เหมันต์ไม่ช่วยอะไร วันนี้จะกินอะไรดีเพคะฝ่าบาท

70.0K · จบแล้ว
จันทร์ส่องแสง
32
บท
15.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

ผู้ช่วยแม่ครัวย้อนอดีตไปอยู่ในห้องเครื่องของฮ่องเต้ที่เลือกกินที่สุดในสามโลก

นิยายจีนโบราณเกิดใหม่ในนิยายฮ่องเต้คนธรรมดาพลิกชีวิตรักแรกพบกลอุบายในวังจีนโบราณรักหวานๆ

ปฐมบท

“เรื่องมันมีอยู่ว่า ช่างเถอะ ไม่อยากจะเล่าเลยเล่าแล้วมันยาวและเจ็บปวด

เอาเป็นว่าฉันที่เคยเป็นผู้ช่วยแม่ครัวย้ำว่าผู้ช่วยแม่ครัวไม่ได้เป็นช๊งเป็นเชฟอะไรกับเขาหรอก

ก็แค่ผู้ช่วยแม่ครัวในร้านอาหารแต่ต้องทำทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ ขัดห้องน้ำ ล้างจาน และทำอาหารแทนแม่ครัว แต่เขาดันเรียกว่าเป็นคนปรุงเพราะวันไหนที่แม่หัวหน้าแม่ครัวไม่มา อี่ศรีคนนี้แหละจะต้องทำทุกงาน ตั้งแต่หั่นผักยันปรุง

“ก็คิดว่าช่วยๆ กัน”

เจ้าของร้านพูดเมื่อวันสุดท้ายของปี ที่แม่ครัวแกดันกลับบ้านที่ต่างจังหวัดไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เราจึงต้องใช้คำว่าช่วยๆ กันตั้งแต่เช้า

อีศรีไพรคนนี้ก็เลยต้องทำทุกตำแหน่งในร้าน จน..จนในที่สุดฉันก็ได้พัก ดื่มสุราในคืนข้ามปีพร้อมกับน้องๆเด็กเสิร์ฟในร้านที่แอบรินสารพัดสุราที่ลูกค้าดื่มไม่หมด มาลงขวดเก็บไว้ ผลจากสุราที่เรียกว่า หลาสยกษัตรย์ผสมกันทำเอาร่างกายที่อ่อนล้ามาทั้งวันทิ้งตัวหล่นตุ๊บในท่าตะแคงข้างลงบนพื้นกระเบื้องในท่านั่ง

โลกหมุนติ้วสีฟ้าขาวเหลือง แดง ม่วง น้ำเงิน ส้ม ชมพูแสงสว่างวาบ

แล้วมาหล่นตุ๊บอีกทีที่ไหนสักแห่ง

“$@#*+&&¢£¥%”

จูนแป็บ…เขาพูดอะไรกัน สะบัดศีรษะไปมา

“เร็วเข้า ฝ่าบาทเพิ่งจะกวาดเครื่องเสวยลงพื้นจนหมดพวกเจ้าขืนช้าเกรงว่าเอาคอไปพาดไว้ที่ลานประหาร”เสียงเข้มของใครบางคนแค่ฟังน้ำเสียงก็รุ้แล้วว่าวางอำนาจแค่ไหน

อ่อภาษาจีน ทำไมพูดภาษาจีน แล้วที่นี่ที่ไหนอย่าถามโง่ๆ ออกไปนะศรีไพร

อืมคงเป็นฝันแหละ จะต้องเป็นฝันแน่ๆ ก็ดันดื่มเสียเกือบหมดขวด ซีวาส รีกัล ผสมกับแบล็ค เรด และอื่นๆบลาๆๆหอมละมุนเหนื่อยๆ ฟาดเสียเต็มพิกัด แล้วดื่มแบบซ๊อตด้วยสิ

“คุณหนูเข่อชิง รีบลุกมาช่วยกันอย่ามัวแต่ฝันกลางวันคิดว่าตัวเป็นคุณหนูบ้านใหญ่“คุณหนู!ใครกันคือคุณหนู อย่าบอกนะว่าศรีไพรมาเป็นคุณหนูบ้านใหญ่

เสียงป้าตื้อที่พูดไม่พูดเปล่าเดินมาดึงหูศรีไพรให้ติดมือไปด้วย อ้าวนั่นประชดหรอกหรือ

”ปล่อยนะ”

ปากพูดตามองรอบๆตัว นี่มันห้องครัว แต่ทำไมใหญ่โตมโหราฬขนาดนี้ นางในห้องเครื่องที่ต่างนั่งกุมขมับเพราะกลัวจะถูกลงทัณฑ์ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ยอมเสวยอะไรเลยทุกอย่างจึงมาลงที่ห้องเครื่อง

”หือข้าล่ะเกลียดความเสแสร้งของเจ้าจริงแม่นางน้อยเข่อชิง วางท่าราวกับคุณหนูกลางวันแอบงีบ กลางคืนนอนแต่หัวค่ำ คนอื่นเขากลุ้มใจแต่เจ้ากลับหลับได้สบายๆ”

ฟาดมือลงบนแผ่นหลังเสียงดังตุ๊บตั๊บ

“ยอมแล้ว ยอมแล้ว”เจ็บจัง! ศรีไพรรีบลุกขึ้นมามนั่งตากลม

”ไปช่วยกันปรุงอาหาร หลายวันมานี้ไม่มีอาหารชนิดใดที่ฝ่าบาทยอมเสวย หัวหน้าห้องเครื่องจึงให้พวกเราลองปรุงอาหารถวาย ทุกคนในห้องเครื่องจะต้องปรุงเครื่องเสวยแล้วลองนำไปถวายฝ่าบาท วันนี้ถึงคิวเจ้าแล้วเข่อชิง“

”หา ทำอาหารอีกแล้วหรือ”เบ้ปากด้วยความเบื่อหน่าย

“เจ้าจะทำอาหารชนิดไหนเลือกเอาจะของคาวรึของหวาน หากฝ่าบาททรงยอมเสวยจึงได้ไปต่อแต่หากฝ่าบาทกวาดเครื่องเสวยของเจ้าทิ้งไปนั่นเท่ากับว่าพวกเราซวยแล้วเข่อชิงเหลือเพียงเจ้ากับ เฟยฟางสองคนเท่านั้นที่จะช่วยพวกเราไม่เช่นนั้นคงต้องหอบห่อผ้ากลับไปทำนาไร่”

“ยายแก่ แกพูดง่ายไปแล้ว หากวันนี้ฝ่าบาทยังไม่ยอมเสวยคาดว่าจะโมโหหิวจนสั่งประหารพวกเราเสียทีเดียว ในเมื่อไม่เสวยอะไรมาห้าวันแล้วนั่นเท่ากับพวกเราถึงคราวซวย”

ลุงซุนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล

โอ้โห้โอโห้ ตึงเครียดขนาดนี้เลยหรือ ความเป็นความตายนี่คนดีดี อย่างศรีไพรจะนิ่งเฉยได้อย่างไรกัน ยนานๆจะได้เป็นคนดีเสียที ปกติปแล้วช่างหัวมัน

“ได้ยินไหมเข่อชิง เจ้าเร่งลงมือเถิด”

ศรีไพรยิ้มเจื่อนๆ ดึงผ้าสีทึมมาคาดที่เอวกิ่ว ถลกแขนเสื้อขึ้น เอาวะ

เหลือบตามองวัตถุดิบในกระจาด มีสิ่งใดพอใช้ได้บ้าง

“ของดีๆ ทำถวายก็ถูกกวาดลงพื้นจนสิ้น เหลือวัตถุดิบเท่าที่เห็น”ป้าตื้ออธิบายฉอดๆ

“แล้วทำไมไม่นำมาเพิ่ม”ลุงซุนบ่น

“ตาแก่ ข้าเห็นว่านำมาเพิ่มได้ฝ่าบาทก็ไม่ยอมเสวยของดีๆ ไม่ว่าจะหมูตุ๋นหรือไก่ตุ๋นก็กวาดลงพื้นเสียสิ้น”

ศรีไพรถอนหายใจ

“ถอยไปเลยทั้งสองคน”จะให้เร่งมือแต่มาเสียงดังข้างๆ

ส่งเสียงเข้ม เหมือนทุกครั้งที่กำลังจะลงมือปรุงอะไรสักอย่างการทำอาหารสำหรับศรีไพรคือศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ใจและสมาธิ

ป้าตื้อกับลุงซุนมองตากันแล้วถอยออกไปปล่อยให้ศรีไพรง่วนกับวัตถุดิบตรงหน้า

“อะไรดี”

เหลือบไปที่กระจาดที่วางอยู่ตรงนั้น หยิบของบางอย่างขึ้นมาดูขึ้นมาดู

“นั่นเจ้าจะทำอะไรของสกปรกแบบนั้นไม่เหมาะกับเครื่องเสวยฝ่าบาทเป็นถึงโอรถสวรรค์”

ลุงซุนพูดดังๆ กลัวว่าศรีไพรจะเอาของที่ไม่เหมาะแก่ฐานะของฮ่องเต้ทำปรุงเรื่องเสวย

ศรีไพรหยิบของสิ่งนั้นมาหั่นเป็นชิ้นยาวๆ บั้งเหมือนกับบั้งหมึกสับปะรดตั้งกระทะเทน้ำมันใส่ โยนสิ่งที่หั่นบังไว้ลงไปทอดด้วยไฟแรงไม่สนใจสายตาของลุงซุน

“เจ้า เจ้าบังอาจนัก”ชี้มือสั้นระริกไปที่ศรีไพร ที่บัดนี้หลุดกเข้าไปในโลกส่วนตัวเสียแล้วไม่สนใจเสียงรอบข้าง

“ลุงเชิญออกไปรอด้านนอกเสร็จแล้วจะยกออกไปให้”

ดันหลังตาลุงซุนให้ถอยห่างเตาดึงท่อนฟืนออกเสียหนึ่งดุ้นเบาไฟใช้ไฟกลางสำหรับทอดเมื่อความร้อนจากน้ำมันเริ่มรีดเอาความชื้นจากของที่โยนลงไปจนได้ยินเสียงน้ำมันเดือด

หันกลับไป ยิ้มกับครก

อย่างน้อยก็มีวัตถุดิบสำหรับโขลกพริกแกงละว้า

หั่นข่าตระไคร้เตรียมไว้ หยิบลูกมะกรูดมาปอกเอาเปลือกสีเขียวออกบางๆหั่นฝอยเตรียมไว้

คว้าพริกกับเครื่องเทศมาโขลกเสียงโขลกพริกแกงดังลั่นวังหลวง

หันกลับไปพลิกของทอดที่กำลังสุกเหลืองด้านหนึ่งให้อีกด้านหนึ่งลงไปทอดบ้าง หั่นตะไคร้ลงไปทอดที่หลังเพราะตะไคร้จะสุกก่อนหากใส่ไปพร้อมกันจะต้องไหม้แน่ๆ

โขลกพริกแกงจนละเอียด สีแดงสดยกไม่ตีพริกขึ้นมาสูดดมกลิ่นหอม

เสร็จแล้วก็ใช้กระชอนที่สานจากไม้ไผ่ช้อนเอาของทอดสีเหลืองทองที่กรอบนอกนุ่มในพร้อมกับตะไคร้ที่เหลืองสวยเช่นกันขึ้นมาสะเด็ดน้ำมันรินน้ำมันออกจากกระทะ เหลือน้ำมันนิดหน่อย ใส่พริกแกงที่โขลกลงไปผัด เสียงซ่าาดั่งๆทำเอาอะดีนาลีนพุ่งปรี๊ด

คราวนี้เองที่ป้าตื้อมาชะโงกมองที่หน้าต่าง

“ฮัดชิ้ว หืมมม”

“เป็นอย่างไรป้าหอมไหม”ศรีไพรถามยิ้มๆ

“สิ่งนี้เรียกอะไรที่เจ้ากำลังผัดอยู่นั่น”

ป้าตื้อถามด้วยความอยากรู้

“อ่อ นี่คือพริกแกง”

“ไม่มีพิษแน่ใช่ไหมฝ่าบาท เกรงว่าจะต้องพิษจึงไม่ยอมเสวย”ศรีไพรขมวดคิ้ว

“อ้าวเหรอ นึกว่าอาหารไม่ถูกปาก”

“นั่นก็มีส่วนอย่างมากฝ่าบาทเกรงว่าจะมีคนวางยาพิษเลยยอมอด แต่รู้ไหม ว่าท่านหมอพูดว่านั้นเพราะไม่มีเครื่องเสวยที่ทำให้ฝ่าบาทอยากเสวยมากกว่า”

ป้าตื้อพูดไม่หยุด ตาก็มองสิ่งที่ศรีไพรกำลังลงมือปรุงน้ำตาลนิดเต้าเจี้ยวหน่อย ใส่เห็ดหอมหั่นลงไปจนเห็ดหอมสุกจึงนำของทอดสีเหลืองทองกับตะไคร้ทอดกรอบลงไปคลุกเคล้ายกกระทะออกจากเตา ใส่ใบกะเพราลงไปเป็นอันเสร็จพิธี หอมไปทั่วห้องเครื่อง

เหล่านางในห้องเครื่องมาชะโงกมองว่ามันคือเครื่องเสวยที่มีชื่อว่ากระไร

ศรีไรตักผัดเผ็ดใส่จานเงินหาฝามาปิดครอบไว้

ยกวางในถาด ตักข้าวสาลีที่หุงร้อนๆ ในหม้อใส่ถ้วยสองใบวางข้างผัดเผ็ดในถาด

“เสิร์ฟร้อนๆ”

“เครื่องเสวยนี้มีชื่อว่าอย่างไร”

“ผัดเผ็ด”

ป้าตื้อพยักหน้ากับนางในห้องเครื่องที่รีบยกเครื่องเสวยไปถวายฮ่องเต้

“เดี๋ยวแน่ใจหรือว่าจะถวายเครื่องเสวยชนิดนี้”

“ตาแก่ อยู่เฉยๆ เสียข้าเห็นว่าเครื่องเสวยที่นางทำกลิ่นหอมชวนให้น้ำลายสอเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที พวกเรากำลังเข้าตาจน”

ลุงซุนถอนหายใจ ศรีไพรเช็ดมือที่เพิ่งจะล้างกับผ้ากันเปื้อนที่มัดไว้ที่เอว

“ถ้ามีอะไรผิดพลาดฉันรับผิดชอบเพียงคนเดียวลุงก็บอกไปว่าฉันดื้อไม่ยอมเชื่อฟังลุง”ป้าตื้อส่ายหน้าไปมา

“เอาเหอะน่าตาแก่นางหวังดีน่า บางทีฝ่าบาทอาจเลือกเครื่องเสวยของนางก็ได้”

“แล้วเฟยฟางเล่านางปรุงเครื่องเสวยที่ชื่อว่าอะไร”

ลุงซุนเอ่ยปากถามนางในห้องเครื่องอีกคนนามว่าอี้เอ่อร์

“ป่านนี้นางยังยืนนิ่งไม่รู้ว่าจะปรุงสิ่งใดถวาย”

อี้เอ่อร์ตอบเบาๆ

นางในห้องเครื่องยกถาดผัดเผ็ดและข้าวร้อนๆ สาวเท้ายังห้องบรรทมของฮ่องเต้หรวนหนิงหลง宁龙 (หนิงหลง) = มังกรแห่งความสงบเสงี่ยม

“กลิ่นอะไร”

หรวนหนิงหลง ลุกขึ้นจากแท่นบรรทมในท่านอนหงายหยียดยาวยกมือก่ายหน้าผากหลับตานิ่งกับท้องที่เลิกร้องไปนานแล้ว

ขันทีชราเป่ยกงกงรีบประสานมือท่าทีนอบน้อม

“ฝ่าบาทนางในห้องเครื่องนำเครื่องเสวยชุดใหม่มาแล้วคาดว่าจะเป็นของสิ่งนี้ที่ส่งกลิ่นข้าน้อยเห็นว่าฝ่าบาททรงบรรทมจึงไม่ได้ปลุก”หนิงหลงถอนหายใจ

“ยกเข้ามา ทดสอบพิษ”

เป่ยกงกงโบกมือให้นางในห้องเครื่องที่ยกถาดเข้ามาวาง

แล้วเอื้อมมือเปิดฝาครอบผัดเผ็ดออกช้าๆ

กลิ่นหอมเผ็ดร้อนขจรขจายไปทั่วห้องบรรทม หนิงหลงจ้องมองสิ่งที่อยู่ในจานเงิน ไม่อาจบอกได้ว่าคือสิ่งใดกันในเมื่อถูกบั้งและทอดจนเป็นสีเหลืองทอง

เป่ยกงกงคีบเอาผัดเผ็ดเข้าปาก ดวงตากลับเบิกโพลงด้วยรสแปลกลิ้น รสสัมผัสเผ็ดร้อนทว่าลงตัวทั้งกลมกล่อมหอมหวน จนทำให้น้ำลายไหลได้เลยทีเดียว เคี้ยวช้าๆ แล้วกลืน รสดีเสียจนสึกเสียดายที่คีบชิ้นเล็กไปอยากจะลิ้มรสอีกสักคำ ความเผ็ดร้อนในปากบวกกับกลิ่นหอมของเครื่องเทศในพริกแกงกับกลิ่นฉุนของใบกะเพราช่างพอเหมาะพอเจาะส่งผลให้ความกรอบนุ่มของทอดสีเหลือง ชูรสได้ดี รสเผ็ดทำให้เจริญอาหาร แต่ไม่วายสงสัยว่าของสิ่งนี้ทำจากวัตถุดิบใดกันแน่ ถึงจะใกล้เคียงกับเนื้อหมูแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว

“ไม่มีพิษพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะเสวยเลยหรือไม่”

“เลื่อนถาดมาตรงหน้าข้า”

สูดดมกลิ่นหอมจนน้ำลายสอแต่ไม่อาจแสดงกิริยาว่าหิวจนตาลายออกมาด้วยเป้นคนที่มักจะสะกดกลั้นความรู้สึกได้ดีตามประสานักรบนั่นเอง

หนิงหลงทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ เป่ยกงกงเลื่อนถาดอาหารตรงหน้าส่งตะเกียบเงินให้อย่างนอบน้อม หนิงหลงคีบผัดเผ็ดชิ้นหนึ่งใส่ปาก

รู้สึกถึงความเผ็ดที่ปลายลิ้น พอเคี้ยวจึงสัมผัสรสกลมกล่อมความกรอบนอกนุ่มในยิ่งทำให้รสสัมผัสมีความน่าพิศวง ความเผ็ดในตอนท้ายบวกกับกลิ่นหอมแทรกซึมไปทั่วปากพริกแกงไม่ได้เผ็ดจี๊ดจ๊าดแต่ก็เผ็ด พอรู้สึกเผ็ดก็พุ้ยข้าวร้อนๆ ใส่ปากแก้เผ็ดยิ่งอร่อย จนแทบลืมเคี้ยว

เป่ยกงกงยิ้มแก้มปริ

เดินมากระซิบกระซาบกับนางในห้องเครื่อง

แล้วโบกมือให้นางกลับไป

“รสดี จริงๆ เครื่องเสวยนี่มีชื่อว่าอะไร”

หนิงหลง มองหาถ้วยข้าวอยากจะเพิ่มข้าวอีก เป่ยกงกงรู้ทันรีบยกถ้วยข้าวร้อนๆ มาวางตรงหน้า นึกชื่นชมคนจัดถาดอาหารที่เพิ่มข้าวมาราวกับจะรู้ว่ามื้อนี้ฝ่าบาทจะเสวยข้าวถึงสองถ้วย

“อ่า นางในห้องเครื่องที่ยกถาดอาหารมานางเรียกมันว่า…ผัดเผ็ด”