ตอนที่ 29 กระเป๋าแพง แฟนทิ้ง
ตอนที่ 29 กระเป๋าแพง แฟนทิ้ง
หลายวันต่อมา มะปรางก็ตะล่อมถามเหมือนฝันเกี่ยวกับเสือน้อย
จนเธอจับพิรุธได้ “อย่าบอกนะ ว่านี่แกชอบนายเสือน้อยน่ะ!” เหมือนฝันกระเซ้าเย้าแหย่
พวกเพื่อนสาวในกลุ่มก็ร่วมด้วยช่วยกัน “เค้นเอาความจริง” จนทำให้มะปรางสารภาพออกมา ความจริงแล้วในกลุ่มสาวสวยห้องสอง
คนที่เด่นสะดุดตามีด้วยกันสองคนก็คือเหมือนฝัน และมะปราง พวกเธอเป็นเป้าสายตาตลอดเวลาเดินไปไหนมาไหน
จนเธอสารภาพว่า “อื้อ!” เพื่อนก็แซวกันยกใหญ่ ก่อนถามว่าทำไมไม่ไปสารภาพ...เหมือนฝันก็เหมือนจะนึกภาพออกคงติดเพราะเธอสินะ
พอเลิกเรียนเพื่อน ๆ จากไป เหมือนฝันก็ไปพูดเปิดอกกับมะปราง
“เธอตกลงเป็นเพื่อนกับเสือน้อย ถ้าวันไหนเสือน้อยกับเธอ ไม่มีใครจริง ๆ ก็อาจจะเปิดโอกาส ให้ดูใจหรือเป็นแฟนกันได้ ดังนั้นถ้ามะปรางจับไว้ได้อยู่หมัด ก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลย” ทั้งคู่จึงคุยกันอยู่นานสองนาน...
จากนั้นไม่นานมะปรางตัดสินใจได้ จึงโทรศัพท์เรียกเสือน้อยให้มาหา โดยที่อ้างว่า “มีเรื่องจะคุยด้วย”
พอเสือน้อยมาถึงก็เห็นเหมือนฝัน เจ้าตัวจะยิ้มทักทายและขอตัวออกไปซื้อน้ำ…ทว่าแท้ที่จริงแล้ว กลับไปแอบมองอยู่ด้านข้าง
“มีเรื่องอะไรเหรอ?” เสือน้อยระบายยิ้มถาม
มะปรางอึกอัก ก่อนจะรวบรวมความกล้าค่อย ๆ พูดออกไป “เสือ…เราชอบเสือมาก ๆ และก็ชอบมานานแล้วด้วย!” เสือน้อยที่ยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ ทำเอาเด็กหนุ่มตกตะลึงลาน ทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน “พ…พูดจริงอะ แล้วไหงเราไม่เห็นรู้ตัวเลย!?”
“ก็เสือไม่เคยมองเราเลยไง...” เธอบ่นด้วยความน้อยใจ
พอได้ยินดังนั้นเสือน้อยก็เข้าใจ “อย่าลืมมองข้ามความรู้สึกคนใกล้ตัวไปสินะ” พ่อพูดอะไรทำนองนี้ไว้นี่หว่า? เสือน้อยตั้งสติได้จึงสัพยอกไปว่า “เอ...แล้วเราควรทำยังไงดีนะ?” เขาฉีกยิ้มกว้าง สีหน้าดูกวนโอ๊ยมากเป็นพิเศษ
มะปรางเม้มปากแน่น ทำหน้ามุ่ยก่อนน้ำตาคลอ
พอเสือน้อยเห็นท่าไม่ดีจึงไม่แกล้งแล้วรีบพูดต่อไปว่า “แค่หยอกนิดเดียวเองงั้นก็ได้ พวกเรามาตกลงกันก่อนลองคบหาดูใจกัน ถ้ามันไปได้ด้วยดีเราก็คบเป็นแฟนต่อไป แต่ถ้าคบแล้ว ดูเข้ากันไม่ได้ หรือว่ามะปรางมีคนใหม่ที่ถูกใจมากกว่าเราก็ขอให้บอกเลิกกันด้วยดี และกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้…เอาแบบนี้ดีมั้ย!?”
เสือน้อยแทบจะลอกคำพูดพ่อมาทั้งดุ้น ความจริงเขาก็ไม่รู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในเรื่องที่พูดออกไปมากนัก “ก็เขาแค่เด็ก ม.1 นี่นา”
“สรุปว่าเราเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม” มะปรางยิ้มถาม
“แฟนกับคบหาดูใจที่พ่อบอกมันฟัง ๆ ดูมันก็เหมือนกันนี่หว่า” เสือน้อยคิดในใจก่อนจะตอบตกลง
เสือน้อยพูดพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “ใช่แล้ว…เราเป็นแฟนกัน” ส่วนทางด้านมะปรางดวงตาแดงก่ำ ทำหน้ามุ่ยร้องไห้ออกมา ทำเอาเด็กหนุ่มต้องปลอบใจยกใหญ่…
…
วันต่อมา…
พอตกเย็นเสือน้อยก็มารอมะปรางที่ด้านล่างตึก ก่อนจูงมือกันออกไปนอกโรงเรียน เขาพาเข้าไปในร้านทองสุข! มะปรางเธอรู้อยู่แล้วว่าเสือน้อยทำงานพาร์ทไทม์ จากคำบอกเล่าของเพื่อน ๆ ทั้งเธอเองก็เคยแวะมาซื้อของในร้านเป็นประจำ…คอยดูเสือน้อยทำงานใส่ผ้ากันเปื้อนยิ้มต้อนรับลูกค้า
ส่วนเสือน้อยเอง เขาไม่อยากอวดกับใครทำนองว่า “ฉันมีเงินนะ! ฉันรวยนะโว้ย!” มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลยจริง ๆ จะมีแค่บางครั้งซึ่งก็คุยโวเป็นครั้งเป็นคราวบ้างก็เท่านั้น!
หลายวันหลังจากนั้น ความหวานที่ทั้งคู่เติมให้กันมีมากขึ้นเรื่อย ๆ มะปรางก็เหมือนว่าได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากความเงียบเหงา อารมณ์ที่เก็บซ่อนมานานปี ตลอดเวลานั่งชิดเสือน้อยไม่ห่างเวลาอยู่กันสองต่อสอง ความเร่าร้อนของเธอส่งผ่านสายตาและท่าทาง
ด้วยเป็นคนสวยมีเสน่ห์อยู่แล้ว พอความเก็บกดที่มีไว้ในใจหายไป…ก็ทำให้มะปรางดูดีและมีสง่าราศีมากกว่าแต่ก่อนมากถึงมากที่สุด ตัวเธออารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน
“รอยยิ้มที่ผลิบานของเธอมองดูแล้วมีเสน่ห์กว่าแต่ก่อนอีก!” ทำให้เสือน้อยและคนรอบข้างของเธอสัมผัสได้
ทว่าทั้งคู่ก็ไม่ได้ทำตัวติดกันแจ เวลาอยู่โรงเรียนก็ต่างคนต่างอยู่ เจอกันบ้างบางวัน ส่วนตอนอยู่นอกโรงเรียนนั้น ก็เจอกันได้ไม่นานส่วนมากเธอจะมาทักทายเสือน้อยที่ร้านทองสุข ก่อนจากไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม
และโดยมากมักเป็นการโทรศัพท์หากัน คุยกันตอนกลางคืนเสียมากกว่า โทรคุยกันยาว ๆ ก่อนผล็อยหลับไปก็มี…
....…
ณ โรงหนังในฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต
เสือน้อยนั่งรอมะปรางอยู่หน้าโรงหนัง วันนี้มีหนังดังเข้าฉายวันแรก ทำให้คนเนืองแน่นเต็มลานหน้าโรงหนัง เสือน้อยที่ได้ชวนมะปรางตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว และความจริงเธอก็อยากดูเรื่องนี้เช่นกัน
วันนี้เธอใส่เสื้อผ้าแต่งตัวดูดี ตามสมัยนิยมชุดที่สวยที่สุด เมื่อวานในตู้เสื้อผ้าของเธอ ถูกหยิบออกมาลองใส่อยู่หลายตัว เธอพยายามทำตัวให้ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ กว่าจะได้นอนเกือบเที่ยงคืนแน่ะ “เพราะนี่คือเดทแรกของเธอกับเขา…”
เสือน้อยมองดูหญิงสาวเธอดูสวยสมวัย รูปร่างเริ่มได้สัดส่วนตามอายุที่มากขึ้น เสือน้อยเชื่อว่าถ้าเป็นอย่างนี้อีกสี่หรือห้าปี ตัวเธอคงสวยหุ่นดีไม่แพ้พี่ปานหม้ายสาว ที่เขาไปซื้อกิจการร้านเกม
ดังนั้นเขาจึงสาวเท้าเดินเข้าไปออดอ้อนทันทีที่เห็นเธอ และเริ่มชวนเธอคุยกัน ชมกันอยู่หลายประโยคก่อนจับมือกัน เดินเข้าไปซื้อตั๋วหนัง…พร้อมขนมนมเนย
พอถึงโรงหนังแน่นอนว่า “ต้องเลือกหนังรัก หรือไม่ก็หนังผีอยู่แล้ว” เพราะพ่อแนะนำมา และในวันนี้เสือน้อยย่อมเลือกดูหนังผีระหว่างอยู่ในโรงหนัง ทั้งคู่ก็นั่งเคียงชิดใกล้ พอถึงฉากสำคัญ เช่นผีโผล่ ผีหลอก จังหวะที่ทำให้คนดูไม่ทันตั้งตัว มะปรางตกใจหันมากอดแขนของเขาเอาไว้แน่น...
เมื่อเนินอกของมะปรางแนบแน่นกับแขนของเด็กหนุ่ม ทำเอาเสือน้อยเลือดลมสูบฉีด เผลอคิดจินตนาการเตลิดไปไกล
“นี่สินะทำไมต้องดูหนังผี! พ่อขอบคุณคร้าบ!” เขาคิดในใจทันที หัวใจเต้นตึกตักดังระรัว
มะปรางพอเห็นแฟนเธอมีอาการตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า จึงได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ รู้อยู่แก่ใจ เธอจึงปล่อยแขนเสือน้อยออก ตอนหลังพอถึงฉากตื่นกลัวก็ใช้มือปิดตาเสียมากกว่า สำหรับเธอแล้วไว้ตัวสักหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร
วันนี้เรียกได้ว่า “เธอได้แก้เผ็ดเจ้าเสือน้อยโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว...” ที่ปล่อยให้เธอทนทรมานใจ อยู่นานสองนาน หากรู้ถึงความคิดของเสือน้อยที่ความคิดเตลิดเปิดเปิง “เธอคงหัวเราะชอบใจ”
หลังจากดูหนังเสร็จก็พากันแวะซื้อของกินของใช้ บ้านมะปรางฐานะปานกลาง พ่อแม่ของเธอทำอาชีพพนักงานบริษัท จึงสบายมากสำหรับเธอ เพราะอาชีพพ่อแม่มั่นคง ตำแหน่งกับเงินเดือนก็สูงขึ้นตามวัย และสายงาน
ดังนั้นเมื่อเป็นเดทแรกก็ทำให้ทั้งคู่พกเงินมาเยอะหน่อย ค่าตั๋วหนังเสือน้อยเป็นคนออก ส่วนค่ากินอาหาร ไอติม ขนม ฯลฯ เธอเสนอให้หารสอง ทำให้เสือน้อยมีมุมมองที่ดีต่อเธอมากยิ่งขึ้น หลังจากเดินเที่ยวกันจนเย็น ก็ต่างพากันนั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน
……
ในระหว่างที่เสือน้อยยุ่ง ๆ อยู่ เพราะเขากำลังเตรียมการกับธุรกิจใหม่ จึงได้วิ่งวุ่นไปทั่ว ทั้งโรงเรียน
เขาหาเครือข่ายจากพวกพ้องเพื่อนฝูงทั้งเก่าและใหม่ จึงไม่ได้ไปเจอมะปรางในช่วงเวลาตอนอยู่ในโรงเรียนมากนัก
ทำให้เขาพลาดพลั้ง และเปิดโอกาสให้คนอื่นค่อย ๆ เดินเข้ามาในหัวใจของมะปราง…
เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ย่างเข้าเดือนกุมภาพันธ์แล้ว ใกล้จะปิดภาคเรียนแล้ว
เสือน้อยรู้สึกว่าเวลาเหมือนผ่านไปไวเป็นพิเศษ คงเป็นเพราะด้วยเขาต้องทำงานรัดตัว คอยวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งโรงเรียน ทั้งติดต่อคนมากมาย ยังดีที่ว่ามีคนที่ไว้ใจได้ ช่วยเขาดูแลงาน ที่วางระบบไว้
หลังจากเสือน้อยเริ่มไม่ค่อยแวะเวียนมาหามะปราง ก็มีรุ่นพี่ ม.4 คนหนึ่ง เข้ามาจีบเธอ ไม่รู้ว่าเขาไปได้ MSN หรือเบอร์โทรศัพท์มาจากไหน หลังจากตะล่อม ๆ ชวนคุยด้วยอยู่หลายวัน รุ่นพี่คนนั้นจึงนัดเจอเธอที่โรงเรียน
พอเห็นหนุ่มรุ่นพี่ที่สูงโปร่ง หน้าตาเริ่มคมเข้มขึ้นตามวัย แววตาลุ่มลึก ดูมีเลศนัยคล้ายจะเชิญชวนให้เธอ ค่อย ๆ เดินเยื้องย่างเข้าไปค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในดวงตาคู่นั้น
และที่มากไปกว่านั้นก็คือคำป้อยอ คำหวาน ที่พูดอย่างมีชั้นเชิง ทำเอาสาวน้อยหลงเคลิ้มไปตามประสา ยิ่งนานวันเธอยิ่งรู้สึกชอบรุ่นพี่คนนี้
เธอจึงให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ในโรงเรียนที่สนิทด้วย ช่วยกันสืบประวัติของชายหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ เพราะนอกจากที่เธอรู้แค่ว่า พี่เขาชื่อ ‘ธร’ เรียนอยู่ ม.ปลาย ดูเหมือนเธอจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากสักเท่าไหร่นัก…
ความช่ำชองในการจีบหญิงของรุ่นพี่รายนี้ เหนือกว่าเสือน้อยไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า หากเปรียบเป็นมวยแล้ว คงห่างชั้นกันหลายขุม กระดูกคนละเบอร์ น้ำหนักคนละขนาด
ใกล้จะถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ “วันวาเลนไทน์” วันสำคัญของหนุ่มสาวที่จะบอกรัก และมอบกุหลาบให้แก่กัน
เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ที่คุยกับพี่ธร เธอก็เผลอใจตกหลุมรักรุ่นพี่คนนี้เข้าไปแล้วทั้งหัวใจ
แน่นอนว่าเธอย่อมรู้เกี่ยวกับเรื่องของพี่เขามากขึ้นไปโดยปริยายจากการคุยกัน และได้ยินได้ฟังมาจากคนอื่นผสมเข้าไปด้วย
เรียกได้ว่า “ความรักของเธอกับเสือน้อย เหมือนนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ”
ในระหว่างที่รุ่นพี่กำลังตามจีบมะปรางอยู่นั้น เสือน้อยก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะตอนนี้เขาจับโอกาสธุรกิจใหม่ได้แล้ว
และนั่นก็คือ “การขายกระเป๋านักเรียน!” อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาไม่รู้อะไรเลยก็เพราะคู่ได้ปิดบังไว้
“เรื่องขายกระเป๋า” เขาได้รับแรงบันดาลใจ มาจากพี่ ม.2 ที่ไปขอซื้อต่อกระเป๋าแบบเก่าของพี่ ม.3 ซึ่งพี่แกกำลังจะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าและจะไปเข้าสายอาชีวะ
ด้วยเป็นเพราะทางโรงเรียนกำหนดให้ทุกคน ใช้กระเป๋าแบบเดียวกันหมด จึงทำให้เด็ก ม.1-2 และม. 4-5 ใช้เป็นกระเป๋ารุ่นใหม่ที่ผลิตออกมาได้สองปีแล้ว
ส่วนของรุ่นพี่ ม.3 กับ ม.6 เป็นกระเป๋าโรงเรียนรุ่นเก่า
พอเสือน้อยนั่งคิดทบทวนก็ถึงบางอ้อ เรื่องพวกของสะสม ของเก่ายิ่งเวลาผ่านไปมูลค่ายิ่งแพงเขารู้ดี และประสบพบเจอมากับตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อของเขาเอง ซึ่งทางเสือน้อยได้นั่งฟังสองคนนี้คุยกัน สรุปตกลงกันที่ราคา 900 บาท รุ่นน้องคนนั้นยังเอากระเป๋าตัวเองส่งให้รุ่นพี่แทนกระเป๋าใบเก่า เรียกได้ว่าสลับกันใส่กันกลับบ้าน…
สำหรับโรงเรียนนี้แล้ว ความแตกต่างของกระเป๋ามันบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง เหมือนได้รับการสืบทอดมรดกอะไรทำนองนั้น จากพี่สู่น้อง กลายเป็นว่า ใครที่มีกระเป๋าเก่าสะพายมาเรียน ย่อมเจ๋งกว่าแจ๋วกว่าคนอื่น ยิ่งกับโรงเรียนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานยิ่งแล้วใหญ่
เสือน้อยจึงไปกว้านซื้อกระเป๋าจากรุ่นพี่ทั้งหลาย แน่นอนว่าเขาเลือกเอาเฉพาะสภาพดี ๆ โดยมีไอ้เข้มเป็นลูกมือเป็นช่างกล้องถ่ายภาพ
เพราะว่าเขานึกถึงตอนที่พ่อขายภาพ หรือนึกถึงพ่อเวลาเดินไปซื้อของเก่าสะสม “ถ้ามีประวัติความเป็นมา ราคาก็จะยิ่งแพงขึ้นไปอีก...”
เสือน้อยจึงเน้นไปที่ “พวกรุ่นพี่สวย ๆ หล่อ ๆ” ฝากเพื่อนรุ่นพี่ให้ไปติดต่อไปบอกอยู่นาน ส่วนพวกประธานนักเรียนบางคน ถึงขั้นมีกระเป๋าสีดำ
“มันเป็นรุ่นเดอะที่สุดของทางโรงเรียน” ซึ่งทางโรงเรียนยอมอนุญาตที่จะให้สะพายมาเรียนได้ แน่นอนเขาพยายามจะซื้อหามาให้ได้ แต่ราคาก็ตามแต่สภาพและการเจรจาตกลงกัน…
พักหลัง ๆ เสือน้อยขึ้นป้ายประกาศหน้าร้านรับซื้อกระเป๋า “เชิญชวนสืบสานและส่งต่อ” เขาเขียนบรรยายไปเรื่อย ก่อนไปจ้างร้านทำป้ายไวนิลมาติด จึงมีคนเดินมาขายเองถึงที่มากขึ้น ส่วนเสือน้อยก็ตีราคาจากสภาพ
เขาพยายามซื้อมาให้ได้แม้จะขาดไปบ้างเล็กน้อย เพราะไอ้เข้ม กระตุกต่อมคิด ได้ว่า “ยิ่งเก่า ขาดยิ่งดูมีประวัติไม่ใช่เหรอวะ?” เสือน้อยดวงตาเบิกกว้างจับจุดสำคัญได้ เดิมทีเขาก็คิดแบบนี้ไม่ใช่หรือ เขาจึงเปลี่ยนมากว้านซื้อหมดทุกสภาพ
หลังจากเที่ยววิ่งหามาหลายอาทิตย์ เสือน้อยก็ได้ตามที่ต้องการ เนื่องจากเขาลงมือก่อน และไม่มีคู่แข่งที่ทุ่มเงินไล่ซื้อของในปริมาณมาก ๆ ได้ และกลุ่มเป้าหมายที่เขาเล็งไว้คือพวกเด็ก ม.1 หรือ ม.4 ที่จะเข้ามาปีหน้า
หรือไม่ก็เป็นเด็กที่เรียนอยู่ เขาเชื่อว่าหากกระจายข่าว สร้างข่าวลือ สร้างกระแส มันต้องขายได้ราคาดีกว่านี้มากนัก เขาจึงกลายเป็นพ่อค้าผูกขาดตลาดไว้ แต่เพียงผู้เดียว…
เสือน้อยเก็บกระเป๋าบรรจุใส่ถุงพลาสติกไว้เป็นอย่างดี มันไม่เน่าไม่บูด…นี่คือช่องโหว่ที่เขาจะหารายได้จากกฎของโรงเรียน
โรงเรียนได้บังคับให้ใช้กระเป๋าตราของโรงเรียนมีเหตุผลมากมายเช่น “เพื่อความเป็นระเบียบ ประหยัดเงินในกระเป๋าผู้ปกครอง และเพื่อไม่ให้เด็กอวดร่ำอวดรวยแข่งกัน”
ทว่าที่เสือน้อยทำคือตีช่องโหว่จุดอ่อนของกฎโรงเรียน กระเป๋าที่พี่ชายส่งต่อให้น้องชายมีอะไรเสียหายกัน!?
อีกทั้งเขายังมีเวลาขายอีกห้าปี ทยอย ๆ ปล่อยไปบ้างก็ได้ “หากเหลือน้อยหน่อยก็จัดเปิดประมูลมันไปเลย เขาหัวเราะร่าอยู่คนเดียวเมื่อคิดได้เช่นนี้!”
...…
เขายังเตรียมของขายวันวาเลนไทน์ เช่น พวกกุหลาบ ตุ๊กตาอะไรทำนองนี้ สามารถเอามาใส่ไว้ในร้านทองสุขได้ ส่วนดอกกุหลาบปรากฏว่า แม่บอกในทุกปีมันก็จะมีพวกแม่ค้าไปตั้งร้าน ขายที่หน้าโรงเรียนนั่นแหละ ฉะนั้นจะขายอะไรก็ดูให้ดี
ดังนั้นเสือน้อย เมื่อถึงวันหยุดก็ชวนพ่อไปเดินตามตลาด ตามแผงดอกไม้ ร้านขายส่งตุ๊กตาทั้งในจังหวัดเอง และในกรุงเทพฯ
จนไปสะดุดตากับมาลัยข้อมือที่ร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของชมรมผู้พิการทำออกมาขาย เสือน้อยให้ความสนใจ ทั้งกับตัวชมรมเองและพวงมาลัยที่สีสันสวยงาม
พอเขาหยิบจับขึ้นมาดูก็ทำให้เขาย้อนนึกถึง “ละครเรื่องสังข์ทอง”
“ในตอนที่นางรจนาเลือกคู่…โดยการโยนมาลัยเสี่ยงทาย ให้เจ้าชายลูกท่านหลานเธอทั้งหลาย”
ดวงตาของเขาก็สุกสกาวขึ้นมาทันที ภายในหัวก็คิดไปไกล มันทั้งใช้ไหว้ครูบาอาจารย์ก็ได้ เพราะฉะนั้นเลือกสีออกมาให้แตกต่างหน่อย เช่น อันไหนให้ครู หรืออันไหนให้คนรัก แถมยังได้อนุรักษ์ความเป็นไทยไว้ด้วย
อีกทั้งยังได้สนับสนุนผลงานของชมรมผู้พิการทางอ้อมอีกด้วย “แบบนี้เรียกได้ว่า…ได้ต้องสองต่อแน่ะ!” แน่นอนว่าส่วนใหญ่ที่เขาอยากซื้อเป็น เพราะพวงมาลัยมันสวยจริง ๆ นี่คือหลักใหญ่ใจความ
เสือน้อยจึงนั่งคุยกับผู้จัดการร้านชมรมอยู่นานสองนาน เขาสอบถามอย่างละเอียดก็ปรากฏว่า ที่ชมรมรับทำมาลัยข้อมือ พร้อมดอกกุหลาบ พร้อมทำช่อดอกไม้ขายด้วย เสือน้อยได้ยินดังนั้นก็ดีใจ
“ราคาก็ต้องสมกับคุณภาพ และราคาไม่เกินตลาดมากนัก” นี่คือข้อเสนอที่ยื่นให้กับทางชมรม
ทางพ่อผันตั้งแต่ต้นจนจบพูดแทรกนิดหน่อย ที่เหลือก็นั่งดูลูกชายจัดการ
ส่วนพวกตุ๊กตา ของขวัญที่มอบให้ผู้หญิง ของขวัญที่มอบให้ผู้ชาย เสือน้อยกับพ่อก็พาลูกหมีไปเดินห้าง เดินตลาดนัด “เสือน้อยไม่รู้จริง ๆ ว่าผู้หญิงอยากได้ของอะไรแบบไหน?”
ลูกหมีที่เดินผ่านร้านต่าง ๆ ก็หยิบสติกเกอร์หัวใจขึ้นมาเป็นอย่างแรก จากในร้านขายส่งแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็เลือกปากกาดินสอ เธอชี้นิ้วทุกสิ่ง ส่วนเสือน้อยเดินตาม คล้ายคนรับใช้พาคุณนายมาจ่ายตลาด
เสือน้อยก็ผงกศีรษะให้พนักงานขายที่มาแนะนำ อยู่ด้านข้างเป็นเชิงว่า “เอาอันนี้!”
แต่ขายแค่วันเดียวดังนั้นจึงต้องคำนวณให้ดี เช่นพวกดอกไม้ มาลัย ถ้าเหลือเยอะเกินไปมันเน่าเสีย และขาดทุน ดังนั้นแม้จะถือว่าลองตลาดแต่ก็ไม่ควรประมาท
ส่วนพวกของไม่เน่าไม่เสียเช่นตุ๊กตาเก็บดี ๆ อยู่ในบ้านได้ยาว ๆ เสือน้อยจึงสั่งเพิ่มขึ้นหน่อย แถมยังถามความเห็นลูกหมีตลอดเวลาที่เลือกซื้อ…
ทุกวันนี้ที่บ้านห้องว่าง ๆ ก็กลายเป็นโกดังเก็บของขนาดย่อม ๆ ของเสือน้อย ทั้งตุ๊กตา สติกเกอร์ และของน่ารัก ๆ ที่เอาไว้ขายในร้านทองสุข “โดยเฉพาะกระเป๋านักเรียน”
-------------------
เมื่อเสือน้อยเริ่มหาทางใช้ช่องโหว่ของทางโรงเรียน สีเทา ๆ ก็เริ่มปรากฏให้เห็น