีก
“ทำไมหน้าแดง ไม่สบายเหรอเรา”
“เฮ้ย! อย่าเข้ามานะเว้ย!” ผมรีบสาวเท้าถอยหลังสองก้าว
เมื่อจู่ๆ ไอ้พี่ซันก็ลุกจากโซฟา เดินเข้ามาหาผมเหมือนจะทำอะไรสักอย่าง
“พี่กัน เป็นอะไร” สีน้ำคงได้ยินเสียงโวยวายของผมเลยวิ่งออกมาถามหน้าตาเลิ่กลั่ก “พอดีพี่เห็นผู้กันหน้าซีด กลัวจะไม่สบาย” ไอ้พี่ซันเป็นคนตอบน้องสาวผม
“น้ำบอกแล้วให้พี่นอนไวๆ ไม่ยอมเชื่อ” สีน้ำเดินมาหาผม
เธอเงยหน้าจ้องผมตาไม่กะพริบเพื่อดูว่าผมป่วยจริงหรือเปล่า
“พะ พี่สบายดี แล้วนี่กินข้าวเสร็จยัง เดี๋ยวไปเรียนไม่ทันนะ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง
สีน้ำเป็นเด็กช่างสังเกต เธอต้องจับได้แน่ๆ ว่าผมไม่ได้ป่วยอะไร แต่อาการที่เป็นอยู่คืออาการของคนประหม่าต่างหากล่ะ
“อ้อ ลืมไปเลย งั้นน้ำไปเรียนก่อนนะคะ พี่สุดหล่อฝากดูพี่ชายน้ำด้วยนะ พี่กันคงจะไม่สบาย... หน้าเลยแด๊งแดงขนาดนั้น” ก่อนจะไปยังไม่วายมาพูดแซวผมอีก
ยัยน้องบ้า!
“ได้เลยครับ เดี๋ยวพี่จะพาพู่กันไปนอนถึงบนเตียงเลย”
“กรี้ด~”
และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมจับใจความได้
คำว่า ‘นอนถึงบนเตียง’ ของไอ้พี่ซันทำผมขนลุก
เมื่อสิ้นเงาของบุคคลที่สามอย่างสีน้ำไปแล้ว พี่ซันก็เรียกผมอีกครั้ง
“ไหวมั้ยเรา หรือยังตั้งสติไม่ได้” ผมได้ยินว่าพี่ซันถามอะไร
แต่ผมกลับหาเสียงตัวเองไม่เจอ ก็เล่นมายืนอยู่ใกล้กันซะขนาดนี้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาเตะจมูกทำให้ผมเผลอสูดดมไปตั้งหลายที