บทนำ (ปูมหลัง)
บทนำ (ปูมหลัง)
ย่านตัวเมืองปทุมธานี…
ท่ามกลางชุมชนแออัด…มีครอบครัวหนึ่งคล้ายว่าเป็นเสมือนแกะดำ เพราะท่ามกลางปัญหาวุ่นวายมากล้นของสังคม ทั้งผัวเมียตีกัน เมาเหล้าตีกัน ชกต่อยแย่งผู้หญิงกัน โจรฉกชิงวิ่งราว ฯลฯ
อาชญากรรมที่เกิดไม่เว้นแต่ละวัน ถึงขั้นตำรวจยังมายืนประจำการ คอยตรวจตราอยู่เนือง ๆ
…ทว่าครอบครัวที่เป็นเสมือนแกะดำนี้ ดูเหมือนจะแต่งต่างออกไปเล็กน้อย คงจะเป็นเพราะบรรยากาศภายในครอบครัว
เพราะครอบครัวนี้สุดแสนจะสุขสันต์รื่นเริง อย่างน้อยก็มากกว่าเพื่อนบ้านโดยรอบ
ฟังได้จากเสียงเพลงบรรเลงคลอเคลียมากับสายลม ดังผ่านกีตาร์โปร่งตัวโปรดของ
พ่อผู้เป็นจิตรกร ฝีมือในการวาดภาพของเขาล้ำเลิศพอ ๆ กับความเข้าใจในเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด เรียกได้ว่าเป็นศิลปินขนานแท้ ทั้งจากทั้งภายในและภายนอก!
ภายนอก หากใครมองเขาเผิน ๆ คงนึกว่าเขาคือ พี่ป้อม-อัสนี โชติกุล นักร้องนำวง อัสนี-วสันต์ ด้วยเพราะทรงผมสุดจ๊าบ พร้อมกับการแต่งเนื้อแต่งตัว ดูคล้ายกับเลียนแบบพี่ป้อมออกมาอย่างกับแกะ
อีกทั้งเพลงประจำตัวที่ร้องติดปากเวลากระแนะกระแหนยอดเมียที่รักก็คือ “เพลงบ้าหอบฟาง!”
♪ “หอบฟางหอบฟางไปไหน ทำไมถึงต้องหอบฟาง หอบกันจริง ๆ จัง ๆ หอบกันรุงรังหอบฟาง!” ♪ ร้องไปได้ไม่ทันไรก็ต้องสะดุ้งดีดตัวขึ้น
“เปรี้ยง!” เสียงฝาหม้อแกงตกกระทบพื้น ตามมาด้วยเสียงบ่นกระปอดกระแปดของภรรยาสาวสุดสวย บางครั้งเธอก็อดจะรำคาญสามีตัวแสบไม่ได้ ก่อนจะหันไปเรียกลูกชายตัวน้อย วัยเจ็ดขวบปีให้ไปกินข้าว
เด็กน้อยที่มองดูพ่อกับแม่หยอกเย้า กันเล่นอย่างมีความสุข
เขาก็เท้าคางยิ้มกรุ้มกริ่ม “ส่วนที่ว่าทำไมพ่อชอบร้องเพลงนี้แซวแม่นะเหรอ อื้ม...” เด็กน้อยครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะคลี่ยิ้มผลิบานเป็นคำตอบออกมา
เขาพลอยนึกถึงอดีตที่แม่เคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ไว้ บนฝาผนังยังเก็บร่องรอยแห่งตำนานไว้อยู่เลย ก็แม่เล่นอัดใส่กรอบเลี่ยมทอง แขวนไว้อยู่ในมุมที่เด่นสะดุดตาที่สุด
“ถ้าไม่เห็นและจำไม่ได้สิถึงจะแปลก!”
เทียบกับเพื่อนบ้านแล้ว การหยอกเย้ากันของพ่อแม่เขามองดูน่ารักกว่ามากจริง ๆ บ่อยครั้งที่เขามักไปที่ม้านั่งไม้ลานชุมชนด้านข้าง เพื่อนั่งรอดูละครชีวิต ทั้งคู่ผัวตัวเมียตบตีกัน รังสรรค์ถ้อยคำผรุสวาทที่แม้แต่เขาเองยังนึกไม่ถึงออกมา
มองดู ๆ คล้ายสาวไส้ให้กากินก็ไม่ปาน กลายเป็นว่าจากเรื่องของคนสองสามคนที่รู้กันเอง แต่กลับด่าประจานจนรับรู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน
แต่ผู้หลักผู้ใหญ่แถวนั้นคล้ายว่าเตรียมตัวมาดี เพราะเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นรายวัน ก็ว่าได้ เวลาเกิดเหตุการณ์มักจะปล่อยให้ทั้งคู่ระบายอารมณ์ใส่กันเสียก่อน จึงค่อยเข้าไปห้ามปราม
ส่วนที่ห้ามไม่ทันก็มีบ้างเล็กน้อยก็ถ้าเล่นตีกันตั้งแต่ในบ้านออกมา ใครมันจะเข้าไปห้ามทัน!
ดังนั้นลานชุมชนจึงคล้ายเป็น “สถานที่ระบายอารมณ์ สถานที่ลับฝีปาก โดยมิได้นัดหมาย” เป็นที่รับรู้กันทั่วว่าโดยรอบบริเวณ ถ้าใครมาทะเลาะ ด่าทอกันละแวกนี้ก็จะมีคนเข้ามาห้ามปรามแทบทุกครั้งไป โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมการที่แทบทุกวัน
เด็กน้อยที่ชอบมานั่งมองเหตุการณ์ความเป็นไปในลานชุมชน “หากถ้ามีคนถามเขาว่า คิดจะเข้าไปห้ามบ้างมั้ยน่ะเหรอ?”
เขาตอบได้เลยว่า “คิด” ทว่าคิดไปก็เท่านั้น เพราะมีใจแต่ไร้กำลัง
เอาเป็นว่าดูอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ ปล่อยให้ผู้หลักผู้ใหญ่เขาจัดการกันเองดีกว่า…
จากนักเขียน ในตอนนี้เป็นการโหมโรง ให้รู้จักพื้นเพของตัวละคร ในเบื้องต้นครับ
และด้วยเนื้อเรื่องในตอนนี้ มีจุดประสงค์สำคัญมาก ๆ ส่งผลต่อความคิดและจิตใจของพระเอก