บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 13 ล่องเรือไปในภาพวาด (1)

ตอนที่ 13 ล่องเรือไปในภาพวาด (1)

ปีพุทธศักราช 2546

เสือน้อยเลื่อนระดับขึ้นชั้น ป.5 แต่กิจวัตรประจำวันไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก…ถ้าจะมีที่เปลี่ยนไปเลยก็คือ ความต้องการขึ้นเวทีชกมวยใจจะขาด”

งานวัดแถวบ้านที่กำลังจะจัดขึ้น เขาไปแอบพูดกับพ่อสองคน บอกพ่อว่า “วิชาถ้าไม่ได้ใช้ประเดี๋ยวมันจะลืมเอานะพ่อ” ตัวพ่อเองก็ลังเลอยู่นาน ใจจริงเขาก็อยากเห็นลูกชายขึ้นเวทีชกสักหน่อย อีกอย่างมันก็แค่มวยวัด มวยเด็กประถม ไม่ได้อันตรายอะไรนักหนา

กล่อมอยู่นานสองนาน จนพ่อเห็นดีด้วย งานวัดวันวิสาขบูชา เสือน้อยก็จะได้โอกาสขึ้นสังเวียน “สองพ่อลูกร่วมใจกันอย่างพร้อมเพรียง เพื่อปิดหูปิดตาแม่ชบา…ไม่ให้รู้เรื่องนี้!”

จนถึงวันงาน…ครูเด่นชัยกับพ่อมาเป็นพี่เลี้ยงบีบนวดร่างเสือน้อย ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เพราะทุกวันเขาเอาแต่กระโดดเชือก ซิทอัพ วิ่งลากห่วงยาง หรือไม่ก็ขึ้นซ้อมเป้าล่อกับเพื่อนในค่าย “เขาทำแบบนี้ จนเบื่อจะตายชัก ถึงกัดฟันเดินไปบอกพ่อ!”

ระฆังดังยกที่หนึ่ง “เป๋ง!”

ปกติแล้วยกที่หนึ่งมักจะต้องดูชั้นเชิง หยั่งเชิงฝ่ายตรงข้ามกันก่อน ทว่าสำหรับเสือน้อยแววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ความมั่นใจที่มาจากการขัดเกลาผ่านวันและเวลา ผสมไปด้วยความเก็บกดเล็กน้อย

“…คล้ายกับว่าคนปวดขี้แต่ไม่มีส้วม ประมาณนั้น!”

เมื่อเสียงเชียร์ตะโกน เสียงปี่กลองบรรเลง ทำเอาเลือดในร่างกายของเด็กหนุ่มยิ่งสูบฉีด พลันฮึกเหิมเป็นเท่าทวีคูณ

เสือน้อยเดินหน้าตั้งการ์ดเข้าหาคู่ต่อสู้ เขาใช้หมัดแย็บอยู่ครู่หนึ่ง เตะไปสองสามที แต่อีกฝ่ายก็ป้องกันได้ตามวิสัย เสือน้อยจ้องแววตาของคู่ต่อสู้ “บ่อยครั้งที่โดนพ่อกับแม่จับโกหกได้ก็เพราะดวงตานี่แหละ…พ่อบอกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ” สายตาคู่ต่อสู้ยากที่จะแสร้งแกล้งทำได้

เสือน้อยจึงย่างสามขุมเพื่อเข้าคลุกวงใน วาดลวดลาย ฝีไม้ลายมือเข้าเต็มที่ ประเคนให้ทั้งหมัด เท้า เข่า ศอกใส่คู่ต่อสู้ฝั่งตรงข้าม “เวลาฟุตเวิร์คเข้าออก สายตาของเด็กหนุ่มก็จะมององค์รวมของคู่ต่อสู้ ก่อนจะเข้าไปปะทะอีกครั้ง”

เสือน้อยสังเกตเห็น…คู่ต่อสู้หย่อนยานเรื่องจังหวะการยืนมาก เขาจึงต่อยบีบให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งรับ ก่อนได้จังหวะใช้ท่า เถรกวาดลาน เตะรวบสองขาจนคู่ต่อสู้ล้มทั้งยืน

เด็กหนุ่มยืนระยะอยู่พักหนึ่ง เห็นฝ่ายตรงข้ามหอบหายใจหนักหลังจากล้มลงเมื่อครู่ พออีกฝ่ายตั้งหลักได้ เขาก็เข้าไปปล่อยหมัดชุด พร้อมสับศอกเข้าที่หัวไหล่อีกฝ่าย จนแทบจะยกแขนไม่ขึ้น

“สำหรับด้านกายวิภาคของมนุษย์ เสือน้อยเรียนรู้มาไม่น้อยทีเดียว เป็นเรื่องปกติของนักมวยอย่างมาก แค่ไม่เตะต่ำจนไปโดน…กระจับ ก็เป็นอันใช้ได้!”

เมื่อคู่ต่อสู้ยิ่งนานยิ่งล้า พอเผยช่องว่าง เขาจึงถีบเข้ายอดอกของคู่ต่อสู้ปลิวไป ล้มลง... เมื่อลุกขึ้นมาได้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มรู้สึกหมดแรง จากการล้มบ่อย เสียงระฆังใกล้จะดังเต็มที เสือน้อยเหลือบไปได้ยินเสียงตะโกนของครูกับพ่ออยู่เบา ๆ จึงปรี่เข้าไปชกศัตรูเอาจนคามุม

ก่อนเสียงระฆังยกที่ 1 จะหมดลง

พ่อเตรียมเก้าอี้ พร้อมเตรียมขึ้นไปนวด ส่วนครูเด่นชัยถามอาการว่าเป็นไงบ้าง พร้อมเอาฟันยางออก เสือหายใจตามแบบที่ครูสอนมา

เสือน้อย : ดูท่าแล้วยกหน้า น่าจะน็อกได้ ให้น็อกเลยมั้ยครับลุง…พ่อ?

พ่อ : ก็จัดได้เลย เอาตามสมควรนะอย่ารุนแรงเกินไป

เสือน้อย : ตามนั้นเลยจ้ะพ่อ!

“เป๋ง!” เสียงระฆังยกที่สองดังขึ้น

แววตาเสือน้อยราวกับเพชฌฆาต เขาเดินเข้าหาคู่ต่อสู้ พร้อมกับหลอกล่อด้วยหมัดชุด ก่อนจะเตะเจาะยาง อีกฝ่ายที่ยังเจ็บตัวอยู่จากยกที่แล้ว ก็ถูกกดดันจนเผยช่องว่างจน เสือน้อยต่อยเสยปลายคาง ร่วงไปนอนกองกับพื้นเวที…

“รอเพียงกรรมการนับสิบ”

คู่ต่อสู้พยายามลุกขึ้น แต่ด้วยยังเมาหมัดเสือน้อยอยู่ สติสตังยังไม่กลับมา จนกรรมการนับถึง 8 ก็โบกมือยุติการแข่งขัน

เวทีด้านล่างก็ส่งเสียงเฮ! เสือน้อยก็ยิ้มเจื่อน ดูไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ หลังจากลงเวทีไปรับรางวัล เสือน้อยก็ถามครูเด่นชัย “นี่ครูเอาจริง ๆ นะ ไหนบอกจะหาคู่ที่มันสมน้ำสมเนื้อกับผมไง? ทำไมมันอ่อนปวกเปียกแบบนี้ ผมอยากยืนต่อยแลกหมัดมากกว่า นี่นกกระจิบยังไม่ทันกินน้ำก็หมดแรงแล้ว” เสือบ่นกระปอดกระแปด

ครูเด่นชัยบ่นในใจ “ก็มึงเล่นลวดลายเสียขนาดนั้น ทั้งโยกหลอกล่อ ใครมันจะไปยืนแลกหมัดกับมึงวะไอ้เสือ…ไอ้บ้าพลัง!”

จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “ไอ้เด็กคนนั้นมันได้แชมป์มาสิบเวทีซ้อนแล้วนะ สถิติไม่แพ้ใคร แถมอายุยังเยอะกว่าเอ็งตั้ง 2-3 ปี”

เสือเลิกคิ้วทำหน้าสงสัย “สงสัยมันเจอแต่คนพึ่งหัดมวยมากกว่า” ก่อนหันไปมองพ่อพูดด้วยสายตาคาดหวัง “พ่อขออีกสักเวทีสิ ถ้าแพ้เดี๋ยวเลิกชกเลย?”

หางคิ้วของครูเด่นชัยกระตุก “ไอ้นี่มันไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”

หลังจากชกเวทีแรก เสือน้อยที่ซ้อมกับครูเด่นชัยที่ถือเป้าล่อ “ยิ่งมาก็ยิ่งจัดจ้าน ลูกเตะอันบ้าพลัง อีกทั้งเชิงมวย ไม่สิต้องพูดว่าสติปัญญาดี รู้จักหนักรู้จักเบา รู้จักถอย ไอ้เด็กคนนี้มันเกิดมาเพื่อเป็นนักมวย นักสู้เลยนะเนี่ย!” ครูเด่นชัยคิด

จากนั้นไม่นาน ครูก็หาสนามเวทีชกให้มันได้ คราวนี้เป็นเวทีต่างจังหวัด และเช่นเคยสองพ่อลูกก็หาข้ออ้างหลบแม่ชบาออกไป โดยบอกว่า “จะออกไปเที่ยวห้าง!”

ข้างเวที ครูเด่นชัยพูดขึ้น “คู่ต่อสู้วันนี้ข้าไปสืบมาจากฝ่ายจัดแล้ว เขาบอกแพ้ 1 ชนะ 17 ฝึกมวยตั้งแต่ ป.2 ส่วนใหญ่เป็นงานมวยวัดเสียมาก” ลุงเด่นชัยพูดกับพ่อผันและเสือน้อย

เสียงระฆังยกที่หนึ่งดัง “เป๋ง!”

เสือน้อยออกลวดลาย โชว์ฝีไม้ลายมือเหมือนเก็บกดมานาน ยังไม่ทันผ่านยกที่หนึ่งดีดับ ก็ปล่อยหมัดชุดเตะตัดขา พออีกฝ่ายเผยช่องว่างก็เตะก้านคออีกฝ่ายจนลงไปนอนกองกับพื้น เสือน้อยตาค้าง “ทำไมมึงไม่เกร็งคอวะ!” เด็กหนุ่มบ่นตอนเดินเข้ามุมของตัวเอง สีหน้าเซ็งจิต

จนถึงอาทิตย์ต่อมาเขาก็ไปต่อยที่จังหวัดอื่น ๆ พวกคู่ต่อสู้ก็แพ้น็อกรัว ๆ ผ่านไปตลอดเทอมแรกของชั้น ป.5 เสือก็กวาดรางวัลมาเต็มบ้าน

ส่วนพ่อก็ได้แต่ปลงตก แต่ทว่าก็เกิดแรงบันดาลใจวาดรูปใหม่ ๆ ออกมา ‘นักมวยวัยเยาว์’ ที่ด้านข้างสนามแกเตรียมดินสอกับกระดานร่างภาพคร่าว ๆ พร้อมมองคนโดยรอบเวที

เสือน้อยลงสู้มา 20 สนามชนะน็อกรวด ไม่เคยได้ชกถึงยกสาม จึงเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มดังกระฉ่อนจนเป็นที่เลื่องลือ

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้แม่ชบาก็เกิดสงสัยขึ้นมา เดี๋ยวนี้สองพ่อลูกมันหายไปไหนบ่อย ๆ สืบเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ตอนหายไปก็หายหัวกันไปหมด ทั้งพี่เด่นชัย ลูกศิษย์ในค่าย

“แต่ดูแล้วสามีเธอคงไม่ไปทำอะไรแผลง ๆ หรอกมั้ง?” แม่ชบาจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

จนวันที่พ่อวาดรูปเสร็จ เศรษฐีเมืองเหนือนักเลงเล่นรูป ก็โทรเข้ามาหาเขาอยากขอซื้อรูปของพ่อ คราวก่อนโน้นเขาซื้อไปแปดแสน แต่เอาไปปล่อยขายต่อสองล้านบาท ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ

ครั้งนี้จึงพาลูกสาวตัวน้อยลงมาด้วย พ่อผันก็เสนอว่าให้นอนพักที่บ้านสักหนึ่งคืน ตอนเช้าค่อยกลับ

คราวก่อนพ่อผันตกปากรับคำ กับนักเลงเล่นรูปรายนี้ไว้ว่า “ถ้าเกิดมีภาพใหม่จะปล่อยขาย เขาจะโทรไปหาเศรษฐีคนนี้ก่อนเป็นรายแรก” และเมื่อสัญญากันแล้วพ่อผันก็ทำเช่นนั้นจริง ๆ

และทางเศรษฐีเมืองเหนือเมื่อได้ข่าวแกก็รีบซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับ ลงมาที่ดอนเมืองเลย

เสือน้อยกับแม่พอได้ยินว่ามีลูกค้ามาขอซื้อภาพวาดของพ่อ โดยเฉพาะแม่ชบาที่ดีใจสุด ๆ เพราะพอพ่อสร้างผลงานออกมาทีหนึ่ง ก็เท่ากับคนอื่นทำงานหลายปีเชียวล่ะ และคราวนี้คนซื้อใจป้ำให้ราคาไม่อั้น ตามราคาสูงสุดของมูลค่าภาพวาดในตลาด

แต่ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับการตกลงกันเสียมากกว่า

แม่ชบาจึงได้จัดเตรียมห้องหับให้กับสองพ่อลูกเศรษฐีเมืองเหนือ

นักเล่นรูปคนนี้ชื่อ เม่น ทำธุรกิจมากมายที่ภาคเหนือ…ชอบสะสมภาพ และปล่อยภาพตอนราคากำลังพุ่ง ลำพังแค่ธุรกิจนี้แกทำกำไรไม่ต่ำกว่าหลายสิบล้านบาทแล้ว

ข้อสำคัญในการซื้อภาพ คือต้องหาจิตรกรดี ๆ ไม่วาดสะเปะสะปะ แถมรู้จักการวางตัว ซึ่งในประเทศดูเหมือนจะมีจิตรกรเยอะมาก ทว่ารูปที่มีราคาและคนในวงการเขาเล่นกัน มันมีไม่มากขนาดนั้น “ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นตั๋วเด็ก กับตั๋วผู้ใหญ่”

คนมีชื่อเสียงแบบผัน ย่อมเป็นตั๋วผู้ใหญ่ เป็นธรรมดา

-------------------

ถ้าชอบกดไลก์ หากใช่ก็กดแชร์ หรือว่าจะช่วยบอกต่อ…เพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ : )

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel