ตอนที่ 12 การผจญภัยกับแฝดนรก! (2)
ตอนที่ 12 การผจญภัยกับแฝดนรก! (2)
วันจันทร์ถัดมา พ่อผันช่วยเสือน้อยมัด ‘เหรียญสิบ…สองเหรียญ’ ไว้กับเสื้อนักเรียน
พ่อผันบอกว่าเวลาจะใช้ก็แกะออก แต่กว่าจะได้ใช้ก็ตอนเที่ยงโน่นแน่ะ จึงไม่จำเป็นต้องรีบแกะ เสือน้อยหน้ามุ่ยแบกกระเป๋าไปโรงเรียน
เด็กน้อยโดนแม่ตัดค่าขนมเป็นอย่างนี้ไปจนขึ้น ป.3 ถึงจะได้ให้เพิ่มมาบ้าง ส่วนน้ำหนักของเขาก็ลดลง เพราะว่าต้องอดไอ้ติมที่ฝันไว้ตลอดปีที่ผ่านมา
พอขึ้น ป.3 เสือน้อยก็ตามไปดู ‘ไอ้เพชร…หัวหน้าขบวนการ’ ซึ่งได้ขึ้นชกในเวทีแรก ในงานวัดอีกฟากของแม่น้ำ เสือน้อยขอพ่อกับแม่ตามไปกับลุงเด่นชัยเจ้าของค่ายมวย เพื่อตามไปให้กำลังใจเพื่อนขึ้นชก
แน่นอนว่าแฝดนรก ยักษ์-ใหญ่ ก็ได้ตามมากับเขาด้วย ทั้งสองคนนี้กลายเป็นสมุนมือขวาของเขา ตั้งแต่เจ้าเพชรเอาแต่ซ้อมมวยเป็นจริงเป็นจัง “ส่วนฉายาแฝดนรกก็ได้รับมาจากเหตุการณ์ผึ้งแตกรังเมื่อปีก่อน”
เสียงระฆังดังยกที่หนึ่ง “เป๋ง!”
เพชรขึ้นเวทีด้วยความมั่นใจ เขาเตรียมต่อยตามที่วางแผนเอาไว้ กับครูเด่นชัย ซึ่งถูกสั่งมาว่า “ยกหนึ่งให้ดูเชิงก่อน ออกหมัดบ้างเป็นบางช่วง ขาห้ามตายเด็ดขาด”
เด็กน้อยก็ต่อยได้ตามที่สั่งเอาไว้เป๊ะ ๆ …แต่ด้วยยังอ่อนประสบการณ์ จึงไม่กล้าออกอาวุธมากนัก ลูกล่อลูกชนแม่ไม้ที่ฝึกเอาไว้ไม่อาจเอาออกมาใช้ง่าย ๆ เพราะกลัวผิดพลาดไป จะกลายเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ฝั่งตรงข้ามสวนคืน
เสือน้อยกับสองแฝด ลุ้นอย่างกับขึ้นไปชกด้วยตัวเอง…เสียงตะโกนปรบมือให้กำลังใจจากเขาดังมาเป็นระยะ ๆ เขาคิดในใจ “เสียงบรรเลงเป่าปี่ มันช่างปลุกเร้าอารมณ์ยิ่งนัก ทำเอาเลือดในร่างของทั้งนักมวย และคนดูสูบฉีด บรรยากาศแตกต่างจากที่ดูในทีวีเป็นอย่างมาก!”
…ผ่านยกที่หนึ่งไปทั้งคู่บนเวที ก็หยั่งเชิงกันพอหอมปากหอมคอ
ระฆังดังยกที่ 2
ทั้งสองฝ่ายเริ่มเดินเข้าคลุกวงใน หมัดแลกหมัด…เข่าแลกเข่า
ทำเอาคนดูข้างสนามส่งเสียงเชียร์ตาม ใครลงพนันข้างไหนไว้ก็จะตะโกนออกมาดังมากหน่อย เลือดลมในร่างกายเสือน้อยเดือดพล่านรู้สึกอยากขึ้นไปชกเสียบ้าง เพราะดูเจ้าเพชรมันชกไม่ได้ดั่งใจเสียเลย
“ตอนที่ซ้อมมีเล่นแม่ไม้ไว้เยอะแยะ ตอนขึ้นไปทำไมมันเอาแต่ปล่อยหมัดกับตีเข่าวะ!” เขาคิดไม่ตก
ท่าอิเหนาแทงกริชที่เสือน้อยชอบขึ้นไปถือเป้าล่อ ให้เจ้าเพชรอยู่บนเวที ซึ่งเป็นท่าเด็ดประจำตัวของ “ค่ายศอกทอง ศิษย์เมืองปทุม” ไม่เห็นมันจะได้ใช้เลย ทั้งที่มีจังหวะหลายครั้ง เสือน้อยคิดว่าคงเป็นเพราะยังตื่นสนามแน่ ๆ ไม่แน่ชกไปอีกสักสิบสนาม ถึงจะหายตื่นเวที
และวันนั้นก็จบลงด้วยการชนะของเพชร ในครั้งแรกที่ได้ลงสังเวียน ซึ่งทางครูเด่นชัยได้เตรียม ‘ฉายาในวงการมวย’ ไว้ให้แล้ว แต่รอดูอีกสักพักถึงจะตั้งได้ถูกจริต
หลังจากจบงานกลับบ้าน เสือน้อยก็บอกพ่อแม่ว่า “อยากเป็นนักมวย!”
ปรากฏว่าโดนบิดหูจนร้องโอดโอยกว่าแม่ชบาจะยอมปล่อยมือ ไม่มีใครอยากเห็นลูกชายเจ็บตัวนักหรอก แต่เสือน้อยก็อ้างสารพัด หยิบยกเอาแม่น้ำทั้งห้า มาพูดกับแม่ เช่นว่า ‘สืบทอดมวยไทย’ หรือ ‘ป้องกันตัว’
ไม่ได้ขึ้นชกได้ขึ้นเวทีก็ยังดี อย่างน้อยต้องได้เตะกระสอบทรายให้มากกว่านี้หน่อย จนสุดท้ายพ่อผันซื้อไอเดียป้องกันตัวของเสือน้อยไว้ โดยให้เหตุผลว่าลูกผู้ชายมันก็มีชกต่อยกันบ้างเป็นธรรมดา…
“อย่างน้อยมันจะได้ไม่ถูกใครเขารังแกไงแม่!” ส่วนแม่ชบาที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก…ก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย พ่อพูดต่อว่า “ถือเสียว่าเจ้าเสือมันเล่นกีฬานะแม่” เขากล่อมเธออยู่นาน
พ่อจึงไปว่าจ้างครูเด่นชัยเพื่อนสนิท ที่รู้จักมักจี่กันมาหลายสิบปี เป็นเพื่อนบ้านกันมานานขนาดนี้รู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้ว เขาพูดตรง ๆ อธิบายเหตุผลทั้งหมดเลย อยากให้ถ่ายทอดวิชาให้เจ้าเสือน้อยมันอย่าหมกเม็ด แต่แม่ชบาไม่อนุญาตให้เป็นนักมวยเด็ดขาด
....
ซึ่งตั้งแต่ขึ้น ป.3 มา พ่อกับแม่พร้อมใจกันมอบเงื่อนไขพิเศษให้ใหม่นั่นก็คือ ถ้าไปช่วยแม่ขายของก็จะได้เงินไว้ซื้อของเล่น ทางพ่อผันพอเห็นว่าเด็กน้อยมารบเร้าจะซื้อรถทามิย่าจึงไปปรึกษากับแม่ชบา แม่อยากให้เจ้าเสือน้อยมาช่วยขายของนานแล้ว พาไปช่วยหลายครั้งแต่ก็ชอบนั่งเฉย ๆ ไม่กระตือรือร้น จนพ่อมาปรึกษาแม่ถึงแรงจูงใจที่ใช้ล่อเด็กน้อยคนนี้
โดยให้แบ่งเวลาทำการบ้าน ขายของ ซ้อมมวย ถึงยังไงค่ายมวยก็อยู่แค่เดินไปไม่กี่ก้าว จะเปิดดึกถึงตอนไหนสำหรับครูเด่นชัยแล้วไม่มีปัญหา เพราะบางวันพ่อกับแกก็ไปนั่งก๊งเหล้ากัน ไม่ก็เข้าห้องซ้อมดนตรี หรือร้องคาราโอเกะ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เขายังเด็ก
พ่อมีเพื่อนมากมายหลากหลายวงการ ครั้นเมื่อเสือเห็นทั้งคู่นั่งเปิดคาราโอเกะร้องเพลง ก็ฟังไพเราะเสนาะหูทีเดียว
พ่อผันเคยบอกว่า “พวกนักมวยเสียงดีนักเชียว เนื่องจากออกกำลังกายเป็นประจำทำให้ปอดใหญ่” เสือน้อยฟังแล้วเห็นท่าจะจริงดังว่า!
ครั้นประสิทธิ์ประสาทวิชามาได้ปีกว่า ๆ เสือน้อยก็ได้ขึ้นเป็นคู่ซ้อมของเจ้าเพชร หรือเด็กนักมวยในค่ายคนอื่น ๆ
พอผันกับเด่นชัยมาดูก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย ที่เจ้าตัวไม่ได้เป็นนักมวยมืออาชีพ ทั้งชั้นเชิง ความใจกล้า ความกล้าได้กล้าเสียลูกเล่นบนเวที ปล่อยออกมาได้หมด เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นนักมวยแท้ ๆ
เพราะหลังจากที่เริ่มเรียนมวย…พ่อผันนั่งดีดกีตาร์เกาเพลงไปพลาง ๆ ที่ศาลาริมแม่น้ำในยามค่ำคืนบ่อยครั้ง พ่อผันมักชวนเสือน้อยมานั่งคุยตรงนี้ โดยพ่อได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลัง กับการใช้ปัญญา
ผันได้สอนเสือน้อยว่าตอนไหนควรใช้กำลัง และเมื่อไหร่ไม่ควรใช้ ยังรวมถึงเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์นั้น ๆ
พ่อตั้งใจปลูกฝังนิสัยอันดีให้กับลูกชาย พูดพร่ำพรรณนา ดั่งกลอนท่านภู่ “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี!” ส่วนเสือน้อยเองก็ตั้งใจฟัง เพราะหลาย ๆ ครั้งเขาได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในสถานการณ์จริง ในโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย
ส่วนเรื่องการเรียนนั้นเสือน้อยไม่มีปัญหาเลย ไม่เก่งเลิศแต่ก็ไม่แย่ ส่วนใหญ่คะแนนไม่ดีมาจากที่ไม่ค่อยส่งการบ้านมากนัก แต่เขาเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว มีเรื่องชกต่อยบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย แต่ก็ไม่ถึงกับทำฝ่ายตรงข้ามเข้าโรงพยาบาล และทุกครั้งมักเป็นเสือที่มีเหตุผลให้ลงมือเช่นโดนท้าทายก่อน หาเรื่องก่อน และบ่อยครั้งมักมีพยานที่เข้าข้างเสือน้อย
แต่ก็เป็นประจำแม่มักชอบเอาเรื่องการเรียนของเขาไปเปรียบเทียบกับลูกสาวเพื่อน ที่ชื่อ ‘ลูกหมี’ เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน แม่ของลูกหมีเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียน ม.1-ม.6 ที่โรงเรียนคณะราษฯ เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนตายกันเลยทีเดียว
ถ้าลุงเด่นชัยกับพ่อที่ชอบสุมหัวกัน “แม่ชบากับป้าศรีก็มีแต่หนักกว่า…แม่ของลูกหมีนั้นหนักยิ่งกว่า เพราะตอนขึ้นมหาลัยก็เข้ามหาลัยเดียวกัน นอนก็นอนหอเดียวกันห้องเดียวกัน เรียกได้ว่าสนิทกันเหมือนพี่น้อง บางวันก็มานอนด้วยกันที่บ้าน มีห้องหับพิเศษไว้ให้ ‘ป้าศรีกับลูกหมี’ ไว้โดยเฉพาะ…”
ตอนเด็ก ๆ เสือน้อยมักไปเล่นเป็นพ่อแม่ลูกกับเธออยู่บ่อย ๆ แต่หลังจากโตขึ้นมาหน่อยก็ไปเล่นเป็นนักรบ ฟันดาบขี่ม้าก้านกล้วยกับพวกเจ้าเพชร
ลูกหมีอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันแต่คนละห้องกับเสือน้อย ซึ่งมีบางครั้งเขาเองก็ยังต้องไปขอลอกการบ้านจากเธอ
และในบางครั้งมีเด็กผู้ชายมาแกล้งลูกหมี แต่ว่าพวกเด็กผู้ชายเหล่านั้นก็จะโดนเสือน้อยจัดการเสียน่วมไปตามระเบียบ
อย่างแรกที่เสือน้อยนึกถึงก็คือคำพูดของพ่อ “การใช้กำลังควรเอาไว้ปกป้องตัวเองและคนรอบข้าง” และอย่างที่สองเสือน้อยต้องสอดมือก็เป็น เพราะว่าเติบโตมาด้วยกันจะทนเห็นลูกหมีถูกรังแกได้ยังไง?
ส่วนอย่างที่สามก็คือ ถ้าแม่เห็นว่าลูกหมีโดนแกล้งแล้วเขาไม่ไปช่วย “คงมีหวัง...ได้...ตาย...แน่!” เสือน้อยนึกสยองขึ้นในใจ
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ พอกลับบ้านแม่ก็พลิกจากแม่เสือดุร้าย กลายเป็นแม่พระใจดี ชมเสือใหญ่เลยรู้จักปกป้องเพื่อนด้วย “ส่วนเรื่องชกต่อยที่โรงเรียน ประเดี๋ยวแม่ไปจัดการกับป้าศรีเอง” หลังจากชมอยู่สองสามคำ ทั้งสองก็ไปมาสก์หน้ากับป้าศรีต่อ…
เสือน้อยก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน “เวลาแม่ดีก็ดีใจหาย ถ้าร้ายขึ้นมา....เขาซวยแน่ ๆ”
ทุกวันนี้ตั้งแต่ช่วยแม่ขายกับข้าว เขาก็มีเงินเอาไปใช้ซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ทั้งรถบังคับ ปืนอัดลม สารพัด ซึ่งแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตัวเอง
….
จนทุกวันนี้เสือน้อยกลายเป็นหัวโจกประจำโรงเรียน ชกข้ามรุ่นได้ไม่มีปัญหา ถ้าไม่มีใครกล้ามาแหย็มเขาก่อน เขาก็ไม่สนใจนัก…ส่วนเพื่อนสนิทอย่างแฝดนรก ก็กลายเป็นรองหัวโจก นับวันยิ่งเหมือนลูกสมุนของเสือน้อยมากขึ้นทุกที
ด้วยเพราะนิสัยใจกว้าง ไม่หวงของมีอะไรก็แบ่งทั้งสองคน ทั้งของเล่นใหม่ ๆ อะไรใหม่ ๆ ก็เอามาให้โดยไม่กั๊กไม่หวง เพราะว่าพ่อชอบพูดอยู่เสมอ ๆ ว่า “นกไร้ขน คนไร้เพื่อน บินขึ้นที่สูงไม่ได้” เขาจึงหวังดีและปฏิบัติกับคนรอบข้างทุกคนด้วยความจริงใจ
_____________
ขออนุญาตรบกวน ‘ฝากกดติดตาม’ Facebook หน่อยครับ
โดยสามารถค้นหาใน Facebook = รสเลิศ
https://www.facebook.com/rodlert3659
กราบขอบพระคุณครับ รสเลิศ