ตอนที่ 3. แค่นอนไม่หลับเลยแวะมาหาที่นอน..
“กินเสียสิ เดี๋ยวป้าทำความสะอาดให้ เป็นผู้หญิงน่ะ เรื่องสำคัญคือความสะอาด อย่าให้คนอื่นว่าเราได้” ระหว่างที่ลงมือเก็บกวาดห้อง ลำดวนก็สอนไปด้วย กันตาน้ำตาซึม นอกจากพ่อกับแม่ ก็มีลำดวนนี่แหละที่หวังดีกับเธอ
“พ่อแม่เขาอยากมาเยี่ยม แต่ป้าปรามไว้ ช่วงนี้เราน่ะเรียนหนักแถมยังต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลอีก”
“อีกสองเดือนเองค่ะป้า” กันตาบอกเบาๆ เพราะมีข้าวอยู่เต็มปาก พอได้กินคำแรกเท่านั้นแหละ กันตาเลยเพิ่งรู้ตัว เธอหิวจนแสบท้องไปหมด
“จริงเหรอ ดีจัง เดี๋ยวป้านัดพ่อกับแม่เราอีกที เราไปเที่ยวทะเลกันดีมั้ย ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้วนะ”
“พ่อกับแม่น่าจะอยากไปนะคะป้า”
“ป้าออกสตางค์เอง ไหนๆ ก็อยากฉลองความสำเร็จให้ว่าที่คุณหมอด้วย”
“ตาพอมีเงินเก็บค่ะป้า ถึงฝึกงาน แต่ตาได้สตางค์ด้วยนะคะ และตาแทบไม่ได้ใช้เลย”
ทั้งเรียนทั้งการเป็นอินเทิร์น กันตาแทบไม่มีเวลาส่วนตัว หลังฝึกครบปี และสอบครั้งสุดท้าย จากนี้แหละที่เธอจะต้องลงมือทำงานเต็มตัว โดยไม่มีอาจารย์คอยให้คำปรึกษา มีแค่คุณหมอรุ่นพี่คอยดูแล
“ดีเลย ป้าจะได้ไม่เปลือง”
กันตาอดหัวเราะไม่ได้ จนลำดวนตวัดตามอง กันตาเลยเลิกหัวเราะ เพราะเธอมีข้าวอยู่เต็มปาก
ลำดวนช่วยลดความกังวลของเธอลงไปเกือบหมด เรื่องเลวร้ายผ่านเลยเธอไปแล้ว จากนี้ไปคงจะมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเธอ ตราบใดที่เธอยังเก็บความลับไว้ได้
วันต่อมา...
กันตาตื่นแต่เช้า หลังกินอิ่มเลยหลับเป็นตาย มาตื่นในเช้าของอีกวัน หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอหยิบขนมปังยัดปาก กับการฉวยกล่องนมที่ลำดวนขนมาใส่ไว้ในตู้เย็นหลังเล็กในช่วงที่เธอหลับ แล้วก็เดินออกไปรอรถประจำทางที่จุดจอดรถ
วันนี้เธอพยายามจะไปให้ทันเวลา ก่อนที่เพื่อนคนอื่นจะมาถึง
แต่การจราจรในเมืองใหญ่ๆ เอาแน่นอนเอานอนไม่ได้เลย หากโชคดีรถประจำทางที่เธอนั่งไม่ติดไฟแดงทุกป้ายก็น่าจะถึงตามกำหนดเวลาที่กะเกณฑ์ไว้ แต่หากโชคร้ายรถประจำทางที่เธอนั่งติดไฟแดงทุกป้าย เธอคงไปสาย และถูกดุอีกตามเคย
กันตาทอดถอนใจ ชีวิตเธอไม่ได้พิเศษอะไรหรอก วงจรชีวิตของเธอวนอยู่แค่นี้แหละ ตั้งแต่ลืมตาตื่น ไม่วิทยา’ ลัย ก็โรงพยาบาลที่ฝึกงาน เธอไม่มีเวลาส่วนตัว โชคดีที่ยังมีเพื่อนสนิทที่ติดต่อกัน แม้จะแยกไปตามทางของตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
เธอพยายามไม่เก็บความกังวลมาใส่ใจ เพราะพื้นที่ว่างในสมองของเธอต้องใช้เก็บบางอย่างที่มีประโยชน์ อาชีพของเธอขึ้นอยู่กับความเสี่ยง หากตัดสินใจผิดพลาด นั่นหมายถึงชีวิตและลมหายใจของคนไข้
กันตาเลยพยายามฝึกให้ตัวเองเป็นคนง่ายๆ และกำจัดเรื่องรกสมองให้ได้ไวที่สุด
“เห้อ ถึงซะที” รถประจำทางจอดตรงจุดจอดหน้าโรงพยาบาล มีผู้โดยสารหลายคนทยอยเดินลง รวมถึงกันตาด้วย
แต่...
เมื่อสายตาของกันตาปะทะกับใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างป้ายโฆษณาที่ป้ายรถประจำทาง ร่างกายของกันตาแข็งทื่อขึ้นมาปุบปับ เธอเม้มปากชั่งใจ ระหว่างเดินต่อและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หรือทักทายเขาก่อนด้วยสีหน้าที่ไร้พิรุธ
“เอ่อ”
“ไงกันตา เธอมาเกือบสายแล้วนะ” คีรีทักพอเป็นพิธี วันนี้เขาแค่มาแสดงตัว กันตาไม่มีทางหนีรอดหากเขาจงใจไล่ตาม
“นั่นสินะ เกือบสายแล้ว เคนท์ไม่มีอะไรใช่ไหม งั้นตาไปก่อนนะ” กันตาพูดรวดเดียวแล้วก็ทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“เย็นนี้ฉันมารับนะ มีเรื่องจะพูดด้วย” กันตากลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ เธอไม่ได้หันกลับไปมองและไม่ได้รับปาก เธอยังคงรีบจ้ำอ้าวเดินต่อ แม้จะรู้สึกละห้อยละเหี่ยเต็มกลืน
คีรีอยากคุยอะไรกับเธอ?
ความว้าวุ่นเกาะกินอยู่ในใจ วันนี้ทั้งวันกันตาเลยพลาดบ่อยจนถูกดุ เธอก้มหน้ารับฟังคำสอนของอาจารย์เกือบครึ่งชั่วโมง
“อาจารย์หมอเคยบอกแล้วใช่ไหมกันตา ทุกนาทีของเราเหมือนยืนอยู่บนเส้นด้าย จะปล่อยให้ความกังวลมากวนใจไม่ได้ ต้องวางมันทิ้งและโฟกัสแค่คนไข้!!”
“ขอโทษค่ะ”
กันตาพึมพำ เธอผิดเต็มๆ ความจริงเธอควรวางความกังวลนั่นก่อนเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เพราะคีรีมาก่อกวนแท้ๆ เธอเลยพลาดอย่างที่ไม่เคยเป็น