ตอนที่ 1
เลยเวลาหัวค่ำมามากแล้ว ภายในร้านอาหารกึ่งคาเฟ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า ‘เรือนกระดังงา’ บนเวทีที่ยกสูงขึ้นจากพื้นราวๆ เมตรเห็นจะได้ ในสายตาที่ฉ่ำวาวไปด้วยฤทธิ์สุราของบุรุษเพศรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งซึ่งกำลังแลขึ้นไปบนเวทีตรงหน้า ปะทะเข้าอย่างจัง! กับใบหน้าสะสวย เรือนร่างสะคราญ และเสียงร้องอันแสนหวานของหญิงสาววัยกำดัด เธอมีชื่อว่า ‘คนางค์’ เป็นนักร้องดาวเด่นประจำร้านอาหารเรือนกระดังงาแห่งนี้
“ไพเราะมากๆ…”
ชายผู้นั้นเอ่ยออกมาเป็นภาษาไทย ด้วยสำเนียงไม่ชัดเจนนัก
อีกสิ่งที่ยืนยันว่าเขาต้องเป็นชาวต่างชาติอย่างแน่นอน ก็คือเค้าโครงร่างที่แลดูสูงสง่า ดวงตาสีน้ำตาล ดั้งจมูกที่โด่งเป็นสัน เส้นผมสีดอกเลา อีกทั้งผิวพรรณก็ขาวซีด แตกต่างไปจากคนเอเชียโดยทั่วไป
แม้ลักษณะโดยรวมของเขาจะแลดูว่าสูงวัยแล้วก็ตาม หากใบหน้านั้นก็ยังคงไว้ซึ่งเค้าโครงว่าครั้งหนึ่งเคยหล่อเหลา สายตาจับอยู่ที่เรือนกายอวบอัด ภายใต้เสื้อผ้ารัดรูป แนบเน้นไปตามสรีระอันรัดรึงของหญิงสาวที่ยืนเด่นอยู่บนเวที เขากำลังตื่นตะลึงกับความ ‘สาว’ และความ ‘สวย’ ของคนางค์
เขานึกเปรียบเปรยความงามของเธอกับดอกไม้งามที่เพิ่งผลิสะพรั่ง แต่น่าเสียดาย! แทนที่ดอกไม้ดอกนี้จะแย้มกลีบบอบบางออกรับแสงอรุณแรกของวัน กลับมาเบ่งบานอยู่ท่ามกลางแสงสีของราตรีกาลอันหม่นมัว อบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าเคล้าควันบุหรี่ รายล้อมไปด้วยหมู่ภมรซึ่งล้วนเป็นชายชาตรีมากหน้าหลายตา
ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ คนนี้ จะสร้างความตะลึงลานให้กับชายต่างชาติผู้นั้นเป็นอย่างมาก ทำให้เขาต้องกวาดสายตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลอบสำรวจเรือนกายที่แลดูตึงเต็มอยู่ภายใต้อาภรณ์น้อยชิ้น ขณะที่เธอกำลังโยกย้ายร่างกายช้าๆ แช่มช้อยไปกับท่วงทำนองดนตรีพลิ้วไหว ทันทีที่เยื้องกรายขึ้นไปสู่รัศมีของแสงไฟที่ฉายกราดลงมาอาบเรือนร่างเย้ายวน
“ซวยมากๆ… ผู้หญิงคนนี้”
ชายคนนั้นตั้งใจจะกล่าวชม แต่เหตุที่พูดภาษาไทยได้ไม่ชัด คำว่า ‘สวย’ จึงผิดเพี้ยนเป็น ‘ซวย’ ไปอย่างไม่ตั้งใจ ทำเอาพนักงานเสิร์ฟที่กำลังคีบน้ำแข็งใส่แก้วอยู่ใกล้ๆ กับร่างสูงใหญ่ หัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้
เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วที่แลเห็นน้ำสีอำพันเคลื่อนวนอยู่ภายใน ก่อนจะดับอารมณ์กระหายที่ก่อตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาดและรุนแรง ด้วยการยกแก้วขึ้นกระดกเอาความขมปร่าของสุราลงคอไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่สายตาวาววาม จับจ้องอยู่แต่ใบหน้างดงามของคนางค์
หล่อนทำให้เขารู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงกับภาพทรวงอกอวบอิ่ม เบียดอัดอยู่ภายในเสื้อเกาะอกคับติ้วซึ่งแทบจะโอบอุ้มปทุมถันเอาไว้ไม่หมด
ไม่เพียงชื่นชมด้วยสายตา หากยังยกโทรศัพท์มือถือขึ้นบันทึกภาพของหญิงสาวเอาไว้หลายอิริยาบถ เสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้นหลายครั้ง ตามจังหวะสายตาที่แลต่ำลงมาจากทรวงอก ไล่ลงมาถึงช่วงเอวสะโอดสะอง แลเห็นกระโปรงสั้นกิ่วที่เธอสวมใส่ ประดับเอาไปด้วยเลื่อมลายคล้ายเกล็ดปลาสีเงินวาว สะท้อนพราวกับแสงไฟระยิบระยับ ผิวเนื้อขาวเนียนน่ามอง ผุดผ่องจนน่าจับต้องไปทุกสรรพางค์
“ให้ตายเถอะโรบิ้น!… ให้ดับดิ้นเถอะโรเบิร์ต!”
ชายผู้นั้นอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงบอกความพึงพอใจ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ… จะสวยขนาดนี้
เขายังไม่หยุดบันทึกภาพเธอด้วยโทรศัพท์มือถือ ขณะหญิงสาวกำลังก้าวเข้ามาชิดขอบเวทีด้านหน้า ค่อยๆ ค้อมกายอ้อนแอ้น ยวบย่อแล้วยื่นแขนกลมกลึงออกไปรับพวงมาลัยจากบรรดาลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกอาเสี่ยเงินหนา พร้อมที่จะจ่ายไม่อั้น… กับอะไรก็ตาม เพื่อแลกกับความสุขสำราญที่จะได้รับ
“ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร?”
ชายคนนั้นเก็บงำความอยากรู้เอาไว้ไม่ไหว หันไปถามพนักงานเสิร์ฟซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน ด้วยสำเนียงภาษาไทยกระท่อนกระแท่นฟังดูไม่ชัดเจนนัก หากคนถูกถามซึ่งมีชื่อว่าป้ามะลิ ที่กำลังสาละวนอยู่กับการชงเหล้าอยู่ข้างๆ ก็พอจะจับใจความได้ไม่ยากว่าคำถามนั้น… ประสงค์สิ่งใดในตัวของหญิงสาว?
เพราะว่าป้ามะลิเคยทำงานอยู่ที่ร้านอาหารเรือนกระดังงาแห่งนี้มาก่อน จึงไม่แปลกที่หล่อนจะรู้ซึ้งถึงธรรมชาติของนักท่องราตรีเหล่านี้เป็นอย่างดี
เมื่อในอดีตที่ผ่านมา ป้ามะลิก็เคยเป็นนักร้องเช่นกัน นักเที่ยวหลายคนรู้จักป้ามะลิดี หล่อนเคยมีชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านคืนวันอัน ‘รุ่งโรจน์’ และ ‘ร่วงโรย’ มาแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ภายใต้ชายคาของร้านอาหารเรือนกระดังงาแห่งนี้
จากที่เคยโดดเด่นเป็น ‘ดาว’ ในร้านอาหาร ต่อเมื่อวันเวลาผันผ่าน ความสวยและความสาวย่อมร่วงโรยลงไปตามธรรมดาโลก ทำให้ป้ามะลิจำต้องยอมจำนนต่อความอนิจจังแห่งสังขาร เมื่อถึงเวลาที่สมควรต้องปลดระวางตัวเองจากตำแหน่ง ‘นักร้องดาวเด่น’ ที่ถูกคลื่นลูกใหม่ซึ่งสาวกว่า สวยกว่า ถาโถมเข้ามาแทนที่ ป้ามะลิจึงผันตัวมาช่วยเจ๊สุดาผู้เป็นเจ้าของร้านดูแลงานบริการในส่วนอื่นที่เหมาะสมกว่า
ดีที่ป้ามะลิเป็นคนเข้าใจชีวิตและไม่คิดมาก ด้วยความที่แกเข้าใจถึงสัจธรรมความไม่เที่ยงของชีวิต ช่วยให้แกสามารถทำใจยอมรับหน้าที่ใหม่ด้วยความเต็มใจ และตัดสินใจทำงานในร้านอาหารต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะในตำแหน่งหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟก็ตาม เพราะในทัศนคติของป้ามะลิ แกไม่เคยดูแคลนอาชีพเหล่านี้ จึงไม่รู้สึกว่างานกลางคืนนั้นต่ำต้อยแต่อย่างใด เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้ ก็ล้วนแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานสุจริตทั้งสิ้น
“อ๋อ… นักร้องบนเวทีนั่นชื่อคนางค์ค่ะ”
ป้ามะลิหันมาตอบคำถามของชายชาวต่างชาติ เมื่อเห็นว่าเขาแสดงทีท่าสนใจในตัวของคนางค์อย่างออกนอกหน้า
“คะ-นาง… เป็นชื่อที่ไพเราะมาก ผมออกเสียงถูกไหม?”
เขาถามและชื่นชมอย่างเปิดเผย พยายามเลียนเสียงของป้ามะลิ สะกดชื่อนั้นออกมาช้าๆ ซ้ำๆ อีกหลายครั้ง เหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองออกเสียงได้ถูกต้อง