ตอนที่ 17 ไอ้คิ้วหนามาหาเรื่อง!
ตอนที่ 17 ไอ้คิ้วหนามาหาเรื่อง!
ส่วนพ่อผันของเขาก็ตามสไตล์ศิลปิน ถ้าไม่สอนวาดภาพก็สอนเล่นดนตรี ตามแต่เขาอยากจะเรียนหรือไม่เรียน และโดยมากมักเป็นกีตาร์โปร่ง หรือไม่ก็เปียโน คีย์บอร์ด ตามที่เสือน้อยชอบ
ในส่วนวาดภาพนั้นก็ทำได้นิดหน่อย ผสมสีก็ทำเป็นบ้างเล็กน้อย...
ส่วนตัวแล้วเสือน้อยชอบเปียโนมากกว่า เล่นแล้วไม่เจ็บนิ้ว อารมณ์ศิลปินพรั่งพรูอยู่ในสายเลือดของเขา ที่ซึมซับจากพ่อมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขามีความสามารถด้านนี้ไม่น้อย เพียงแต่ไม่ถึงกับดีเลิศ แค่เข้าขั้นเล่นเก่งเท่านั้น...
คนเรานั้นมีความชอบไม่เหมือนกัน พ่อไม่อาจยัดเยียดสิ่งที่ตนชอบทั้งหมดให้ลูกชายได้ เพียงแค่นำเสนอและท้ายที่สุด ลูกของเขาก็เลือกสิ่งที่ตนเองชอบมา ดั่งเช่นเรื่องดนตรี หรือ ชกมวยก็เช่นกัน คนเรามีความชื่นชอบไม่เหมือนกัน...
....
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน หน้าโรงอาหาร
เสือน้อยที่เหม่อลอย หวนนึกถึงอดีตตอนประถม ที่พึ่งผ่านไปหมาด ๆ กางเกงก็เปลี่ยนสีแล้ว โตขึ้นอีกปีแล้ว...
เสือน้อยบอกเพื่อน ๆ “ขอตัวไปซื้อข้าวกินก่อน”
เด็กหนุ่มหันไปมองร้านข้าวที่เปิดอยู่ไม่กี่ร้าน พึ่งจะสิ้นเสียงเสือน้อยพูดจบไม่นาน เพื่อนร่วมห้องคนสนิทครั้น ตอนอยู่ประถม อย่างไอ้เข้มก็ได้ตะโกนไล่ตามหลังมา
เมื่อกวาดสายตาไปมองกลุ่มเพื่อนใหม่ของเสือน้อย เขาผงกศีรษะเป็นการทักทาย และก็เตรียมที่จะเดินเข้าไปคุยกับเพื่อนซี้
เสียงสมชายดังขึ้นมาจากในกลุ่ม “ไอ้เข้ม มึงมาสายนะเนี่ยกูรอตั้งนาน…”
เสือน้อยเหลือบไปมองเห็น แต่ก็เข้าใจได้ทันที ปกติแล้วโรงเรียนแห่งนี้คนเข้ามาเยอะทั้งเพื่อนใหม่ เพื่อนเก่า เพื่อนข้างบ้าน ญาติพ่อ หลานปู่ ฯลฯ
“กูหิวข้าว เดี๋ยวไปหาอะไรกินก่อน ถ้าใครหิวก็ไปนั่งด้วยกัน” เสือน้อยมุ่งหน้าไปที่โต๊ะว่าง ๆ ก่อนวางกระเป๋าจองที่เลือกสรรหาอาหารกิน แข่งกับเวลาก่อนเข้าแถว
สมชายถามขึ้นว่า “มึงรู้จักไอ้หมอนี่ด้วยเหรอวะ ไอ้เข้ม!?”
เข้มตอบชัด “รู้จักสิวะ เพื่อนสนิทกันเลย เรียนห้องเดียวกันตอนประถม…”
สมชายพูดต่อ “นี่มึงรู้มั้ย เพื่อนมึงไปจีบดอกฟ้าเข้าเสียแล้ว เป็นสาวสวยห้องสอง ที่ไอ้คนชื่อพี…ที่มันพึ่งไปมีเรื่องชกต่อยเมื่อวาน ดันไปชอบด้วยแน่ะ มึงเองก็เตือน ๆ เพื่อนเก่ามึงหน่อยสิ ได้ข่าวว่าไอ้พีเนี่ย มันเอาเรื่องไม่ใช่ย่อยเลยนะ”
เข้มกะพริบตาใสสองสามที ก่อนหัวเราะร่า ความคิดในสมองพลันผุดคำพูดหนึ่งขึ้นมา จนพูดขึ้นว่า “นี่มึงรู้มั้ย ที่โรงเรียนเก่ากู ทั้งครู รวมไปถึงพระครู และเพื่อนร่วมโรงเรียนรู้จักไอ้เสือแม่งแทบทุกคน พระครูที่โรงเรียนบอก ประโยคหนึ่งที่จำขึ้นใจกูได้เลย…แค่มันไม่ไปหาเรื่องใครก็บุญหัวแค่ไหนแล้ว!”
กลุ่มเพื่อน ๆ ร่วมห้องกับสมชาย ทำทีงุนงง ก่อนจะเปิดปากถามว่า “ขนาดนั้นเลยเหรอวะ?”
เข้มยืนตอบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ก่อนพูดว่า “อยู่ ๆ กันไปเดี๋ยวก็รู้เองแหละ เออแต่เตือนพวกเอ็งก่อนนะ อย่าไปหาเรื่องมันจะดีที่สุด” พูดเสร็จก็วิ่งตามเสือน้อยไปซื้อข้าวกิน
ทั้งสองนั่งคุยกันสัพเพเหระ เข้มก็แซวว่าได้ข่าวไปจีบสาว ส่วนเสือน้อยก็บรรยายอย่างออกรสออกชาติ เสือน้อยก็ถามว่า “เพื่อน ๆ โรงเรียนเก่าเราคนไหนอยู่ห้องสองบ้างวะ?”
เข้มคิดได้ทันที “น่าจะมีนะ เอ่อ...มะปรางไง!”
เสือน้อยดวงตาเป็นประกาย “งั้นง่ายเลยเดี๋ยวกินเสร็จมึงกับกูไปหามะปรางกัน!”
ทั้งสองรีบกินข้าวทันที ก่อนเสือน้อยจะหยิบโทรศัพท์ค้นหาเบอร์ของมะปราง จากนั้นก็ไม่รีรอ… โทรไปหาเธอเดี๋ยวนั้นเลย
มะปราง : ว่าไง.... คิดยังไงถึงโทรมาหาได้ล่ะ?
เสือน้อย : ก็...มีเรื่องให้ช่วยหน่อย ตอนนี้อยู่แถวไหนเดี๋ยวเรากับไอ้เข้มไปหา...
ครู่ต่อมาเสือน้อยกับเข้มก็วิ่งปรูดมาหา เสือน้อยยิ้มแห้ง ๆ ก่อนเดินไปหาเด็กสาวผิวขาว เธอนับเป็นดาวเด่นของโรงเรียนเมื่อตอนประถมทีเดียว
เสือน้อยมาถึงก็เข้าเรื่องทันที เพราะเป็นคนกันเองรู้จักกันมานาน โดยตัวเขาขอให้ช่วยแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนใหม่ของเธอให้หน่อย
มะปรางก็ถึงบางอ้อ “เหมือนฝันนี่เอง...ไม่น่าล่ะ ทำเอาเสือน้อยกลายเป็นลูกแมววิ่งตามมาถึงที่เลยเชียว” ส่วนมะปรางก็มองไปทางนายเข้ม ที่เขินอายอยู่ด้านหลัง ก่อนจะเลิกสนใจ
เสือน้อยยิ้มจาง ๆ แก้เขิน และไม่ปฏิเสธอะไร ทางด้านมะปรางก็บอกว่า “เมื่อวานก็สนิทกันแล้วในกลุ่มห้องสอง มีเพื่อน ๆ น่ารักเยอะมากเลย…มา ๆ เดี๋ยวเราพาไปรู้จัก”
เข้มบ่นพึมพำ “ใครจะน่ารักเท่ามะปรางได้...ไม่มีหรอก” แน่นอนเขาคิดแค่ในใจ
เจ้าตัวเดินจับกระเป๋าบิดตัวไปมา อาการมีพิรุธ อย่างชัดเจน นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขารีบสวาปามข้าวอย่างรวดเร็ว
ก่อนมะปรางเสนอให้เดินไปคุยไป “บอกก่อนนะ…แค่แนะนำให้รู้จักเท่านั้น ที่เหลือต้องช่วยตัวเอง เข้าใจไหม?”
เสือน้อยผงกศีรษะรับด้วยความเข้าใจ ยังไม่ลืมพูดอ้อม ๆ “แค่ได้มะปรางช่วยก็เปิดทางได้เยอะแล้ว เมื่อวานเราไปถามชื่อเขามาแล้ว วันนี้แค่อยากมาแนะนำตัวน่ะ...คุยไม่นานหรอก” ด้วยเพราะเขาไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร แวะมาทักทายเป็นกิจกรรมหลัก
จากนั้นก็เดินมาถึงตึกเรียนศิลปะ ลานกว้างไม่มากแต่ให้ความร่มรื่น น่านั่งเป็นอย่างมาก แม้เศษใบไม้จะร่วงหล่นอยู่เป็นระยะ ๆ
มะปรางเดินมาถึงกลุ่ม พร้อมกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าสองคน คนหนึ่งหน้าตาคมเข้ม ผิวสองสี รูปร่างสูงใหญ่ หากสังเกตดี ๆ จะเห็นมัดกล้ามเนื้อแน่นขนัด ที่เด่นสะดุดตาก็คือรอยยิ้มบนหน้า และฟันสีขาวเม็ดข้าวโพดเรียงราย
ส่วนอีกคนก็มองดูแล้วใบหน้าแป้นแล้น ตัวเตี้ยกว่าอีกคนเล็กน้อย สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นมองไปที่แผ่นหลังของ มะปรางเพื่อนสาวที่เดินนำมาข้างหน้า
พอมาถึงโต๊ะมะปรางก็แนะนำให้เพื่อนกลุ่มใหม่ได้รู้จัก “ทุกคนนี่เพื่อนเก่าจากโรงเรียนเดิมของเรา และเขามาหาใครบางคนแถวนี้แน่ะ” เธอฉีกยิ้มกว้างด้วยมาดทะเล้น ทำเอาเข้มหัวใจพองโต
ในกลุ่มเด็กสาวน่ารักสะดุดตาที่สุดในกลุ่ม ก็ชำเลืองมองมาทางทั้งสามคนอยู่นานแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเหมือนฝัน เธอมองเห็นนอกจากมะปรางแล้ว ก็เป็นเด็กหนุ่มคุ้นหน้าอีกคนที่พึ่งขอเบอร์เธอเมื่อวานนี้เอง กับเพื่อนชายอีกคนที่ทำหน้าทะเล้น
“สวัสดีเหมือนฝัน…” เสือน้อยโบกมือทัก พร้อมยิ้มยิงฟัน
“สวัสดีจ้ะ...นาย...เสือ...น้อย!” เธอยิ้มก่อนจะเน้นคำพูด แสดงออกว่าชื่อนี้ ได้ฟังครั้งหนึ่งก็ลืมไม่ลงจำง่าย อีกอย่างเล่นเข้ามาจีบเธอตั้งต้องสองครั้งแน่ะ
เพื่อน ๆ สาวในกลุ่มต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เตรียมนินทาหลังจากนี้เป็นแน่!
มะปรางก็แนะนำตัวเพื่อนตนเองอย่างเป็นทางการ “คนนั้นชื่อเข้ม ส่วนคนนี้ชื่อเสือน้อย” จากนั้นเธอก็ปล่อยให้เสือน้อยจัดการเอง
สมองเสือน้อยหมุนเร็วจี๋ ไอ้เราก็แค่อยากคุยอยากเจอหน้า แต่พอเจอดันพูดอะไรไม่ออก
จึงได้แต่ชวนเรื่องที่พอจะคุยได้ “วันนี้เดี๋ยวเราเพิ่มเพื่อนใน MSN ไปนะ...เหมือนฝัน”
เหมือนฝันก็ไม่ปล่อยให้หนุ่มตรงหน้าพูดเฉย “ได้สิ! เดี๋ยวรอรับนะ...”
ยังไม่ทันพูดจบคำก็มีเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง พุ่งเข้ามาเบียดกระแทก ทำเอาเสือน้อยต้องถอยหลังออกไปสองก้าว
คนที่มาใหม่ผิวขาวหน้าขาวจั๊วะ ตาสองชั้นคมเข้ม ดวงตามองไปแล้วดูขี้เล่น ทั้งสูงโปร่ง สำคัญที่คิ้วหนาเข้มเป็นเอกลักษณ์ มองดูก็รู้ว่าผู้หญิงชอบแนว ๆ นี้เยอะมาก
“นี่เหมือนฝัน...เราซื้อสาหร่ายมาฝากน่ะ” ยังไม่ทันไรก็พูดสอดแทรกเข้ามาแล้ว อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
มะปรางตะลึงลาน อดอุทานในใจไม่ได้ “เจ้าคิ้วหนาแกซวยแล้ว!” เธอหวั่นใจเหลือเกินว่าเสือน้อยจะอารมณ์ขึ้น จึงหันไปกระตุกแขนเสื้อเพื่อนเก่าส่งสัญญาณว่าให้ใจเย็น
พอ ๆ กับเข้มที่คิดในใจว่า “ซวยแล้วมึง!”
เสือน้อยเห็นสายตาแฝงไว้ด้วยความขอร้องจากเพื่อน ๆ ทำนองว่าอย่าก่อเรื่องนะ เขาที่โดนเบียดกระเด็นก็ฝืนยิ้มอยู่ด้านข้าง
ทว่าในใจโกรธไม่หาย “ทำเสียเชิงชายต่อหน้าสาวที่ชอบ นี่...มันออกจะเกินไปหน่อย” เสือน้อยได้แต่ข่มใจไว้ ไม่งั้นได้เสียคะแนนต่อหน้าเหมือนฝันแน่!
เสือน้อยก็พูดแทรกขึ้นมาว่า “เหมือนฝัน งั้นเราขอตัวก่อนนะ…ไว้เดี๋ยว..เอ่อ..จะแวะมาเยี่ยมใหม่” เขาฉีกยิ้มกว้างก่อนโบกมือลา ทั้งยังไม่ลืมโบกมือให้มะปราง
พอทั้งคู่เดินหลบพ้นมุมมา เสือน้อยตาขวางทันที “ไอ้นั่นแม่งเป็นใครวะ มึงรู้จักเปล่า!?” แววตาเขา ราวกับพยัคฆ์พร้อมล่าเหยื่อ พร้อมกระโจนเข้ากัดเหยื่ออย่างเต็มเขี้ยว
“ก็คงเป็นคนดังนั่นแหละ ที่เปิดเรียนเมื่อวานแม่งก็เริ่มไปมีเรื่องชกต่อยเลย เห็นว่าชื่อพี นี่แหละ” เข้มตอบ “เอาไงมึงจะจัดเลยมั้ย?” เขารู้จักเพื่อนตัวเองเป็นอย่างดี
“พุทธภาษิตว่าทำสิ่งใดไม่เกินสาม เหมือนที่กูบอกทุกครั้งแหละ อันนี้ครั้งแรกก็ปล่อยมันไปก่อน ยังเหลืออีกสองครั้ง” เสือน้อยพาเพื่อนเดินผ่านตึกออกไปสนามฟุตบอล เตรียมตัวเข้าแถว
เสือน้อยเอ่ยปากพูด “ลอง ๆ ช่วยกูสืบประวัติมันหน่อย” เขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ
“มาแล้วสินะ!” เข้มแสยะยิ้ม ก่อนจะรับคำว่า “เออได้เลย!” พอนึกถึงเรื่องแบบนี้ มันก็ทำเอาเขาย้อนนึกถึงตอนเสือน้อยชอบก่อเรื่องที่โรงเรียนเก่า ซึ่งเจ้าตัวมักได้เปรียบทางด้านเหตุผลอยู่เสมอ
…….
ทั้งคู่ที่ยืนอยู่ปลายสุดของสนาม ฝั่งตรงกันข้ามกับที่นักเรียนส่วนใหญ่ไปรวมตัว รอเข้าแถวเคารพธงชาติกัน ทั้งคู่สนทนาไปมา เช่นเพลงที่ต้องท่องจำสองเพลง แถมยังต้องท่องกฎเยาวชนคนดีศรีปทุมวิไลทั้งสิบเอ็ดข้อด้วย
ตอนนี้ทั้งคู่ยังท่องไม่ไปถึงไหนเลย ส่วนเรื่องร้องเพลงฟังติดหู ไปหลาย ๆ วัน ประเดี๋ยวก็ร้องได้เองแหละ ทั้งคู่คิดแบบนี้
ครู่หนึ่งก็มีรุ่นพี่ ม.2 ม.3 เดินเข้ามาทักทาย เสือน้อยเป็นที่รู้จักกันอย่างดี ในละแวกนี้ ทั้งเพื่อนและรุ่นพี่จากโรงเรียนเก่า ทั้งเพื่อนที่อาศัยอยู่แถวนี้
เสือน้อยก็ถามข้อควรระวังในโรงเรียน ครูคนไหนดุ คนไหนใจดี มักเป็นเรื่องที่นักเรียนใหม่ทุกคนมักอยากรู้ และแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดก็คือพวกที่เข้ามาเรียนก่อน
พวกเขาก็แนะนำและบอกเรื่องสำคัญ ๆ ก่อนจะพูดถึงพวก คะแนนจิตพิสัย ถ้าเหลือ 50 จาก 100 ปิดเทอมต้องบวชเรียนที่วัด!
กฎข้อนี้…เสือน้อยกับเข้มก็พึ่งรู้เหมือนกันเพราะส่วนมากแล้ว คนปกตินักเรียนดี ๆ ไม่มีทางคะแนนต่ำไปถึงขั้นนั้น โดยปกติแล้วมีน้อยมากและคนพวกนี้มักเป็นเด็กเกเร
เสือน้อยได้แต่ปาดเหงื่อ จากนั้นก็ไม่ยั้ง…ตั้งถามรัว ๆ เกี่ยวกับพวก ‘ครูฝ่ายปกครอง’ ชอบจับผิดอะไรบ้าง พวกรุ่นพี่พวกนั้นก็บอก “หลัก ๆ ก็โดดคาบเรียน สูบบุหรี่ ปีนกำแพงหนีเรียนไม่ก็มุดช่องหมาลอดฝั่งโน่น” รุ่นพี่ชี้ไปให้ดู
ดูท่าเขาต้องไปอ่านหนังสือกฎระเบียบข้อปฏิบัติภายในโรงเรียน เผื่อว่าเวลาที่จะโดนหักคะแนนจะได้รู้ตัว ประเดี๋ยวเถียงไม่ได้
“เขาไม่อยากตายแบบไม่รู้อะไรเลย ถ้าจะตายเพราะรู้มากนั่นจึงจะเหมาะสมกับเขา” เสือน้อยพยายามให้เหตุผลตัวเอง
พวกรุ่นพี่ก็ถามบ้าง “มีใครมาหาเรื่องเอ็งบ้างหรือยัง?”
พวกเขาอยากรู้นักว่าเปลี่ยนโรงเรียนใหม่จะเป็นเสือหรือเป็นแมว แต่จากนิสัยแล้ว เสือมันคงไม่ทิ้งลายง่าย ๆ และพวกเขาก็ตกตะลึงมีไอ้เวรไปหาเรื่องไอ้เสือน้อยเมื่อเช้า
สำหรับพวกเขาแล้วที่เข้ามาคุยเพราะอยากรู้เรื่องนี้มากที่สุด
พวกรุ่นพี่ได้ยิ้มเจื่อน และก็นึกถึงภาพอนาคต ก่อนแยกย้ายกันไปเข้าแถว...
เข้มลูบจมูกนึกถึงภาพตอนไอ้เสือโดนเบียดต่อหน้าสาว ปกติถ้าโดนหักหน้าตรง ๆ แบบนี้ไอ้เสือแทบจะกระโจนเข้ากัดเสียด้วยซ้ำ…
แม้แต่เขาเองยังรู้สึกโกรธแทนเพื่อนตัวเองเลย “และสำหรับไอ้เสือถ้าไม่เป็นเพราะชอบผู้หญิงคนนั้นมาก ๆ มันก็คงเก็บงำความโกรธเกรี้ยวไว้ใส่ทีเดียวเลย” เข้มคิดว่าอาจเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
“มันคงไม่อยากสร้างภาพจำให้เธอมั้ง ที่เจอกันไม่กี่วันก็เป็นพวกนักเลงหัวไม้ แค่โดนชนนิดหน่อย ก็ชกต่อยฝ่ายตรงข้ามต่อหน้าเธอเลยตั้งแต่แรกพบ” เขาได้แต่ลอบคิดแบบนี้ในใจ
สำหรับเด็กมัธยมนั้น นับถือกันที่กำปั้นมากกว่าเหตุผล เป็นอย่างนี้เรื่อยมาตั้งแต่สมัยก่อนจวบจนปัจจุบัน เคารพคนตัวใหญ่เสียงดัง รังแกคนตัวเล็กอ่อนแอ
พวกนักเลงหัวไม้ และเด็กเกเรมีอยู่ทั่วทุกที่ เรียกได้ว่าโรงเรียนไหนก็มี เพราะแต่ละคนต่างถูกเลี้ยงดูมาคนละแบบ ร้อยพ่อพันแม่ โรงเรียนจึงเป็นสถานที่ขัดเกลา บ่มเพาะนิสัยให้ลูกศิษย์อยู่ในร่องในรอย เสือน้อยนึกถึงคำพูดที่พ่อสอน…
-------------------
เริ่มกลับเข้าสู่เส้นเรื่องปัจจุบันแล้วครับ…