ตอนที่ 43 สถานการณ์เสียเปรียบ กับการถอยหนึ่งก้าว (1)
ตอนที่ 43 สถานการณ์เสียเปรียบ กับการถอยหนึ่งก้าว (1)
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา…
เสือน้อยก็มักเดินไปส่งเธอกลับบ้านเป็นประจำ ช่วงวันเวลาที่หวานชื่น…จะทำอะไรก็มักจะเต็มไปด้วยความสุขเสมอ ยามเมื่อความรักผลิบานก็มักจะเป็นเช่นนี้กันหมด
หลังจากผ่านไปได้เดือนกว่า ๆ ‘คุณอามิ่ง’ ก็ค่อย ๆ ลดการจิบน้ำมะนาวลง หลังจากที่เก๊กเสียงเข้มมาหลายสัปดาห์ มันคงเป็นความตลกขบขัน ของตำนานว่าที่พ่อตากับว่าที่ลูกเขย
คล้ายเปรียบแล้วก็เป็นดั่งแมวกับหนู หรือเปรียบให้เห็นภาพก็คงเป็นแม่ผัวกับลูกสะใภ้
ทุกอย่างที่คุณอามิ่งทำในหลายสัปดาห์นี้ก็คือตามสืบพฤติกรรมของเจ้าตัวแสบ ที่ลูกสาวสุดแสนจะน่ารักของเขา พามาให้ได้รู้จัก
และเมื่อเขาได้ฟังจากปากเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็ถือว่าพอจะใช้ได้ ทั้งขยันทำมาหากินตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะช่วยแม่ขายกับข้าว มัดถุงแกงที่เด็กหนุ่มภาคภูมิใจนำเสนอ
มองดูแล้วก็นับว่าผ่าน เรียกได้ว่าพอไปวัดไปวาได้
เมื่อเจอกันบ่อย ๆ เข้าเสือน้อยก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกับคุณอามิ่ง ซึ่งฝ่ายหลังพยายามสืบสาวความคิดความอ่าน
พ่อมิ่งพบว่าเด็กหนุ่มดูเป็นผู้ใหญ่กว่าคนในวัยเดียวกันเล็กน้อย ทว่าก็ยังอยู่ในช่วงวัยคึกคะนอง แสบซ่าถึงทรวงตามวัย
เสือน้อยอยู่ทานข้าวที่บ้านของเหมือนฝัน นับวันก็ยิ่งเริ่มสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น บางวันก็ชวนคุยกันไปคุยกันมา ก็ถึงขั้นชักชวนพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายให้มาทำความรู้จักกัน
สำหรับเสือน้อยแล้วนี่ไม่ได้เป็นปัญหาเลย เจอกันหน่อยก็ไม่เป็นไร เขาเป็นคนเปิดกว้างอยู่แล้ว เขารู้ว่าคนภายนอกมองเหยียดหยามว่า ลูกศิลปินไส้แห้งกับลูกแม่ค้าขายข้าวแกง แต่เสือน้อยก็ไม่รู้สึกอะไรกับมัน
ถึงมันจะไม่จริงก็ดีหรือจริงก็แล้วแต่ ตัวเขาภูมิใจที่พ่อแม่ทำมาหากินอย่างสุจริต
หากพูดให้กว้าง ๆ กว่านี้หน่อย นั่นก็คือตอนเด็ก ๆ ที่พ่อเล่าว่า “คนเรามักมีหน้าที่ อาชีพแตกต่างกันไปเช่น หมอมีหน้าที่ของหมอ ตำรวจมีหน้าที่ของตำรวจ วิศวกรก็มีหน้าที่ของตน ทุกอาชีพล้วนส่งเสริมเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ให้สังคมและประเทศชาติขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี…”
บางคนที่มองเหยียดหยามอาชีพคนงานก่อสร้าง ดูถูกพวกหมอนวด รังเกียจพวกคนเก็บขยะ ทว่าหากขาดคนเหล่านี้ และคนอาชีพเหล่านี้ไป ใครจะสร้างตึกสร้างบ้านให้ ใครจะมานวดคลายเส้นให้คนที่เจ็บปวดเมื่อยล้า?
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเก็บขยะ หากไม่มีคนแยกขยะ หรือไม่มีคนขับรถเก็บขยะ บ้านเมืองจะเป็นเช่นไร “ไม่เน่าตายหนูแมลงวิ่งกันเกลื่อนเมืองหรอกหรือ?
พ่อผันล้วนให้ความสำคัญกับทุกอาชีพ เวลาที่เล่าให้เสือน้อยฟัง มักจะย้ำสิ่งสำคัญนั่นก็คือมีศีลธรรมเป็นพื้นฐาน เช่น ซื่อสัตย์ต่ออาชีพของตัวเอง ตามวิสัยมนุษย์ปกติ
ซึ่งได้พูดเน้นย้ำกับเขาอยู่เป็นประจำ
เสือน้อยจึงไม่อายใครเลย สำหรับคนที่มาล้อมาแซวเขา อย่างมากก็รำคาญหูหน่อย ถ้าทนไม่ไหวก็มีลงไม้ลงมือบ้างเล็กน้อย “ไม่ใช่เพราะความโกรธที่ล้อเลียนพ่อแม่ทำอาชีพเหล่านี้” หากแต่รำคาญเสียมากกว่า
…
วันหนึ่งในขณะที่เสือน้อยกำลังยืนขายหมูปิ้งอยู่หน้าโรงเรียนตามปกติ…
ไม่รู้ว่าพีไปอารมณ์เสียมาจากไหน เขาเดินผ่านมาหน้าโรงเรียน เห็นหน้าเสือน้อยแล้วไม่สบอารมณ์ เพราะดูจากสีหน้าค่าตาก็บอกบุญไม่รับ โดยปกติทั้งคู่ก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว เสมือนน้ำกับไฟ
อย่างมากเจอกันก็ปล่อยผ่าน ต่างคนต่างเดิน “ทว่าวันนี้พีกลับเดินเข้ามาหาเสือน้อย พร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แฝงอยู่ที่มุมปาก”
“ขายอย่างไง?” พีถามด้วยน้ำเสียงยียวน เขาเห็นป้ายราคาที่ติดไว้อยู่ ตัวใหญ่เท่าหม้อแกง…แต่แล้วทำไมจะถามก็แค่นั้นเอง?
เสือน้อยที่มองเห็นพีเดินเข้ามาถามแบบนี้ ก็รู้สึกโดยสัญชาตญาณนักล่า ว่าคงจะมีเรื่องเป็นแน่แล้ว! แต่ก็ยังรวบรวมรอยยิ้ม ตอบด้วยน้ำเสียงปกติที่พูดกับลูกค้าคนอื่น ๆ
“ชุดละยี่สิบห้าบาทครับ หมูสองข้าวเหนียวหนึ่งห่อครับ”
“ซื้อแยกไม่ได้เหรอ?”
“ซื้อแยกได้ครับ…คุณลูกค้าจะซื้ออะไรดีหรือครับ!” เสือน้อยก็ยิ้มตอบ
พีเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ก่อนที่จะถามว่า “เอาข้าวเหนียวอย่างเดียว ห้าร้อยบาทมีมั้ย?”
“มีสิครับ แต่ขอรับเงินก่อนนะครับ!” เสือน้อยยื่นมือมาทำท่าจะขอเก็บเงินก่อน ซึ่งถ้าเขาไม่ทำแบบนี้พอไปเอาข้าวเหนียวมา และมาบอกเลิกกันการคันเขาไม่เสียเวลาแย่หรอกหรือ?
พีเห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนใจทันที “เฮ้ย! เปลี่ยนใจแล้วว่ะ อยากได้หมูปิ้งห้าร้อยบาท!”
เสือน้อยก็ตอบเสียงเรียบ “ไปคิดมาให้ดีก่อน ค่อยกลับมาสั่งก็ได้ครับ…คุณลูกค้า!”
จากนั้นพีก็โวยวายเสียงดัง “เฮ้ย! มึงเป็นพ่อค้าประสาอะไรวะ พูดจาแบบนี้กับลูกค้า!” คนรอบข้างก็หันมามอง ทั้งนักเรียนและผู้คนที่กำลังรอรถเมล์อยู่
“สรุปแล้ว คุณลูกค้าจะซื้ออะไรดีครับ!?” เสือน้อยนิ่งสงบสยบทุกการเคลื่อนไหว เขายิ้มหรี่ตามองนายพี
“งั้นเอามาชิมสักชุด!” ก่อนยื่นเงินให้ตามจำนวน พอได้หมูปิ้งมา เขาก็ยังไม่ไปไหนยืนอยู่ด้านหน้าของเสือน้อย กินกันสด ๆ ให้เสือน้อยเห็นไปเลย!
เขาหยิบหมูปิ้งมาหนึ่งไม้ ก่อนจะกัดเข้าไปคำหนึ่ง และร้องตะโกนออกมาว่า “เฮ้ย! อะไรวะ รสชาติหมาไม่แดก นี่มึงใช้หมูเน่า หมูเขียวมาทำอาหารหรือเปล่าเนี่ย!?”
ก่อนที่จะลองกัดอีกคำ “ชัดเลยหมูเน่า! มีกลิ่นตุ ๆ ด้วย อื้อฮือ ไอ้เลวมึงกล้าเอาของเสียมาทำให้ลูกค้ากินเหรอวะ!” เขาเอาไม้หมูปิ้งชี้ไปทางเสือน้อย ด่าสาดเสียเทเสีย
แต่ทว่าเสือน้อยก็ยิ้มแห้ง โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่จริง เสือน้อยก็ยืนดูรอการแสดงของอีกฝ่าย
พีก็ได้ใจพอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล้าแก้ตัว ดังนั้นเขาจึงหยิบข้าวเหนียวขึ้นมาดม “ทำจมูกฟุดฟิด เหมือนหมากำลังพิสูจน์กลิ่น” ก่อนที่จะเงยหน้าสบตากับเสือน้อย พร้อมกับยกยิ้มที่มุมปากโดยไม่มีใครเห็น
เขากัดข้าวเหนียวเข้าไปคำหนึ่ง “เฮ้ย! ข้าวเหนียวบูด ไอ้เลว! ไอ้ชั่ว! มึงกล้าเอาของแบบนี้มาขายได้ไงวะ” ก่อนที่เขาจะคายเศษอาหารที่เคี้ยวลงบนพื้น ไปบริเวณด้านข้างที่เสือน้อยยืนอยู่ พร้อมทั้งโยนหมูทั้งถุงใส่รองเท้าพ่อค้าหมู่ปิ้งรายนี้ เป็นเชิงว่าไม่พอใจในรสชาติเป็นอย่างยิ่ง
พีตะโกนขึ้น “ทุกคนครับอย่าไปซื้อของมันกิน! ของบูดของเสียทั้งนั้น ถึงว่ามึงมาขายทุกวันเลย นี่มึงลดต้นทุนแบบนี้นี่เอง หน็อยแน่…ไอ้พ่อค้าชั่ว!” จากนั้นสารพัดคำด่าก็ถาโถมมา พีอยากชวนให้เสือน้อยลงมือใจจะขาด
เพราะถ้าเสือน้อยลงมือเท่ากับว่ายอมรับกลาย ๆ ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นความจริง
“และเมื่อได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ อีกทั้งเสียเปรียบเช่นนี้ เขาจึงต้องหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า!”
เสือน้อยตะโกนเสียงดังลั่น “ใจเย็น ๆ ครับคุณลูกค้า! ถ้าเช่นนั้นผมคืนเงินให้คุณลูกค้าดีมั้ยครับ หากคุณลูกค้าคิดว่าของผมมันไม่ดี!?”
ไม่รอคำตอบ…เสือน้อยก็ยื่นเงินออกไปหนึ่งร้อยบาท “นี่รวมเป็นค่าชดเชยให้ด้วยครับ ส่วนลูกค้าท่านไหนกินแล้ว รู้สึกว่ากลิ่นไม่ดีไม่ปกติ ข้าวเหนียวบูดเหมือนลูกค้าท่านนี้ ผมยินดีคืนเงินให้ครับ” เสือน้อยยิ้มพร้อมผงกศีรษะเชิงขอโทษไปรอบ ๆ ด้าน
“แค่นี้มันไม่พอหรอกร้อยบาท มึงเล่นเอาหมูเสียข้าวเหนียวบูดมาให้กูกิน คนกินเขาเสียความรู้สึกไปแล้วโว้ย! แล้วถ้าเกิดกูท้องเสียขึ้นมามึงจะทำยังไงฮะ จะรับผิดชอบไหวไหม?” พีชี้หน้าประณาม
เสือน้อยก้มหัวให้เชิงขอโทษ เขาถามขึ้นอย่างฉับพลันดูแสร้งทำท่าลุกลี้ลุกลน “แล้วคุณลูกค้าอยากได้เท่าไหร่…เป็นค่าชดเชยดีครับ?”
“มึงนี่นอกจากจะขายของมือสอง ยังขายอาหารมือสองด้วยเหรอ ไอ้บ้าเอ๊ย! ...ถ้ามึงจริงใจ อย่างน้อยก็สักสี่พันถึงจะพอชดเชยได้!” พียิ้มสบตาตอบ
ส่วนที่ด่าว่าเรื่องของมือสอง พีหมายถึงกระเป๋านักเรียน เขาย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของเสือน้อยที่อยู่เบื้องหลัง เพราะเห็นมันไปยืนขายอยู่…จึงได้เอาเรื่องนี้มาพูดกระแนะกระแหน
ทว่าภายในใจของเสือน้อยแสยะยิ้มชั่วร้าย “เสร็จกู!”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าสลด มองดูเศร้าเสียใจอย่างมาก ดูท่าแล้วน้ำตาคลออยู่หน่อย ๆ “เอ่อ…ก็ได้ครับสี่พันบาท อย่างไงคุณลูกค้าช่วยรอสักครู่นะครับ” เขาก็ค่อย ๆ ล้วงเงินในกระเป๋า หยิบเอาแบงก์ห้าร้อยออกมาแปดใบ
“เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้เท่ากับว่ามันเป็นแก๊งรีดไถ คนแถวนั้นย่อมเข้าใจได้โดยปริยาย!”
พีพูดเหน็บแนมขึ้นว่า “กูเคยเห็นแต่เสื้อมือสอง ไม่นึกว่าจะได้เห็นเสือมือสอง มึงขายอาหารคุณภาพต่ำ วันหลังมึงอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกนะ” ก่อนจะเอาเงินสะบัด ๆ โบกไปมาสองสามที
พอได้เงินเสร็จพีก็ยิ้มกว้างเดินออกไป ตอนนี้เขาได้วิธีการไถเงินใหม่แล้ว ย่อมสะใจเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไอ้เสือมือสอง
พอนายพีเดินเข้าโรงเรียนไปฝูงชนที่มุงดูอยู่ก็ทำหน้าสงสารเสือน้อย ผิดถูก ชั่วดี “คนไม่ใช่ควาย” ที่จะมองดูไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว
-------------------
การยอมถอย ไม่ได้แปลว่า “ยอมแพ้นะ”