ตกหลุมรัก
ตอนที่1
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร วันนี้เป็นวันเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่วันแรกของทางมหาลัย ผู้คนมากมายต่างพากันมาสมัครเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อศึกต่อในระดับปริญญาตรี หนึ่งในนั้นก็มีเด็กสาวที่เดินทางมาจากภาคอีสานของไทย เพื่อมาสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้กับเพื่อนสนิทของเธอ
“ลูกหว้า ตึกที่เราต้องไปยื่นเอกสารสมัครเรียนมันอยู่ตรงไหนกันแน่นะ ฉันมองตึกแต่ละตึกจนเวียนหัวตาลายไปหมดแล้ว”
กฐิน เพื่อนสนิทของลูกหว้าเอ่ยขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เดินทางมาในกรุงเทพฯ บรรยากาศในเมืองหลวงช่างแตกต่างจากบ้านนอกที่เคยอยู่ซะเหลือเกิน มองไปทางไหนก็มีแต่ตึกใหญ่โต รถรามากมาย รอบ ๆ มหาลัยมีแต่ตึกสูง ๆ อาคารเรียนก็มีหลายอาคาร พื้นที่ในมหาลัยต่างก็กว้างขวาง
“เราลองถามคนดูไหม ถามพวกพี่ ๆ เค้าดูว่าตึกไหนกันแน่ที่เราต้องไปยื่นเอกสาร” ลูกหว้าพูดขึ้นเพื่อแสดงความคิดเห็น
“อืม ดีเหมือนกัน งั้น…เราถามพี่ผู้ชายคนนั้นดีไหม คนที่ยืนกดโทรศัพท์อยู่ข้างรถคันสีขาว ๆ นั่นน่ะ” กฐินพูดขึ้น พลันลูกหว้าก็ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง
“อืม งั้นเราไปถามพี่เขากัน”
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าอาคารที่เขารับสมัครนักศึกษาใหม่อยู่ตรงไหนคะ พอดีพวกเราจะไปยื่นเอกสารสมัครเรียนค่ะ แต่หาตึกไม่เจอ”
กฐินเอ่ยถามขึ้นเมื่อเดินมาถึง ก่อนผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นจะหันหน้ามามองตามเสียงที่เอ่ยถาม ทันใดนั้นสายตาคมกริบก็ได้ประสานกันกับดวงตากลมโตสีนิลของสาวน้อยอีกคน ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อนคนที่เอ่ยถามเขาเมื่อสักครู่ ดวงตากลมโตสีนิลของเธอมันช่างดูสดใส บวกกับรอยยิ้มหวาน ๆ ของเธอ ที่กำลังรอฟังคำตอบจากเขา ใบหน้าหวานรูปไข่จมูกโด่งรั้นปลายเชิดนิด ๆ บ่งบอกว่าแม่สาวน้อยคนนี้คงแสบใช่เล่น เครื่องหน้าของเธอคนนี้ช่างสวยน่ารักหมดจด ดูเป็นธรรมชาติไม่ผ่านมีดหมอ เธอสวย แม้เธอจะไม่ได้แต่งหน้าอะไรเลยก็ตาม
“อ่ะแฮ่มมม!!! จะมองเพื่อนหนูอีกนานไหมคะ”
กฐินพูดขึ้นเมื่อเห็นชายหนุ่มตรงหน้ามองเพื่อนสนิทตัวเองด้วยสายตาหยาดเยิ้มเหมือนคนใจลอย ชายหนุ่มเมื่อพอได้สติจึงออกจากภวังค์
“เมื่อกี้..คุณถามผมว่าอะไรนะ??”
“หนูถามคุณว่า อาคารที่เขารับสมัครนักศึกษาใหม่อยู่ตรงไหนเหรอคะ พอดีพวกเราจะไปยื่นเอกสารสมัครเรียนค่ะ แต่หาตึกไม่เจอไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน” กฐินพูดขึ้นอีกครั้งและรอฟังคำตอบจากชายหนุ่ม
“เอ่อ ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน คือมันค่อนข้างซับซ้อนและต้องเดินผ่านอีกหลายตึก เพราะที่พวกเรายืนคุยกันอยู่ตรงนี้ มันเป็นทางด้านหลังของมหาลัย พวกคุณไม่ได้เข้ามาทางด้านหน้า ก็เลยหาตึกที่ต้องไปยื่นเอกสารยากหน่อย งั้นเอางี้ไหม เดี๋ยวผมพาไปก็แล้วกันเพราะถ้าให้อธิบายว่าอาคารไหนอยู่ตรงไหน ผมเองก็คงอธิบายไม่ถูก” เจไดพูดขึ้นและเสนอตัวจะพาสาวน้อยสองคนเดินไปเอง
“ว่าไงแก ให้พี่เขาพาไปไหม” กฐินถามเพื่อนสนิทอีกครั้งเพื่อขอความเห็น
“เอางั้นก็ได้แก ถ้าพี่เขาสะดวกและไม่เป็นการรบกวน” ลูกหว้าเอ่ยขึ้นก่อนจะปรายตามองไปทางชายหนุ่มตรงหน้า ด้วยท่าทางเกรงใจอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นการรบกวนอะไร งั้นเราก็ไปกันเลย จะได้ไม่เสียเวลา” ทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าไปอาคารที่รับสมัครนักศึกษาทันที ระหว่างทางเจไดก็ได้ชวนสาวน้อยทั้งสองคนพูดคุยไปด้วยอย่างเป็นมิตร
“ไม่ทราบว่าพวกคุณมาจากที่ไหนเหรอ”
“พวกหนูมาจากต่างจังหวัดค่ะ พวกหนูเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด พอจบม.6ก็เลยมาสมัครเรียนที่นี่ เพราะที่นี่เป็นมหาลัยเปิด พวกหนูเลยกะว่าจะได้ทำงานไปด้วย และเรียนไปด้วยค่ะ” กฐินเอ่ยตอบทันทีที่ชายหนุ่มถาม
“อ่อ ว่าแต่ชื่ออะไรกันบ้างครับ ส่วนผมชื่อเจได” เจไดถามขึ้นก่อนจะชายตาไปมองสาวน้อยตาสีนิลที่เดินอยู่ข้าง ๆ เพื่อน
“หนูชื่อกฐินค่ะ ส่วนเพื่อนหนูชื่อลูกหว้า”
กฐินเอ่ยตอบแทนเพื่อน เพราะรู้สึกว่าชายหนุ่มสุดหล่อที่แสนจะใจดี และยอมเสียสละเวลาพาพวกเธอเดินไปหาอาคารสมัครเรียน จะสนอกสนใจในตัวเพื่อนสาวคนสนิทเป็นพิเศษ
“คุณเป็นนักศึกษาที่นี่เหมือนกันหรอคะ” ลูกหว้าเอ่ยถามขึ้นบ้าง
“เปล่าครับ พอดีผมมาหาเพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาอยู่ที่นี่ ผมเพิ่งได้กลับมาเมืองไทยในรอบ5ปี เลยนัดเจอเพื่อนที่นี่ หลังจากเพื่อนสอนเสร็จก็คงจะไปสังสรรค์กันต่อตามประสาคนโสด”
เจไดตอบคำถามสาวน้อยตรงหน้าและเน้นคำว่าโสด จนลูกหว้าเองรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวลามไปจนถึงใบหู และนั่นทำให้เจไดชอบใจมากนัก เพราะเขารู้ได้ทันทีว่าเธอได้เขินอายกับคำพูดของเขา
“ผ่านตึกนี้ไปก็จะถึงอาคารรับสมัครเรียนแล้วครับ” เจไดพูดขึ้นอีกครั้ง
“งั้นคุณส่งพวกหนูถึงตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพวกหนูเดินต่อกันเอง” กฐินเอ่ยขึ้น
“เอางั้นก็ได้ครับ ว่าแต่จะเป็นไรไหมถ้าผมจะขอไลน์น้องลูกหว้า..??” เจไดพูดขึ้นและรอคำตอบจากเธออย่างใจจดใจจ่อ
“คุณจะขอไลน์เพื่อนหนูไปทำไมล่ะ ถ้าจะจีบบอกไว้ก่อนเลยนะว่าไม่ได้เด็ดขาด เพราะเพื่อนหนูมีแฟนแล้ว” กฐินพูดขัดคอขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก
“เผื่อว่าผมและเพื่อนมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดแถวๆบ้านเกิดพวกคุณ จะได้ถามว่าต้องไปเที่ยวตรงไหน หรือเผื่อจะได้แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้กับผมไงครับ ไม่ได้จะอะไรหรอกน่า..คิดมากแทนเพื่อนจริง ๆ นะเธออะ”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ จู่ ๆ นึกจะขอไลน์เพื่อนหนูก็ขอ แถมเพิ่งเจอกันเมื่อตะกี้อีก รวดเร็วดีจริ้ง”
“เอาน่า ให้พี่เขาไปเถอะไม่เป็นไรหรอก เผื่อเขาไปเที่ยวเราจะได้แนะนำ เป็นการตอบแทนที่พี่เขาพาเราเดินมาตั้งไกล” ลูกหว้าพูดขึ้นและยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างจริงใจ ซึ่งหารู้ไม่ว่า ชายหนุ่มแบดบอยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
พอแลกไลน์กันเสร็จแล้วลูกหว้าและกฐินก็ขอตัวไปยื่นเอกสารสมัครเรียน ส่วนชายหนุ่มก็เดินยิ้มกลับมาที่รถ เพื่อมารอเพื่อนของเขาตรงที่เดิม เมื่อนึกถึงใบหน้าหวาน ๆ กับดวงตาสีนิลนั้นแล้วก็พลันพูดขึ้นมาเบา ๆ คนเดียว
“เธอติดกับดักฉันแล้วล่ะ แม่สาวน้อยคนร้อยเอ็ด”
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวนะมึง สาวน้อยร้อยเอ็ดอะไร มีไรน่าตื่นเต้นจะพูดให้กูฟังป่ะไอ้เสือ” อาชาเพื่อนสนิทเจไดพูดขึ้น เมื่อเดินมาถึงก็เห็นไอ้เพื่อนหน้าหล่อของเขายืนกดโทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับคนบ้าติดยาดมกาว
“เปล่า ก็แค่เจอของถูกใจ”
“แหม๋..นี่กูเพื่อนมึงนะ ต่อให้มึงไม่ตอบหน้ามึงก็บ่งบอกกูทุกตารางนิ้วอยู่แล้วว่าเจอเหยื่อสาวรายใหม่” อาชาพูดดักคอขึ้นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะพอจะรู้จักนิสัยใจคอเพื่อนของตัวเองดีพอสมควร
“รู้แล้วก็ยังจะถาม”
“ว่าแต่…รายนี้แจ่มไหมวะ หน้าตาเป็นยังไง ขาว สวย หมวย แล้วก็อึ๋ม สะบึ้ม ๆ ไหมล่ะ?”
“น่ารักว่ะ ใส ๆ เป็นธรรมชาติ ดูไม่พยายามดี”
“ไหนมึงบอกชอบแบบเซ็กซี่ ๆ ร้อนแรงๆ ไม่ใช่หรอวะ แบบใส ๆ ไหนว่าไม่ชอบไง”
“คนเรามันต้องเปลี่ยนแนวชอบบ้างสิวะ กินแต่ของแบบเดิม ๆ มันก็เบื่อ ถ้าได้ลองเคี้ยวหญ้าอ่อนบ้างก็อาจจะถึงอกถึงใจกว่าก็ได้นะ”
“ไอ้นี่..อย่าบอกนะมึงว่าอยากกินเด็ก กูว่ามึงไปเปลี่ยนความคิดมึงใหม่ด่วน ๆ เลยนะถ้าไม่อยากเจอคดีพรากผู้เยาว์” อาชาพูดขัดขึ้นแบบหัวชนฝาบ้าง
“เอาน่า ก็ไม่ได้เด็กขนาดนั้น นี่เพิ่งมาสมัครเรียนต่อมหาลัย ก็18-19แล้วป่ะ ไม่เด็กแล้วนะเว้ย!” เจไดพูดขึ้น
“อย่าบอกนะว่า มึงจะจีบเด็กมาสมัครเรียนเป็นนักศึกษาใหม่ของที่นี่ วันนี้!!”
“เออ แล้วยังไง?”
“ไม่ยังไง กูแค่ไม่คิดว่าตอนอยู่นิวยอร์กมึงจะอดอยากปากแห้ง ถึงกับขนาดต้องหน้ามืดตามัวตาลายมาจีบเด็กนักศึกษา ที่กำลังจะมาเป็นลูกศิษย์กูในอนาคต เฮ้อ!”
อาชาต่อว่าเพื่อนพร้อมปลงตกไปกับความคิดของเพื่อน ที่ตกหลุมรักเด็กนักศึกษาที่มาสมัครเรียนวันนี้วันแรก
“กูชักอยากจะเห็นหน้าแม่สาวน้อยร้อยเอ็ดคนนี้ซะแล้วสิ” อาชาพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้าเพื่อน และนึกไปถึงเด็กสาวคนนั้น ว่าจะรับมือกับเพื่อนคนนี้ของเขายังไง และได้แต่หวังว่าแม่สาวน้อยคนนี้จะหลุดพ้นเงื้อมมือไอ้เสือร้ายตัวนี้ให้ได้….