ตอนที่ 3
ฝ่าย นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวที่เจ๊สุดาจะไม่เข้าไปก้าวก่าย เพราะเคยมีพนักงานในร้านที่พบรักกับลูกค้า ออกไปแต่งงาน อยู่กินกันเป็นเรื่องเป็นราวก็มีให้เห็นมาแล้วหลายราย กรณีนั้นเจ๊ไม่ว่า… ขอเพียงอย่านำความเสื่อมเสียมาถึงเรือนกระดังงาเป็นพอ
“ฉันตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ… ที่รับเธอไว้ทำงาน”
เจ๊สุดารำพึงขึ้นเบาๆ กับตัวเอง ขณะกำลังนั่งประจำอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ทำหน้าที่เก็บเงินด้วยตัวเอง สายตาพึงพอใจกวาดสำรวจความเป็นไปภายในร้านอาหารแห่งนั้นด้วยสีหน้าเป็นสุข ที่เห็นลูกค้าเข้ามาใช้บริการเต็มร้าน ทำให้ในระยะหลังๆ มานี้ แทบจะไม่เหลือโต๊ะว่างเลยสักคืน
เจ๊สุดาไม่เคยคาดคิดว่าหญิงสาวที่เดินซะเงอะซะงะเข้ามาสมัครงานด้วยใบหน้าที่อ่อนล้าและอิดโรยในวันนั้น จะเป็นหญิงสาวคนเดียวกันกับที่กำลังเฉิดฉายอยู่บนเวทีในขณะนี้
คนางค์ทำให้หล่อนย้อนระลึกไปถึงเหตุการณ์ในวันก่อน ตอนที่เด็กสาวหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่ง เดินเข้ามาสมัครงาน เพราะเห็นป้ายประกาศตัวโตที่แปะติดเอาไว้หน้าร้านอาหารเรือนกระดังงาว่า ‘รับสมัครนักร้อง’
“ชื่ออะไรล่ะเรา?”
เจ๊สุดาถาม ภายหลังจากที่หญิงสาวก้าวเข้ามาในร้าน แล้วทรุดกายบอบบางลงนั่งบนเก้าอี้ภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ตกแต่งเป็นสำนักงานเล็กๆ อยู่ลึกเข้าไปถึงด้านหลังของร้าน ซึ่งขณะนั้นแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยง แต่ที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่านก็เพราะยังอยู่ในช่วงเวลาที่ร้านอาหารปิดให้บริการลูกค้า จะเริ่มเปิดบริการก็ตอนห้าโมงเย็น จากนั้นก็ลากยาวไปถึงตีสอง ตามเวลาที่กฎหมายควบคุมสถานบริการกำหนดเอาไว้
“ชื่อคนางค์ค่ะ”
หญิงสาวตอบคำถามของผู้เป็นเจ้าของร้าน พร้อมๆ กับยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลรินเป็นสายออกมาจากไรผมข้างขมับ
“หนูอายุเท่าไร?”
คำถามของเจ๊สุดาเหมือนเป็นการคัดกรองไปในตัว เพราะกฎข้อสำคัญอีกข้อของเรือนกระดังงากำหนดเอาไว้ว่า ‘อายุของพนักงานภายในร้านอาหารต้องเกินสิบแปดปี’ เจ๊สุดาไม่รับพนักงานสุ่มสี่สุ่มห้า
“ปีนี้ยี่สิบสองแล้วค่ะ”
“เรียนหนังสือมาหรือเปล่า?”
“เรียนค่ะ”
“แล้วเรียนจบชั้นไหน?”
เจ๊สุดาซักไซ้ด้วยความสงสัย เหตุที่ต้องถามถึงวุฒิการศึกษาของหญิงสาวตรงหน้า ก็เพราะเห็นว่าเธอมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณสะอ้านสะอาด ยังดูเป็นสาวแรกรุ่น ใบหน้าปราศจากไฝฝ้าราคี คำพูดคำจาก็ฟังดูเข้าที แต่น่าแปลก! เหตุใดหญิงสาวคนนี้เลือกมาสมัครเป็นนักร้อง?
“หนูเรียนจบปริญญาตรีค่ะ”
หญิงสาวตอบ
คนฟังทำหน้าฉงน ก่อนจะถามต่อ
“อุตส่าห์เรียนจบปริญญาตรี แล้วทำไมไม่ไปหางานอื่นทำ? เอ่อ ฉันหมายถึงงานที่เหมาะสมกับหนู งานที่ได้ใช้วิชาความรู้ที่หนูร่ำเรียนมา ไม่ใช่งานที่ต้องมาเต้นกินรำกิน”
คิ้วโค้งราวคันศร ชิดเข้าหากันด้วยความฉงนฉงาย
“หนูคิดว่าอาชีพนักร้องในร้านอาหารเป็นงานสุจริต แม้ใครจะมองว่าเป็นงานกลางคืน ต่ำต้อย เต้นกินรำกิน แต่หนูก็คิดว่ามันน่าภาคภูมิใจและยอมรับได้มากกว่าพวกที่ร่ำรวยขึ้นมาจากการประกอบอาชีพที่ผิดกฎหมาย คดโกงและทุจริตคอรัปชั่น”
เจ้าของร้านทำตาโตกับเสียงตอบฉะฉานของหญิงสาวที่ได้ยิน ครั้นแล้วก็ถามต่อ ด้วยคำถามที่ดูเหมือนชวนคุยมากกว่าเป็นการสัมภาษณ์ รู้สึกชอบใจในทัศนคติที่คนางค์มีต่อคนกลางคืน
“หนูเรียนจบอะไรมาล่ะ?”
“เรียนจบทางด้านนาฏศิลป์ค่ะ”
หญิงสาวตอบ เจ๊สุดาหายข้องใจในทันทีว่าเหตุใด
คนางค์จึงหางานทำได้ยาก?
“แล้วทำไมจึงอยากเป็นนักร้อง?”
“หนูชอบร้องเพลงค่ะ… หนูอยากเป็นนักร้อง หนูอยากมีชื่อเสียงเหมือนนักร้องหลายๆ คนที่หนูชื่นชอบ”
คนางค์ตอบไปตามความฝันใฝ่ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ยังเยาว์วัย ในมุมสายตาของผู้เป็นเจ้าของร้านที่กำลังมองดูหญิงสาวตรงหน้า ภาพที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเจ๊สุดาขณะนั้น… ราวกับว่าหล่อนกำลังนั่งจ้องภาพสะท้อนของตัวเองกับบานกระจกเงาตรงหน้า ครั้งหนึ่งเมื่อในอดีต เธอก็เคยมีช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความฝัน ไม่ต่างอะไรกับคนางค์ในตอนนี้ เธอไม่อายที่จะประกาศให้คนรู้ถึงความทะเยอทะยานในชีวิต ทั้งที่รู้ว่าเส้นทางสายนี้ไม่ง่าย… จะมีสักกี่คนที่โชคดีได้เป็นนักร้องสมใจ?
เคยมีหลายครั้งที่คนางค์เคยเกิดความระทดท้อ ถึงขั้นจะละทิ้งความฝันที่ดูเหมือนว่านับวันยิ่งรางเลือนและลอยไกลออกไปทุกที แต่แล้วจู่ๆ ความมุ่งมั่นก็ฉายโชนขึ้นมาอีกครั้ง ผลักดันให้เธอตัดสินใจก้าวเข้ามาสมัครเป็นนักร้องในร้านอาหารเรือนกระดังงา
แม้เรือนกระดังงาจะเป็นร้านอาหารเล็กๆ แต่การได้ขึ้นร้องเพลงบนเวทีในแต่ละคืน ก็เหมือนกับการได้เฉียดใกล้ความฝันที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่วัยเยาว์ แม้จะเริ่มจากเวทีเล็กๆ ก็ตาม แต่คนางค์ก็เชื่อมั่นเหลือเกินว่าถ้าเธอเป็น ‘เพชร’ แม้จะตกต่ำอยู่ในโคลนตมยังไง? เชื่อว่ามันจะฉายแสงเจิดจ้าขึ้นมาให้คนเห็นเข้าสักวัน
เจ๊สุดาเพ่งพินิจหญิงสาวตรงหน้าอย่างเข้าใจ เพราะว่าครั้งหนึ่งเธอก็เคยเป็นสาว เคยผ่านช่วงเวลาอันเต็มไปด้วยความฝันและความหวังมากมายในชีวิต… แม้สุดท้ายจะไขว่คว้าเอาอะไรมาไม่ได้เลยสักอย่างก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ได้สามีซึ่งเป็นเสี่ยใหญ่ใจดี แม้จะแก่กว่ากันหลายรอบอายุก็ตาม ทว่าก็ยังมีเงินพอให้เธอเอามาเป็นทุนในการก่อตั้งร้านอาหารเรือนกระดังงาแห่งนี้
แม้เจ้าของร้านไม่แน่ใจนักว่าร้านอาหารเรือนกระดังงาของเธอจะบันดาลความฝันในแบบที่คนางค์อยากจะเป็น แต่ก็นึกในใจว่า ‘ถ้าคนางค์มีความสามารถ… มีพรสวรรค์’ ความฝันก็อาจจะเป็นจริงได้ในสักวัน เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นมาแล้วเมื่อในอดีต เคยมีเพชรในตมจากร้านอาหารเรือนกระดังงาแห่งนี้ ที่ได้รับการเจียระไน ปลุกปั้นให้เป็นนักร้องจนมีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้วก็มี เมื่อครั้งหนึ่งที่เคยมีเจ้าของค่ายเพลงและนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง แวะมาที่ร้านอาหารเรือนกระดังงา แล้วสะดุดกับเสียงร้องของนักร้องคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ เมื่อเห็นว่ามีแวว ก็ชักชวนไปปลุกปั้นจนมีชื่อเสียง