ตอนที่ 11 การผจญภัยกับแฝดนรก! (1)
ตอนที่ 11 การผจญภัยกับแฝดนรก! (1)
กลางลานชุมชนแออัดเด็กน้อยหัวดำ กำลังนัดแนะกันเพื่อจะไปผจญภัย หรือหาเรื่องแสบ ๆ ทำกัน
กลุ่มเด็กน้อยวัยละอ่อน กำลังเดินตามกันเป็นขบวน ๆ มุ่งหน้าไปเที่ยวเล่นที่หมู่บ้านข้าง ๆ ...ทั้งไปยิงนกตกปลา แต่ยิงก็ไม่โดน ตกก็ไม่ได้ด้วยขาดความชำนิชำนาญ เมื่อเห็นว่าเอาดีทางนี้ไม่ได้
จึงเฮโลพากันไปปีนหลังขี่คอช่วยกันขโมยเด็ดมะม่วงหลายลูกของสวนลุงก้าน ซึ่งเป็นสวนตั้งอยู่หมู่บ้านข้าง ๆ มาทำพริกน้ำปลา จิ้มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
ที่มากไปกว่าความอร่อยคือการได้ทำอะไรแผง ๆ แล้วประสบความสำเร็จ จึงทำให้เหล่าเด็กน้อยทั้งหลายรู้สึกตื่นเต้น ภูมิใจอย่างกับเรียนได้ที่หนึ่งของห้องก็ไม่ปาน
ในกลุ่มมีรุ่นพี่ผู้เป็นหัวหน้าขบวนการอายุประมาณสิบปีกว่า พาน้อง ๆ ลูกสมุน เที่ยวตระเวนผจญภัย ทำคล้ายกับว่าในหนัง ละครที่บุกป่าฝ่าดง พวกเขาเอาไม้ไผ่แทนดาบ กวัดแกว่งตัดพงหญ้า…
แต่ละคนเอาผ้าขาวบางมาทำเป็นผ้าคลุม โดยเสือน้อยเป็นคนเสนอไอเดีย เขาเคยเห็นในหนังบ่อย ๆ ทั้งจีนฝรั่ง ที่พระเอกต้องมาพร้อมกับผ้าคลุมด้านหลัง ดังนั้นเขาจึงขันอาสา ไปขโมยผ้าขาวบางในห้องครัวที่บ้าน มาแจกให้เพื่อน ๆ สวมใส่
เสือน้อยที่น้ำมูกยืดย้อยออกมาจากรูจมูก มันแกว่งไกวไปมา ทำเอาเด็กน้อยจำต้องคอยสูดหายใจอยู่เป็นระยะ ๆ มองดูน่าขบขันอยู่ไม่น้อย แก้มย้วยที่ห้อย มองคล้ายกับกำลังอมอะไรสักอย่างไว้ แดงระเรื่อมองดูน่ารักน่าเอ็นดู ปีนี้เขาขึ้น ป.2 แล้ว ฟันน้ำนมบางซีกก็พึ่งหลุดร่วงไป
‘เพชร’ เด็กน้อยผู้เป็นหัวหน้าขบวน ลูกเพื่อนบ้านในชุมชนแออัดด้านข้าง
เจ้าตัวเริ่มเข้าค่ายมวยตั้งแต่ปีก่อน เพราะถูกลุงเด่นชัยเจ้าของค่ายมวยเห็นแวว จึงดึงตัวมาเพื่อปลุกปั้นให้เป็นนักมวยอาชีพ ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ ป.4 แล้ว
พ่อแม่ของเพชรก็ถามความสมัครใจของเพชร จนสุดท้ายก็ได้ถูกลุงเด่นชัยเจ้าของค่าย เคี่ยวเข็ญอย่างหนัก เตรียมจะขึ้นชกเร็ว ๆ นี้แล้ว
เพชรเป็นเด็กที่สูงกว่าคนวัยเดียวกันไม่น้อย ทั้งอายุเยอะสุดจึงถูก ยกให้เป็นหัวหน้าของเหล่าบรรดาลูกสมุนที่เดินตามต้อย ๆ อยู่ข้างหลัง
ส่วนเสือน้อยในฐานะผู้สนับสนุนรายใหญ่ ใจกล้าถึงขนาดขนผ้าของแม่มาแจกให้ทุกคนทำเป็นผ้าคลุมหลัง “ย่อมได้รับการยอมรับจากเด็กในวัยเดียวกัน โดยแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้า”
โดยปกติทุกวัน ถ้าไม่เหลาไม้ไผ่มาแบ่งพวก เล่นฟันดาบตีกัน ก็จะออกเดินออกผจญภัยตามท้องทุ่งคันนา ทำตัวเป็นวีรบุรุษสู้กับหญ้า รบกับกบเขียด และวีรกรรมที่หาญกล้าที่สุดในสัปดาห์นี้ก็คือไป ‘ปีนเก็บรังผึ้ง’ ที่พวกเขากำลังเดินมุ่งหน้ากันไป
ซึ่งถูกเสนอขึ้นโดยสองฝาแฝดชายอย่าง ‘ยักษ์-ใหญ่’ สองพี่น้อง
รู้จักกันมาก็หลายปีเสือน้อยก็ยังแยกไม่ค่อยออกว่า “คนไหนเป็นคนไหน?”
และบ่อยครั้งเขามักเรียกผิด หรือไม่รู้ว่าถูกสองแฝดแกล้งหลอกหรือเปล่า พวกสองแฝดเป็นเพื่อนบ้านอยู่ใกล้ชิดติดกับบ้านเสือน้อย ปีนี้ทั้งคู่ก็ขึ้น ป.1 แล้ว และก็ได้อยู่โรงเรียนเดียวกับเสือน้อย
แต่จะว่าไปทั้งแก๊งที่เดินตามกันต้อย ๆ ก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันหมด คงเพราะมันใกล้บ้านที่สุดแล้ว
ยักษ์-ใหญ่ บอกว่าวันก่อนเห็น ‘ลุงเปี๊ยก’ แกปีนไปเก็บรังผึ้ง สวมหมวกคลุมผ้าขาวบาง จุดกาบมะพร้าวใช้ควันไฟไล่ผึ้ง สองพี่น้องที่บังเอิญไปเห็นด้วยความตื่นเต้น จึงอดเลื่อมใสลุงเปี๊ยกไม่ได้ หลังเห็นแกลงมาปลอดภัย จึงวิ่งเข้าไปถามขอความรู้อย่างสนอกสนใจ
พอได้ยินดังนั้น สองแฝดก็ได้เอาคำบอกเล่า มาพูดให้เพื่อน ๆ ฟังเมื่อวันก่อน
ทั้งกลุ่มจึงเดินวางแผนแยกย้ายกันไปหาอุปกรณ์ บางคนก็ไปหากาบมะพร้าว ไม่ก็เศษไม้ กิ่งไม้ยาว ๆ
หรือไม่ก็วิ่งไปซื้อไม้ขีดที่ “ร้านขายของชำแม่ค้าปากปลาร้า” ซึ่งถูกผู้ใหญ่แถวนั้นใช้เรียก เพราะเจ้าหล่อน ด่าได้แม้กระทั่งลูกค้า…
หลังจากรวบรวมได้ครบ ก็ขาดแต่ผ้าขาวบางไว้กันผึ้งต่อยเท่านั้น
วันนี้เพื่อที่จะเข้าไปเก็บรังผึ้งมากิน ก็เป็นที่มาของการเดินตามกันเป็นขบวนในวันนี้ โดยปกติแล้วผู้ใหญ่มักเตือนให้อยู่ห่าง ๆ ระวังผึ้งต่อย
ทว่าสำหรับเด็กน้อยผู้หาญกล้าแล้ว พวกกิจกรรมเหล่านี้ มันคือความท้าทายอันแรงกล้า ที่พวกเขาปรารถนาจะพิชิตยอดภารกิจนี้!
กลุ่มเด็กน้อยใจกล้าทั้ง 7 คนเดินตามลำดับไหล่ สองมือถืออุปกรณ์ที่แต่ละคนไปเตรียมมาด้านหน้าหัวท้าย มีเพชรและเสือน้อย คอยคลุมหัวขบวนและท้ายขบวนอยู่ ส่วนสายตาก็สาดส่อง ควานหารังผึ้งตามกิ่งไม้ในป่า…
เด็กน้อย ป.1 ในกลุ่มชี้ ตะโกนว่าเจอแล้วทำเอาทั้งกลุ่มดีอกดีใจ ก่อนจะกวาดสายตาไปมองเห็นจอมปลวกอยู่ทิศทางที่เจ้าตัวชี้ไป
เพชรจึงหัวเราะดังลั่น ก่อนพูดว่า “นั่นไม่ใช่รังผึ้ง นั่นมันรังปลวกโว้ย!” ทั้งกลุ่มก็พากันหัวเราะ เดินตามหาต่อไป ส่วนเสือน้อยก็ได้ตบบ่าให้กำลังใจรุ่นน้อง
ฟ้าไม่ละทิ้งคนมีความพยายาม หลังจากผ่านไปนานสองนาน พวกเขาก็ได้เจอรังผึ้ง ที่เหมาะสม เด็กน้อยทั้งเจ็ดก็ไม่รีรอแบ่งหน้าที่กันเสร็จสรรพ ช่วยกันเอากาบมะพร้าวมากองสุมกัน เป็นกองพะเนิน
จากนั้นเพชรลูกพี่ใหญ่ก็ใช้ไม้ขีดจุดไฟใส่กาบมะพร้าว และก็รีบวิ่งไปรวมตัวกับลูกสมุน ทุกคนใช้ผ้าขาวบางต่างโล่คลุมตัวเองและเพื่อน ๆ เรียกได้ว่ามิดชิดเสียจนพวกเขาคิดว่า “แม้แต่ยุงสักตัวก็บินผ่านเข้ามาไม่ได้!”
ไฟค่อย ๆ แรงขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนผลที่ตามมาของไฟนั่นก็คือควัน
ควันไฟเริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ สายตาของเหล่าเด็กน้อย พากันจับจ้องไปยังที่เดียวกัน และกำลังลุ้นให้มันลุกโชนเพื่อขับไล่ให้ผึ้งบินออกจากรัง หลังจากนั้นพวกเขาก็รีบเข้าไปเก็บรังผึ้งตามแผนการที่นัดแนะ
แต่เจ้ากรรมทุกอย่างเหมือนจะมาดีแล้ว แต่พวกเหล่าเด็กน้อยลืมดูทิศลม!
และในตอนนี้พวกตนกำลังอยู่ใต้ลม ส่วนกาบมะพร้าวที่จุดอยู่เหนือลมห่างจากรังผึ้งไม่ไกล แทนที่ลมจะลอยขึ้นไปอย่างที่คาดหวัง ดันมุ่งเข้ามาหาพวกเขาเสียได้ ซึ่งมันทำเอาทุกคนที่อยู่ในมุ้งสำลักควันแทบแย่...
และแล้วผึ้งที่เกาะอยู่บนรังก็ได้กลิ่นควัน พร้อมกับความร้อนที่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา ทำให้ผึ้งงานบินวนเตือนภัย เสียง “หึ่ง ๆ” ดังระงม
พวกมันเห็นผู้บุกรุก และเตรียมพุ่งเข้าจู่โจมผู้บุกรุก…เพื่อปกป้องอาณาเขตของตนตามสัญชาตญาณ
เด็กน้อยที่อยู่ภายในมุ้งต่างก็พากันสำลักควันไฟ แต่ละคนต่างส่งเสียงอู้อี้ ก่อนที่จะตัดสินใจ “สละเรือ…กระโดดลงแม่น้ำ” พวกเขาต่างพากันวิ่งกระเจิง ไปกันคนละทิศคนละทาง...พร้อมตามมาด้วยฝูงผึ้งที่บินมาตามต่อย แต่ละคนก็โดนกันไปคนละจุดคนละตำแหน่ง
ส่วนของเสือน้อยโดนที่แก้มแดง ๆ ของเขา มองดูโดดเด่นสะดุดตา เจ้าตัวร้องเสียงหลง จึงได้แต่วิ่งร้องไห้กลับบ้านไป
……
พอถึงบ้านแม่ชบาเห็นสภาพ ลูกชายหุ่นจ้ำม่ำของตัวเองที่หล่อนขุนมาเองกับมืออยู่ในสภาพสะบักสะบอม น้ำมูกไหลเป็นสาย ส่วนแก้มที่โดนผึ้งต่อยก็ปูดบวม ทำเอาแม่ชบาโกรธควันออกหู บิดหูเจ้าเสือน้อยจนร้องไห้…น้ำตาคลออีกระลอก
พ่อผันที่มาเห็นสภาพก็กุมท้องหัวเราะร่า ไม่แสดงความเห็นอะไรมาก เขาคิดว่า “ตอนเด็กถ้าไม่ซุกซน ก็คงไม่ใช่เด็กแล้ว!” ก่อนเข้าไปปลอบแม่ชบาให้ใจเย็น พร้อมกับพาเจ้าลูกชายตัวแสบไปหาหมอ
หลังจากกลับบ้านมา พี่แหม่มแม่บ้าน มาถามแม่ชบาว่าได้เอาผ้าขาวบางไปที่ร้านหรือเปล่า พี่แหม่มกับพี่นางหาไม่เจอ แม่เดาได้ราง ๆ จึงเพ่งสายตามองมาที่เจ้าเสือน้อย ถามเสียงดุดัน “เสือน้อย! ผ้าขาวบางที่อยู่ในห้องครัวได้เอาไปหรือเปล่า?”
เสือน้อย อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เขาทำท่าทีเลิ่กลั่ก ก่อนยอมรับผิด จึงถูกแม่ตีก้นร้องโอดโอยอยู่นานสองนาน “เข้าไปในป่าหารังผึ้งก็ว่าแย่แล้ว ยังกล้าขโมยของออกจากบ้านโดยไม่บอกพ่อบอกแม่ก่อนอีก โทษเพิ่มอีกเท่าตัว”
เธอกอดอกพูดเสียงขึ้นจมูก “จากนี้ไปตอนเที่ยงแม่จะตัดค่าขนม!”
พอได้ยินดังนั้น คล้ายเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องในหูของเสือน้อย ไอ้ติมรสมะนาวตอนเที่ยงคือของโปรดประจำตัว ซึ่งตัวเขากำลังจินตนาการถึงไอติมในมือทั้งสองข้าง
“มือขวามะนาว มือซ้ายช็อกโกแลต ผลัดกันเลียทีละข้าง นั่นคือความปรารถนาสูงสุดตอนกลางวันของเขา ซึ่งมันได้มลายหายไปกับตา...”
....
แม่เสียเงินขุนมาตั้งเป็นแสน จะมาหักดิบเอาง่าย ๆ แบบนี้ไม่ได้นะ!