บทที่ 1
ณ ตึกสูงระฟ้าใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทต่างๆ หนึ่งในนั้นคือที่ตั้งสำนักงานของสมาคมเพื่อการปกป้องสิทธิเด็กและสตรี โดยมีเพชรลดาเป็นประธานสมาคมคนปัจจุบัน และในวันนี้ก็จะมีการประชุมสำคัญที่คณะกรรมการทุกคนจะต้องมาร่วมประชุม
แต่ก่อนที่การประชุมจะเริ่มต้นขึ้นนั้น ได้มีคณะกรรมการบางส่วนประมาณสี่ห้าคนยืนจับกลุ่มคุยกัน หัวข้อที่มีการพูดคุยกันอย่างสนุกสนานนั้นก็เห็นจะหนีไม่พ้นการพูดถึงภูผา ทายาทเพียงคนเดียวของเพชรลดาซึ่งจะต้องมาเป็นประธานที่ประชุมในวันนี้ และก้องภพเจ้าของธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตหรูชื่อดัง ที่เพียงแค่ได้ยินชื่อทุกคนต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี
“นี่เธอฉันมีเรื่องเด็ดจะเล่าให้พวกเธอฟัง”
“เรื่องอะไร!”
“ก็เรื่องลูกชายของคุณดาน่ะสิ เขาลือกันให้แซดว่าลูกชายของคุณดาเป็นเกย์”
“เป็นความจริงเหรอ”
“จริง”
“แล้วเธอรู้ได้ยังไง”
“ก็มีคนเห็นกับตาว่าคุณภูชอบพาเพื่อนหนุ่มหน้าตาดี ไปเที่ยวบาร์เกย์ชื่อดังแถวสีลมออกบ่อยๆ”
“ถ้าเรื่องนี้เป็นความจริงล่ะก็น่าเสียดายมากเลยนะ เพราะคุณภูเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ฐานะก็ดีมีชาติมีตระกูล การศึกษาก็สูงจบปริญญาโททางด้านบริหารจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของอังกฤษ น่าเสียดายที่หันมาชอบไม้ป่าเดียวกันซะนี่”
“นั่นสิฉันกะว่าจะแนะนำหลานสาวให้รู้จักซะหน่อย เผื่อจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน พอได้ยินเรื่องแบบนี้เห็นทีคงจะต้องเปลี่ยนใจ”
“ว่าแต่คนที่เห็นคุณภูไปเที่ยวบาร์เกย์บ่อยๆ เป็นใครเหรอจิตรา และเธอไปรู้จักกับเขาได้อย่างไร”
จิตราเกิดอาการพูดไม่ออกก็จะให้บอกความจริงได้อย่างไรกันล่ะว่า คนที่เห็นภูผาไปเที่ยวบาร์เกย์นั้นเป็นลูกชายของเธอเอง ถ้าเผลอพูดความจริงออกไปทุกคนก็รู้กันหมดว่าแท้จริงแล้วลูกชายของเธอก็เป็นเกย์ จึงได้แต่พูดเลี่ยงไปว่าคนที่บอกเรื่องนี้เขาไม่อยากเปิดเผยตัว แต่เป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน
“พวกเธอว่าคุณดาเขาจะรู้ไหมว่าลูกชายของเขาเบี่ยงเบนทางเพศ”
“ขนาดพวกเรายังรู้แล้วมีหรือที่คุณดาเขาจะไม่รู้ อยู่ที่ว่าจะยอมรับความจริงได้หรือเปล่าเท่านั้น”
“น่าเสียดาย...ผู้ชายเพอร์เฟคอย่างคุณภูหาไม่ได้ง่ายๆ”
“นั่นสิ”
“ ใกล้จะได้เวลาประชุมแล้วพวกเราเข้าห้องประชุมกันดีกว่า”
จากนั้นทั้งหมดก็พากันเดินเข้าห้องประชุมไปโดยที่ไม่มีโอกาสรู้เลยว่า เพชรลดาได้ยินการนินทาว่าร้ายลูกชายของเธอตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ภายในจิตใจของเธอตอนนี้ร้อนรุ่มราวกับมีไฟมาสุมทรวง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพชรลดาได้ยินคำนินทาว่าร้ายในทำนองนี้เกี่ยวกับบุตรชายของตนเอง เธอได้แต่หันไปบอกเลขาด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยว่าให้เข้าห้องประชุม
การประชุมในวันนี้หัวข้อหลักก็คือการหาทุนเข้าสมาคม โดยในที่ประชุมได้มีการเสนอความคิดเห็นและถกเถียงกันถึงงานใหญ่ที่จะทำกันในครั้งนี้ แต่สุดท้ายต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าควรจะจัดงานเดินแฟชั่นโชว์ และขายบัตรให้กับผู้เข้าชมงานตามที่เพชรลดาเสนอมา เมื่อความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงพูดกันถึงรายละเอียดว่าจะจัดรูปแบบกันอย่างไร
“เราควรจ้างบริษัทออกะไนซ์มาจัดการเรื่องนี้ให้เรานะคะ” จิตราเอ่ย
“นั่นสิคะฉันเห็นด้วยกับจิตรา”
“แต่เราควรจะต้องควบคุมเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย อะไรที่ประหยัดได้เราก็ควรที่จะทำ ไม่เช่นนั้นเงินที่หามาได้พอนำมาหักค่าใช้จ่ายแล้วก็จะเหลือเข้ากองทุนเพียงไม่เท่าไร” เพชรลดาออกความคิดเห็น
“ถ้าพวกเราทำกันเองฉันว่าจะไม่ไหวนะคะ”
“จริงด้วยค่ะของแบบนี้ต้องให้มืออาชีพเขาจัดการ”
มีการถกเถียงกันไปมาสุดท้ายเพชรลดาจึงเป็นคนสรุป
“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ฉันรู้จักคนที่จะจัดการเรื่องนี้ให้พวกเราได้ ไว้ฉันจะลองไปคุยกับเขาดูถ้าเขายอมช่วยเราก็จะประหยัดไปได้มาก”
“แล้วเรื่องเสื้อผ้าที่จะมาใส่เดินแบบล่ะคะจะเอาจากไหน” หนึ่งในคณะกรรมการถาม
“เราคงจะต้องไปคุยกับเจ้าของห้องเสื้อต่างๆ เพื่อดูว่าเขาพอจะร่วมงานกับเราได้ไหม ใครที่รู้จักกับเจ้าของห้องเสื้อชื่อดังก็ลองเจรจากับเขาดูนะคะ เผื่อว่าเขาจะช่วยเหลือเราโดยการจัดเสื้อผ้ามาให้นายแบบนางแบบของเราใส่เดินแบบในวันนั้น”
“แล้วคนที่จะมาเดินแบบให้เราล่ะคะ จำเป็นจะต้องใช้มืออาชีพหรือว่าเราจะให้ลูกหลานของเรามาเดินแบบในครั้งนี้แทน”
“สำหรับเรื่องนี้เราจะมาคุยกันในคราวหน้า แต่ให้พวกคุณกลับไปคิดกันมาว่าเราควรจะให้ใครมาเดินแบบให้เราในครั้งนี้ ใครมีอะไรที่จะเสนอแนะอีกไหมคะ ถ้าไม่มีฉันก็ขอปิดการประชุมเพียงเท่านี้นะคะ ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาร่วมประชุมในวันนี้ค่ะ” เพชรลดากล่าวสรุปก่อนที่จะปิดประชุมก่อนจะแยกย้ายกันกลับ