ตอนที่ 5
.
..
...
....
น้ำเหนือได้แต่ยืนนิ่งเงียบทนดูพฤติกรรมแย่ ๆ ของชายผู้เป็นที่รัก พูดจาดูหมิ่นดูแคลนมารดาตนเองอย่างไม่น่าให้อภัย ใจจริงอยากจะโต้กลับ แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาเรื่องเมื่อคืนมาประจานให้อับอาย
“ถ้าแกยังไม่เลิกบ้าก็รีบไสหัวออกไปจากไร่ฉันซะ เรียนจบมาแล้วนี่ ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็คงจะรับ ดีกว่าอยู่ที่นี่ขวางหูขวางตาฉัน...ไอ้ลูกเลว” โอภาสชี้หน้าด่าลูกชายในไส้ด้วยอารมณ์เดือดดาล ตอนแรกเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนจบเจ้าตัวดีใจเป็นที่สุด หวังอยากให้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน และใช้ความรู้ความสามารถที่เรียนมาช่วยบริหารงานในไร่
“ไล่ให้ตายผมก็ไม่มีทางไปไหน ผมจะอยู่ที่นี่ คอยก่อกวนไม่ให้พ่อมีความสุข อยากรู้เหมือนกันว่าจะทนได้สักกี่น้ำ” เจ้าตัวแสยะยิ้มราวกับซาตานร้าย ที่พร้อมจะทำลายทุกชีวิตที่ขวางหน้า สายตาคมจ้องมองผ่านหลังบิดาไป ยลโฉมหนุ่มน้อยที่เขาเพิ่งจะรังแกไปเมื่อคืน แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับหลบตาทันควัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ย้ายไปอยู่ในไร่ซะ ไม่ต้องมาอยู่ขวางหูขวางตาให้เห็นในบ้านหลังนี้”
“พ่อเลี้ยงใจเย็น ๆ สิคะ”
“ลูกเลว ๆ อย่างนี้มันไม่ควรได้รับความเมตตาจากฉัน ให้มันไปทำงานใช้แรงในไร่ ดูซิว่าจะทนได้สักกี่น้ำ ถ้าแกสำนึกผิดมาขอโทษวันนั้นฉันถึงจะยอมให้อภัยแก”
ในเมื่อลูกชายไม่มีเหตุผลและไม่ยอมเชื่อฟัง เขาจึงอยากดัดนิสัยโดยการส่งไปทำงานและพักอยู่ในไร่กับคนงาน อีกอย่างเพื่อเป็นการเรียนรู้งานให้รู้แจ้งเห็นจริง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องฝากไร่แห่งนี้ให้ลูกชายบริหารต่ออยู่แล้ว
“ก็ดีเหมือนกัน ผมเองไม่อยากทนเห็นคนพวกนี้ลอยหน้าลอยตาในบ้านหรอก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่ต้องคิดว่าผมเป็นลูกชายก็ได้นะ” พูดจบภาคินก็ปิดประตูใส่หน้าทุกคนทันที
ปัง!
เมื่อประตูถูกปิดลงเจ้าตัวก็เอนหลังแนบชิดประตู ค่อย ๆ นั่งลงอย่างช้า ๆ น้ำตาลูกผู้ชายไหลลงมาเป็นทาง นอกจากจะน้อยใจบิดา ยังคิดถึงมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว หากท่านยังคงมีชีวิตอยู่เรื่องบ้า ๆ พวกนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ผมจะไม่มีทางให้ใครมาแทนที่แม่แน่นอนครับ แม่เลี้ยงของไร่นี้เป็นของแม่คนเดียวเท่านั้น” กล่าวจบชายหนุ่มก็ก้มหน้าราวกับชีวิตไร้ที่พึ่งทางใจแล้ว ปล่อยให้น้ำตาไหลหยดลงสู่พื้นอยู่อย่างนั้น
เมื่อถูกลูกชายหัวแก้วหัวแหวนปิดประตูใส่หน้าอย่างไม่ไยดี พ่อเลี้ยงโอภาสก็มานั่งหัวเสียในห้องนั่งเล่น โดยมีน้ำจันทร์คอยเป็นผู้คอยปลอบประโลมให้อารมณ์เย็นลง ส่วนน้ำเหนือก็ได้แต่นั่งมองผู้มีพระคุณทั้งสองอย่างเหนื่อยใจ กลับมาคราวนี้ภาคินเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หากจะมีอะไรที่ทำให้เขากลับมาเป็นคนเดิมได้ ก็อยากจะทำเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองได้ใช้ชีวิตคู่อย่างสบายใจ
“พ่อเลี้ยงจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอคะ คุณคินเธอเพิ่งกลับมาจากเมืองนอก ไปทำงานในไร่ดูท่าจะไม่ไหวนะคะ” เมื่อเห็นว่าสามีใจเย็นลงบ้างแล้วน้ำจันทร์จึงถามย้ำอีกครั้ง เผื่อว่าจะเปลี่ยนใจสามีได้
“ใจจริงฉันก็ไม่อยากจะทำหรอก แต่มันไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้น เข้าไปสงบสติอารมณ์ในไร่ก็ดีเหมือนกัน เผื่อว่าจะคิดอะไรได้บ้าง อีกอย่างฉันก็อยากให้มันเข้าไปเรียนรู้งานด้วย เพราะในอนาคตไร่นี้ก็ต้องตกเป็นของมันอยู่ดี”
“ฉันว่าพ่อเลี้ยงลองไปพูดคุยปรับความเข้าใจกับคุณคินอีกครั้งดีไหมคะ เผื่อว่าอารมณ์เย็นลงกันแล้วจะคุยรู้เรื่องกว่านี้”
“ฉันไม่อยากคุยกับมันอีกแล้ว อยู่ที่นั่นล่ะดีแล้วจะได้ไม่ต้องมีปากมีเสียงกัน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้คนไปทำความสะอาดเรือนไม้ท้ายไร่ ก่อนที่คุนคินจะย้ายเข้าก็แล้วกันนะคะ” เมื่อได้ฟังเหตุผลของสามีเธอก็เห็นด้วย แม้จะโดนดูถูกเหยียดหยามแต่เธอก็ไม่โกรธแม้แต่น้อย และจะพยายามทำดีต่อไป เพื่อหวังว่าในอนาคตภาคินจะยอมรับเธอได้
“ถ้างั้นก็ฝากด้วยละกันนะ ฉันต้องขอโทษแทนเจ้าคินมันด้วย ขอเวลาให้มันปรับตัวอีกไม่นานคงจะดีขึ้นกว่านี้” โอภาสกุมมือภรรยาไว้เพื่อให้กำลังใจ จ้องมองดวงหน้าสวยสมวัย ส่งยิ้มน้อย ๆ ให้อย่างอ่อนโยน
เมื่อพูดคุยกับสามีแล้วน้ำจันทร์ก็หันไปมองลูกชายสุดที่รัก เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งเหม่อลอย ราวกับมีเรื่องต้องให้คิดในใจ จึงเอ่ยเรียกเพราะมีอะไรบางอย่างให้ทำ
“เหนือ!
“...”
“เหนือ! นั่งเหม่ออะไรอยู่ลูก”
“มะ...มีอะไรครับแม่”
น้ำเหนือสะดุ้งเล็กน้อย หันขวับมองไปยังต้นเสียงทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมถึงได้ดูเหม่อลอยอย่างนั้น”
“ไม่มีอะไรครับแม่ ผมก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แม่มีอะไรให้ผมทำรึเปล่าครับ”
“แม่วานไปช่วยคุณคินเก็บของหน่อยสิ”
“ห๊ะ! แม่ว่าอะไรนะ” น้ำเหนือทวนถามอีกครั้ง เมื่อครู่มารดาก็เห็นว่าอีกฝ่ายร้ายกาจมากแค่ไหน ยังจะให้เขาไปช่วยเขาอีกงั้นเหรอ