ชำระหนี้เมียคืนเดียว บทที่2.ความซวยยังไม่หมด! 1/2
“ช่างมัน ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย”
เธอพึมพำเสียงแผ่วเอนกายลงนอน พยายามทำใจให้สงบ เพื่อหาทางออกสวยๆ หญิงสาวหลุบเปลือกตาลง น้ำตาร้อนๆ รินไหลออกมาทางหางตา เธออ้างว้าง... ต้องการที่พึ่ง แต่ไม่มีใครที่ใจดีพอจะยื่นมือเข้าช่วย อัปสรพึ่งเข้าใจ... ไม่มีสตางค์ในกระเป๋าก็ไม่มีทั้งเพื่อน...หรือว่าญาติพี่น้อง
“สักวันเถอะ! สักวันฉันจะฟื้นฟูแสนสิริด้วยตัวเอง!”
กิจการของบิดาคือบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ท่านขาดทุนเพราะมีการคอร์รัปชันในบริษัท ยังจับมือใครดมไม่ได้ว่าใครคือหนอนตัวนั้น ฟองสบู่ก็มาแตกผั๊วะเสียก่อน ท่านเลยกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ในบริษัทมีหุ้นส่วนหลายคน และที่ถือหุ้นใหญ่ๆ มีด้วยกันสามเจ้า หนึ่งคือคุณองอาจบิดาเธอ และดำรงตำแหน่งประธาน สองคือคุณอำนาจน้องชายของบิดา สามคือคุณเพ็ญจันทร์พี่สาวของบิดา อัปสรไม่เข้าใจทำไมบิดาถึงล้มคนเดียว โดยที่สองคนนั้นยังอยู่ดีมีสุข เธอไม่เข้าใจและกำลังเฟ้นหาความจริง หนึ่งในสองคนนั้น อาจจะเป็นหนอนตัวที่เธอสงสัย แต่เธอไม่รู้ว่าจะหาทางไหนเข้าไปใกล้ชิดสองคนนั้นได้ เมื่อพ่อล้ม สองท่านนั่นแทบจะไม่แลครอบครัวเธอ เธอไม่ใช้หลานของพวกเขาอีกต่อไป!
อัปสรหลับไปทั้งคราบน้ำตา เธอตะลีตะลานตื่นขึ้นมาหลังนาฬิกาปลุกแผดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
“ตายๆ แกตื่นสายอีกแล้วนะสร วันนี้ไปไม่ทัน แกถูกไล่ออกแน่ๆ” หญิงสาวก่นด่าตัวเองที่นอนขี้เซาจนตื่นเสียสายโด่ง เธอทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ ความรู้แค่หยิบมือจะไปทำมาหากินอะไรได้ นอกจากใช้แรงงานแลกเอาเงินเดือน แค่พอประทังชีวิต แต่ไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้อย่างที่หวัง แถมบรรดาสถาบันการเงินทั้งหลายทั้งแหล่ โหมทวงหนี้เธอ จนเธอปวดหัว เพราะเท่าที่เปิดดู สรุปยอดแล้วเธอเป็นหนี้เกือบครึ่งล้าน ไม่รวม... หยางไช่กรุปที่เธอกู้เงินมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยตอนที่อยู่ฮ่องกง เพราะหากรวมเจ้านั้นด้วย เธอเป็นหนี้เกินล้าน
รถเมล์เมืองไทยขับเหมือนอยู่ในสนามแข่งขัน ทั้งเร็ว และกระแทก กระทั้น นึกอยากจะตะบึงท่านก็ทำโดยไม่ถามความเห็นของผู้โดยสาร ความเร็วยิ่งเพิ่มขึ้นหากถนนว่าง และผู้โดยสารแน่นเสียจนแทบจะไม่มีอากาศหายใจ ต่างคนต่างเบียดเสียด เพื่อจะไปทำงานให้ทัน รวมทั้งตัวเธอเองด้วย
“พูว์!” หญิงสาวถอนลมหายใจ หลังสามารถแหวกวงล้อม ก้าวลงจากรถเมล์มฤตยู ลงมายืนบนทางเท้าได้หน้าอาคารสูงเสียดฟ้า สถานที่ที่เธอทำงานอยู่ที่นี่ เป็นพนักงานเสิร์ฟรับรองลูกค้าต่างชาติ เพราะเธอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่ได้เงินเดือนมากอย่างที่คิด อยากจะเปลี่ยนงาน แต่ก็ไม่มีวุฒิการศึกษาให้เขา หากย้อนเวลาได้ อัปสรสัญญาว่าจะตั้งใจเรียน แต่มันคือความฝันเมื่อทุกอย่างไม่มีทางย้อนคืน เธอต้องผจญกับมันต่อไป จนกว่าจะตายกันไปข้าง
“ไปด้วยค่ะ ขอไปด้วย” เธอวิ่งหน้าตั้ง เมื่อประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง หากเธอพลาดลิฟต์เที่ยวนี้ เธอเข้างานสายแน่ๆ
มีคนในลิฟต์ได้ยินเสียงตะโกนของเธอ อัปสรแน่ใจ! แต่กลับไม่มีใครใจดีพอที่จะหยุดลิฟต์รอเธอ ประตูลิฟต์ปิดลง และลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน ก่อนที่เธอจะไปถึงเพียงเสี้ยววินาที เธอเม้มปากแน่น น้ำตาแทบจะหยด ขอบตาแดงก่ำเพราะความกดดันในหัวใจ ใช่สิ! สภาพเธอตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับเศษขยะ เสื้อผ้ายับยู่ยี่เพราะไม่มีเวลารีด (ที่สำคัญเธอรีดผ้าไม่เป็น) ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ความยากจนเกาะ ไม่มีสง่าราศี มีแต่ความอับเฉา เธอคอตกผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น เดินไปลิฟต์อีกตัวและกระแทกนิ้วกดแรงๆ ยืนรอด้วยความหวัง หวังให้ตัวเองขึ้นไปทันเวลาเข้างาน...
แต่มันริบหรี่ และเลือนรางสิ้นดี!
เข็มนาฬิกาเหมือนจะไม่เป็นใจ เมื่อเธอกระหืดกระหอบขึ้นไปจนถึงชั้น15 มันก็เลยเวลาเข้างานไปกว่า5 นาที
ผู้จัดการขาโหด ยืนกอดอกรอเธออยู่หน้าประตู หน้าเขาแดงก่ำ และคงกำลังอารมณ์เสียถึงขีดสุด
“อัปสร! เธอมาสาย” เสียงเรียบกริบ แต่ดวงตาของเขาเหมือนจ้องจะกินเลือดกินเนื้อเธอ