บทที่1
ณ จวนสกุลมู่
“อย่า…ลงโทษพี่ใหญ่อีกเลย เป็นเซียนเอ๋อร์เองที่ผิด จะลงโทษก็ที่ข้าแต่ผู้เดียวเถิด”
เด็กสาวหน้าตาธรรมดา มิได้โดดเด่นหรือความงามอย่างที่พี่น้องคนอื่น กับพฤติกรรมแปลกประหลาดที่นางทำอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนในสกุลมู่จึงไม่ใคร่จะอยากยอมรับในตัวของ มู่หลินเซียนเท่าใดนัก
“พอเถอะเซียนเอ๋อร์ พี่ทนได้ ผู้ใดอยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย”
เผียะ!
ใบหน้าของมู่หลงเทียนสะบัดตามแรงฝ่ามือของผู้นำตระกูลอย่างมู่ตงซิน ใบหน้าของชายวัยกลางคนเรียกได้ว่ามืดครึ้มลงหลายส่วนเมื่อถูกคำพูดของหลานชายเสียดแทงจิตใจ
“เจ้าช่างกำแหงนัก หลงเทียน หากวันนี้ ข้าไม่ลงโทษเจ้าสองพี่น้องให้หลาบจำ คงอับอายคนทั้งสกุลที่มีหลานเช่นพวกเจ้า”
มู่หลินเซียนกำหมัดแน่น ร่างบางโอบกอดปกป้องพี่ชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น เนื้อตัวบอบช้ำจากการถูกลงทัณฑ์กับเรื่องที่เล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องเล็กน้อยกว่าผายลม ไยถึงต้องทำกับพี่ใหญ่ที่เจ็บปวดได้เล่าเจ้าคะ ท่านปู่มิสมกับเป็นผู้นำเลยสักนิด หากวันนี้ พวกข้าสองพี่น้องไร้ค่าสำหรับคนสกุลมู่ก็จะหลีกทางไป นับจากนี้ ข้ากับพี่ใหญ่จะมิย่างกรายกลับมาทำให้พวกท่านมัวหมองอีก”
เด็กหญิงวัยเพียงสิบสี่เงยหน้าประสานสายตากับผู้เป็นปู่อย่างไม่คิดหลบ จะให้นางทนถึงเมื่อไหร่กัน แม้แต่พ่อแม่แท้ ๆ ยังมิเคยไยดีนางสองคนพี่น้อง แล้วทำไมนางต้องสนใจด้วยว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร การที่พี่ชายของนางมองไม่เห็นก็มิใช่ความผิดสักนิด แต่เพราะถูกกลั้นแกล้งจากใครบางคนในสกุลมู่ จึงทำให้ดวงตาทั้งสองของพี่ชายมิอาจกลับมามองเห็นได้เช่นเดิม ตัวนางเองเพราะหน้าตาที่ไม่งดงามเช่นน้องสาว และบรรดาญาติคนอื่น ๆ ก็ถูกรังเกียจ ยิ่งนางหมกมุ่นกับการอ่านตำรามากมาย ไม่ฝึกฝนดนตรี ร่ายรำเช่นคนอื่น สุดท้ายจึงกลายเป็นเด็กวิปลาสในสายตาของทุกคน
‘พี่ชายตาบอด ตัวเองเป็นคนเสียสติ ช่างน่าอดสูนัก’
“ปากดีนักนะ…หากเจ้าคิดว่าเก่งจริง ก็ไสหัวออกจากบ้านข้าไปซะ! แล้วอย่าได้ซมซานกลับมาก็แล้วกัน และพวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าอี้ชิ่งคือดวงใจของสกุลมู่ สวะเช่นเจ้าสองคนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฉียดใกล้”
“เซียนเอ๋อร์…” มู่หลงเทียนคิดจะเอ่ยเตือนสติน้องสาว แต่เหมือนเขาจะช้ากว่านางหลายก้าว เมื่อ…
“ได้…ไปกันพี่ใหญ่ หากเราไร้วาสนาก็แค่ตาย ดีกว่าทนอยู่กับคนใจดำเช่นอีกาเยี่ยงนี้”
มู่หลินเซียนพยุงพี่ชายให้ลุกขึ้นเมื่อพูดจบ ก่อนจะพากันเดินไปยังหน้าจวนด้วยหลังที่ยืดตรง หากจะไปก็ต้องเป็นตอนนี้ เพราะถ้ากลับไปยังเรือนซอมซ่อท้ายจวนก็ไม่พ้นนางกับพี่ชายต้องทนให้ถูกรังแกต่อไป
‘สุนัขไร้บ้านยังรู้จักเอาตัวรอด ข้าเป็นคนไยจะรอดไม่ได้เล่า’
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ…ลูกไม่รักดี เกิดมาก็นำพาเพียงความอับอายมาให้พ่อแม่ แล้วนี่ยังกล้าสร้างความเสื่อมเสียให้ตระกูลอีกรึ!”
ในที่สุด มู่ต๋าไห่ก็เอ่ยปากออกมา เขากลัวที่สุดคือความอับอาย หากสองพี่น้องก้าวออกจากจวนไป ผู้คนต้องประณามเขาเป็นแน่ที่ใจร้ายกับบุตรชายคนโตและบุตรสาวคนรอง
“ลูกหรือ…ท่านพ่อเรียกพวกข้าว่าลูก ฮา ๆ ช่างน่าภูมิใจนัก ที่ท่านรั้งพวกข้าไว้มิใช่ห่วงใยกระมัง แต่กลัวผู้คนกล่าวขวัญว่าท่านอำมหิตต่อพวกเราต่างหากเล่า หรือที่ข้าพูดมันไม่จริง”
มู่หลินเซียนตั้งใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะไม่ยอมทนให้พี่ชายถูกทุบตีจนตาย และนางอยู่อย่างทาสมิใช่ลูกหลานสกุลมู่สักนิด แม้บ่าวไพร่ยังไร้ความยำเกรงต่อพวกนาง ผู้ใดจะกล่าวหาว่าก้าวร้าว ร้ายกาจอย่างไรก็ตามแต่ ตอนนี้ นางมิคิดใส่ใจอีกแล้ว เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้มาทุกข์ทรมานเช่นนางกับพี่ชายเลยแม้แต่น้อย
“จะ…เจ้า หากวันนี้ เจ้าสองคนก้าวพ้นประตูไปก็อย่าได้เรียกข้าว่าพ่อ และพวกเจ้ามิใช่คนสกุลมู่อีก!”
มู่ต๋าไห่มั่นใจว่า อย่างไรเสีย สองพี่น้องก็ไม่กล้าออกจากจวนไปแน่นอน เพราะไร้เงินทองของมีค่าติดตัวย่อมยากที่จะเอาชีวิตรอดได้ ผู้เป็นพ่อแอบกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ ทว่า…
“พี่ใหญ่…เซียนเอ๋อร์ขอโทษที่ทำให้เรื่องเป็นเช่นนี้ เซียนเอ๋อร์ขอให้พี่ใหญ่วางใจน้องสาวคนนี้สักครั้ง จะได้หรือไม่เจ้าคะ”
มู่หลินเซียนเอ่ยเบา ๆ ให้ได้ยินกันเพียงสองคนกับผู้เป็นพี่
“เอาเถอะ! น้องพี่ ไม่ว่าเราจะอยู่หรือไป มันก็มีค่ามิแตกต่างกัน บางที การออกไปจากที่นี่ เราอาจมีโอกาสได้หายใจได้อย่างเต็มปอดก็เป็นได้ จริงหรือไม่” มู่หลงเทียนโอบรัดไหล่บอบบางของน้องสาวแน่นขึ้น มือหนาบีบเบา ๆ ยังตนแขนบางเพื่อเป็นการยืนยันคำพูด
สองพี่น้องก้าวเดินต่อไปอย่างช้า ๆ แต่หนักแน่น ไหล่ของทั้งคู่ยืดตรง ไม่แม้แต่จะห่อลงให้เสียเกียรติ อยู่อย่างอดสูสู้ออกไปตายเอาข้างหน้ายังจะดีเสียกว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น นางรู้ว่าเป็นฝีมือน้อง
สาวแท้ ๆ ของนางเอง รวมทั้งน้องชายคนเล็กที่ก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งแทนพี่ชายในฐานะทายาทของผู้เป็นบิดามู่ต๋าไห่
ยามสาย ก่อนหน้านั้น
“พี่ใหญ่! ไยท่านไม่ไปอยู่ตามอารามเล่า มิรู้จะมาอยู่ที่จวนให้ข้าอับอายผู้คนไปทำไม”
มู่อี้ชิ่งพูดกับพี่ชายด้วยวาจาไร้ความยำเกรง ใบหน้างามบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจต่อคนตรงหน้าที่เอาแต่นั่งนิ่งมิได้เอ่ยปากตอบโต้นางสักนิด อีกเพียงสองปี นางก็จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว นั่นหมายความว่านางใกล้เวลามีคู่ครองแล้ว แต่นางไม่อยากได้ยินผู้คนเอ่ยถึงพี่ชายตาบอด ไร้สามารถสร้างแต่ความขบขันในหมู่ลูกหลานชนชั้นสูง ไหนจะยังมีพี่สาวที่วิปลาสอีกเล่า
มู่หลงเทียนทำเพียงเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ภายใน นับตั้งแต่รถม้าพลิกคว่ำเมื่อสองปีก่อน ดวงตาของเขามืดบอด จากวันนั้นเป็นต้นมา เขากับน้องสาวคนรองก็ถูกย้ายมายังเรือนเก่าท้ายจวน อาหารการกินทุกอย่างเรียกว่าไร้การดูแล เป็นมู่หลินเซียนที่ต้องออกจากจวนไปเสาะหาอาหารมาเพื่อประทังชีวิตของตนสองคนกับมู่ชิงชิงน้องสาวต่างแม่ของพวกเขาอีกคน ด้วยความเยาว์ของชิงชิงนั้น นางมักเล่าเรื่องที่พบเห็นให้เขาฟังอยู่เสมอ ทำให้เขาได้รู้ว่าอาหารและยาเหล่านี้ หลินเซียนต้องเจอกับอะไรมากมายกว่าจะได้มันมา
“เพราะอะไร…”
เสียงดังมาจากด้านหน้าเรือน โดยไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร คนด้านในก็รู้ว่าคือผู้ใด ทั้งจวนนั้นมีเพียงคนเดียวที่ก้าวร้าว และมิเคยอ่อนน้อมต่อผู้ใด
“หึ! เจ้ามีสิทธิ์ถามข้าด้วยหรือหลินเซียน”
“ให้ข้าเดานะ คงเพราะกลัวไม่มีบุตรชายบ้านใดมาขอเจ้า ใช่หรือไม่ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ อี้ชิ่ง หากไม่มีคนขอแต่งเจ้าเข้าจวน ก็มิใช่เพราะพี่ใหญ่หรอกนะ แต่เพราะว่า…”
มู่หลินเซียนยกยิ้มหยัน เมื่อก่อนนางยอมให้แก่น้องสาวทุกอย่าง ยอมเป็นเพียงเบี้ยล่างให้ทุกคนในจวน แต่พอเกิดเรื่องร้ายกับพี่ชายคนโต และพวกนางถูกรังแกจนเกินจะทนไหว จากเด็กน้อยว่านอนสอนง่าย นางก็กลับกลายเป็นคนที่ร้ายกาจ โดยข้ออ้างจากการเป็นคนวิปลาสนั่นเอง
‘แค่มิอ่านโคลงกลอน ดนตรีย่ำแย่ ร่ายรำไม่เป็น อ่านตำรามากก็ถูกหาว่าวิปลาส’
ทุกคำของมู่อี้ชิ่งคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ คนตรงหน้าอย่างไรเล่าที่กล่าวหานาง และทุกคนก็เชื่อเช่นนั้น ว่า นางวิปลาส ตามคำของมู่อี้ชิ่ง
“แต่อะไร…พูดมาให้หมดนะ”
“รู้อยู่แก่ใจ ยังจะให้ข้าสาธยายทำไมกัน อี้ชิ่ง ตอนนี้ เจ้ากลับไปซะเถอะ พี่ใหญ่ต้องพักผ่อน เจ้าควรรู้จักเกรงใจผู้อื่นบ้าง อี้ชิ่ง หลีก!”
มู่หลินเซียนถือตะกร้าอาหารเดินตรงไปหาพี่ชาย
เพล้ง!
เพียงแค่วางลงยังมิทันได้ยกของข้างในออกมา ทว่าตอนนี้ ทุกอย่างกลับกระจายเต็มอยู่พื้น ถ้วยใส่อาหารแตกเป็นเสี่ยง ๆ
มู่หลินเซียนกำหมัดแน่น ข้างแก้มเป็นสันนูนจากการขบกรามเล็ก ร่างบางเงยหน้าจากเศษอาหาร มองไปยังคนทำ พบเพียงแววตาเยาะเย้ยพร้อมรอยยิ้มเหยียดหยัน
หมับ!
มือหนาของเด็กหนุ่มวัยสิบแปด คว้าจับข้อมือบางของน้องสาว ถึงแม้ดวงตาจะมืดบอกในความคิดของคนอื่น แต่แท้จริงแล้ว เขามองเห็นเพียงเลือนรางอยู่บ้าง แต่มิอาจบอกผู้ใดได้ หากเขาได้รับการรักษาอย่างจริงจังก็มีโอกาสหาย แต่เพราะสาเหตุแห่งความริษยาในสกุลมู่ เขาจึงกลายเป็นเพียงคนพิการในปัจจุบันนี้
“อย่า…เซียนเอ๋อร์ ช่างมันเถอะ พี่ทนได้”
“ใช่แล้วพี่ใหญ่ ท่านควรที่จะสั่งสอนน้องสาววิปลาสผู้นี้ให้รู้จักสิ่งใดควรมิควรเสียบ้าง อย่างเจ้านะ หลินเซียน เหมาะสมกับการกินเศษอาหารมากกว่า”
มิพูดเปล่า เท้าบางของมู่อี้ชิ่งก้าวเข้าไปบดขยี้เศษอาหารบนพื้น ด้วยความสาแก่ใจ แม้จะมองไม่เห็นแต่จากการสัมผัสนั้น หลงเทียนรู้ดีว่าน้องสาวกำลังแข็งขืนที่จะให้หลุดจากมือของเขาในตอน
นี้
“พี่สาม! เร็วเข้า ท่านปู่กำลังมาแล้ว” มู่เฉินอันในวัยสิบขวบ น้องชายผู้รั้งตำแหน่งทายาทแทนที่พี่ชายอย่างมู่หลงเทียน โผล่หน้าเข้ามาบอกข่าวแก่มู่อี้ชิ่ง
เผียะ!
สิ่งที่สองพี่น้องมิทันคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมือบางของมู้อี้ชิ่งฟาดที่ใบหน้าของนางเอง พร้อมกับล้มลงยังพื้นเรือน ริมฝีปากเย้ายวนเหยียดยิ้มด้วยความพึงใจ
“ข้าอยากรู้นัก ว่าเจ้าสองคนจะทำเช่นไร”
“ข้าจะทำเช่นไรน่ะรึ! ไม่ต้องห่วง น้องสาวข้า อย่างไรเสีย วันนี้ ข้าสองพี่น้องก็มิพ้นถูกลงทัณฑ์ เช่นนั้นจะปล่อยน้องสาวให้เสียเวลาไปได้อย่างไร”
มู่หลินเซียนงัดนิ้วมือพี่ชายขึ้นอย่างแรง แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตราย ด้วยความตกใจทำให้มู่หลงเทียนปล่อยมือจากน้องสาว เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างบางพุ่งเข้าหาคนที่นั่งอยู่บนพื้น
ผลัวะ!
ไม่มีคำว่ายั้งมือ กำปั้นถูกปล่อยเข้าที่มุมปากของน้องสาวอย่างรวดเร็ว มู่อี้ชิ่งถึงกลับฟุบใบหน้าอยู่ที่พื้น แต่ยังมิทันได้ลุกขึ้นนั่ง ผมสลวยถูกกระชากขึ้นอย่างแรง ก่อนจะถูกบังคับให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่ลงมือ
“กะ…”
ยังมิทันส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างที่ตั้งใจ มือบางแต่หยาบกร้านของมู่หลินเซียนได้ปิดลงมาเสียก่อน ดวงตาคู่งามเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ เพราะพี่สาวของนางไร้วิชายุทธ์ แต่ไยกลับแข็งแรงได้ถึงเพียงนี้