ตอนที่ 39 พ่อค้าของสุ่ม กับธุรกิจร้านของชำ (2)
ตอนที่ 39 พ่อค้าของสุ่ม กับธุรกิจร้านของชำ (2)
เขาเองก็ยังฝันว่าถ้าสักวันหนึ่งมีสินค้าก็จะเอาไปลงร้านสะดวกซื้อชื่อดัง เช่น “เซเว่น โลตัส 108shop” พอมีเงินเขาก็อยากขยายการลงทุน แต่ว่าผลิตของมา มันก็ต้องขายได้ด้วย หากผลิตมา ‘ไม่มีที่ขาย’ หรือว่าขายไม่ได้มันก็เท่านั้น!
พวกลูกชิ้นอยู่ในหมวดหมู่ที่ง่ายต่อการผลิต ส่วนโรงงานที่จะเปิดใหม่ก็มีขนาดใหญ่เสียปานนั้น พ่อบอกว่าเผื่อเอาไว้ทำธุรกิจอื่น ๆ ได้
และเมื่อเสือน้อยได้เห็นเครื่องจักรใหม่ ๆ ตัวเขาก็ตาลุกวาวเหมือนเปิดโลกทัศน์ คล้ายกบในกะลาที่ลืมตาออกมามองโลกกว้าง…
พอกลับถึงบ้านเขาก็นั่งเล่นเกมไปพลางครุ่นคิดอะไรไปเรื่อย เสือน้อยก็คิดแผลง ๆ “ถ้าเราเปิดร้านขายของขึ้นมาด้วยตัวเองล่ะ?”
โดยเริ่มจากละแวกบ้านก่อนเลย ซึ่งตอนนี้ไม่มีคู่แข่งเจ้าไหนมาเปิดสู้ “ยกเว้นก็แต่ร้านของแม่ค้าปากปลาร้า”
ด้วยเป็นคนคิดเร็วทำเร็วจึงวิ่งปรู๊ดไปเคาะห้องพ่อกับแม่ “ซึ่งตอนนี้ทั้งคู่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่ พอเขาได้ยินเสียงกระเส่าของแม่ชบา” เสือน้อยก็หยุดเคาะประตูอย่างรู้หน้าที่ ลูกที่ดีต้องมีเวลาให้พ่อแม่ได้พักผ่อน
เขาจึงวิ่งไปในห้องร่างแบบบนกระดาษ “เขาลอกแบบร้านสะดวกซื้อรายใหญ่มาทั้งดุ้น แต่แค่มาออกแบบให้มันเป็นสัญลักษณ์ของตัวเองทั้งโทนสี ที่ต้องแตกต่าง” ...คิดไปคิดมาร้านกาแฟก็เกิดขึ้นตามมา…ทว่ากลับก่อนจะหยุดความคิดไว้ทัน “เอาไว้มีเงินก่อนดีกว่า พอมีเงินคิดอะไรก็จะได้ดั่งใจหวัง แต่จะประสบความสำเร็จหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง!”
“ร้านขายของชำ” เสือน้อยอาศัยประสบการณ์…ที่พ่อสอนวาดรูป มาใช้ร่างแบบมาได้หลากหลาย โดยคิดว่าสาขาแรกก็จะเปิดแถว ๆ บ้านนี่แหละเยื้อง ๆ ออกไปมีทำเลที่พอใช้ได้อยู่เป็นตึกเก่าสามชั้น อยู่ฝั่งตรงข้ามกับชุมชนแออัดและบ้านของเขา
“ส่วนร้านแม่ค้าปากปลาร้า” ที่เข้าไปกี่ทีก็ฟังไม่ถูกหูเสียเลย ซึ่งเป็นอย่างนี่มาตั้งแต่เด็กก็คงถึงคราวที่จะต้องปรับตัว ด้วยคิดว่าตัวเองเป็นร้านเดียวในละแวกนี้จึงสำคัญตัวเอง และทุกวันนี้เสือน้อยก็ยังเจออยู่เลย ป้าปากปลาร้าชอบพูดจาไม่ดีใส่เขา
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ย่องไปหน้าห้องพ่อแม่ ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร จึงเริ่มเคาะประตูเรียกสักเล็กน้อย ก่อนพูดขึ้นว่า “พ่อจ๋าแม่จ๋า มีเรื่องปรึกษาเดี๋ยวไปรอที่ศาลาริมน้ำนะ”
พ่อแม่ที่กำลังใส่ชุดวันเกิดกันอยู่ก็ทยอยใส่เสื้อผ้าอย่างไม่เร่งรีบ
เพราะเจ้าเสือน้อยมันรู้งานอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงมายืนกดดันอยู่หน้าประตู ส่วนเธอกับสามีก็ไม่ได้ทำอะไรน่าอายเสียหน่อย จึงไม่จำเป็นต้องเขินอะไร…
…
พ่อแม่เดินมาเห็นเสือน้อยกำลังวาดอะไรอยู่บนโต๊ะ หลอดไฟก็เปิดสว่างจ้า ทั้งคู่ก็มานั่งข้าง ๆ ลูกชายตัวดี เสือเห็นดังนั้นจึงเล่าให้พ่อแม่ฟัง “อยากเปิดร้านสะดวกซื้อ” เปลี่ยนคำก็ดูดีเสียอย่างงั้น “จากร้านขายของชำ…เป็นร้านสะดวกซื้อ”
เสือน้อยเล่าแรงบันดาลใจบอกว่าพบอะไรมาเห็นอะไรมา ส่วนสำคัญก็คือเปิดไว้หาซื้อของกินเองจะได้ไม่ต้องเดินไปหาไกล ๆ จึงอยากเปิดเป็นทางเลือกให้คนแถวนี้
และก็สำหรับตัวเขาเองด้วย เพราะหิวเมื่อไหร่ก็ออกไปหยิบอะไรกินเสียหน่อย…
จากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ ทั้งสองปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง เสือน้อยที่เดินไปเดินมา “…จนนกแก้วตื่นขึ้นมา เธอเดินออกมาพร้อมตุ๊กตาตัวโปรด มานั่งงัวเงียฟังพี่ชายพูดเพ้อเจ้ออะไรสักอย่างเธอจำได้ราง ๆ”
จากนั้นก็วานให้พ่อกับแม่ช่วย หาเช่าหรือซื้อตึกด้านหน้าชุมชนให้หน่อย และช่วยหาคนที่เชี่ยวชาญพวกร้านสะดวกซื้อด้วย “ท่าจะให้ดีพวกร้านขายของชำเป็นอย่างไงก็สืบมาให้หน่อย ประเดี๋ยวเสือน้อยจะออกเงินเอง”
นกแก้วพ่นเสียงผ่านโพรงจมูก “พี่เสือเนี่ยนะจะออกเอง ขอเงินลุงกับป้าเสียมากกว่ามั้ง” เธอยังไม่อดบ่นพี่ชายจอมก่อเรื่อง ร้านหมูปิ้งก็ไม่ไปช่วยดู…ร้านกับข้าวก็ด้วย เอาแต่หมูไปขายหน้าโรงเรียนอย่างเดียว จะเอาเงินที่ไหนมาออก?
ซึ่งความจริงแล้วทั้งเสือน้อยและก็พ่อแม่ ไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้นกแก้วฟัง เพราะว่าเจ้าหล่อนพึ่งจิตตกกับเรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอแยกกันไปอยู่หยก
ส่วนนิสัยของเสือน้อยก็ยิ่งไม่ใช่พวกขี้คุย เป็นพวก “เสือซุ่ม” เหมือนที่เพื่อน ๆ เรียกเสียมากกว่า
ถ้าจะทำใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แบบนี้คงต้องจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน หรือไม่ก็บริษัทแล้วแหละมั้งแม่พูดเปรย ๆ
...…
วันรุ่งขึ้นแม่ชบาก็พานกแก้วเดินดูตามที่ต่าง ๆ
ส่วนตัวเธอที่เป็นคนมีเส้นสายอยู่มากมายแม่ค้าร้านขายของชำใช่ว่าจะไม่รู้จักเลย กลับรู้จักมากมายแต่คราวนี้…เสือน้อยมันต้องการรายละเอียดยิบ จึงพากันไปปรึกษาเพื่อนแม่ค้าที่รู้จักกันมานาน “สอบถามไปสอบถามมาก็ได้วิธีหาของและการตั้งราคา”
“คิดยังไงล่ะแม่ชบา ถึงจะเปิดร้านสะดวกซื้อเนี่ย?” ผิงแม่ค้าร้านขายของชำ ที่รู้จักกันมานมนานก็เปิดปากถาม
“ลูกชายมันอยากทำธุรกิจน่ะพี่อีกอย่างปากแม่ค้าร้านขายของชำแถวบ้าน แม่แต่ตัวของฉันเองก็ยังทนฟังไม่ได้เลย...จึงมารบกวนพี่นี่แหละ” ชบาพูดเสียงหวาน
“เอาเถิด มีอะไรก็มาถามฉันได้วงการนี้อยู่มานานรู้จักหมดแหละที่ซื้อที่ขาย ลู่ทางทำมาหากินคนกันเองไม่มีปัญหาอะไร” พี่ผิงที่เคารพรักของเธอ รู้จักกันมาสิบกว่าปีแล้วสนิทกันเพราะพี่ผิงไปฝากท้องร้านเธอบ่อย ๆ
จากนั้นแม่กับพ่อ ก็แยกกันไปตามหาคนให้ลูกชาย พวกผู้จัดการที่ตกงานหรือย้ายกลับบ้านก็ใช่ว่าจะไม่มี
…
“ป้าจ๋า! ทำไมต้องไปตามใจพี่เสือด้วยล่ะ? ถ้าเกิดเปิดแล้วขาดทุนขึ้นมาป้าก็เสียตังค์ไปเปล่า ๆ นะ” นกแก้วพูดเสียงอ่อนด้วยความเป็นห่วงป้าของเธอ
“แล้วใครบอกล่ะว่าเป็นเงินป้า? ก็พี่เสือเขาก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่าจะใช้เงินของเขาเอง และที่ป้ามาหาข้อมูลให้เนี่ยป้า…ก็คิดเงินนะรู้มั้ย?”
“พี่เสือเนี่ยนะออกเงิน หักจากเงินเก็บที่ป้าให้ไว้เหรอ? แบบนั้นมันก็เท่ากับเงินป้าน่ะสิ!” เธอย่นจมูกพูดด้วยน้ำเสียงไม่เห็นด้วย
ทว่าชบากลับลูบหัวเธอพร้อมพูดว่า “เงินพี่เสือเขาจริง ๆ หนูเห็นแบบนั้นนะพี่เสือเขามีเงินเยอะกว่าป้าอีกนะจะบอกให้?”
นกแก้วส่ายหน้า “หนูไม่เชื่อหรอก หนูเห็นแต่พี่เสือถ้าไม่อยู่ค่ายมวย พี่เสือก็นอนเลี้ยงควาย ป้าเองก็ชอบด่าพี่เสือไม่ใช่เหรอว่า…ไอ้เสือโง่!”
แม่ชบายิ้มเจื่อนโดนหลานย้อนถาม พอเห็นพฤติกรรมของลูกชายตัวดีก็พอจะเข้าใจนกแก้วที่พึ่งมาอยู่ใหม่ จึงได้เริ่มอธิบายเหตุการณ์เป็นลำดับ ๆ ให้เธอฟังไป
“นี่ไอ้พวกธุรกิจที่หนูเห็นว่ามีคนถีบจักรยานส่งอาหารตามห้างร้านต่าง ๆ พี่เสือเขาก็เป็นคนคิดนะ ธุรกิจร้านเกม…ร้านถ่ายเอกสารพี่เสือเขาก็เป็นคนคิด แถมออกเงินเองด้วย หนูเห็นที่ดินที่กำลังก่อสร้างนั่นมั้ย? นั่นพี่เสือของหนูก็จ่ายตังค์เองนะ...”
นกแก้วอ้าปากกว้างทำท่าไม่เชื่อที่ป้าชบาเล่าให้ฟัง…
“เอาน่ะอยู่ ๆ ไปเดี๋ยวก็รู้เอง หนูก็ไปอ้อนพี่ขอความรู้พี่เขาหน่อยสิ! เชื่อป้านะลูก” แม่ชบาหยิกแก้มเธอยู่ยี่ไปมา สำหรับเธอแล้วนกแก้วก็เป็นเหมือนลูกคนหนึ่ง “สายเลือดเดียวกัน”
ซึ่งชื่อนกแก้วก็เป็นเธอเองที่เป็นคนตั้งให้ จึงรู้สึกผูกพันมากเป็นพิเศษ เพราะปวดสมองเถียงชื่อลูกชายของเธอกับสามีในโรงพยาบาลตอนคลอด ดังนั้นพอมีโอกาสแก้ตัวกับน้องสาว “เธอจึงไม่พลาดโอกาสอันดีงาม…”
-------------------
หากท่านแล้ว ชอบใจ๊ชอบใจ อย่าลืมส่งขนมนมเนยมาเป็น "ของขวัญ" ให้ผู้เขียนด้วยนะครับ : )