ตอนที่ 1
“โอ๊ยย..โอ๊ยย ช่วยด้วย ช่วยด้วย..ช่วยข้าด้วย ข้าเจ็บ ข้าปวด ข้ากลัวแล้ว กลัวแล้ว พอเถอะ หยุดสักทีเถิด โอ๊ยย”
เสียงร้องในคืนเดือนเพ็ญ ปลุกให้ดวงตาที่กำลังหลับพริ้มต้องลืมตื่นขึ้น ร่างสูงใหญ่กำยำแข็งแรงของกานต์ ต้องทะลึ่งพรวดด้วยความตกใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องอีกครั้ง หลังจากที่ได้ยินมาแล้วเมื่อครั้งที่เขาได้กลับมาบ้านและหลับนอนในคืนแรก
“เสียงนี้อีกแล้วหรือ?”
กานต์พึมพำเบา ๆ ก่อนจะก้าวลงจากที่นอนเดินออกไปด้านหลังของห้องนอน พยายามเงี่ยหูฟังเสียงร้องนั้น
“โอ๊ยย พอสักทีเถอะ ข้าเจ็บ ข้าปวด พอทีเถอะ อย่าทำข้าอีกเลย พอเถอะ..ฆ่าข้าให้ตายเสียทีเถอะ โอ๊ยย”
กานต์ได้ยินไม่ถนัดนักว่าเสียงที่ร้องอย่างโหยหวนนั้นเป็นเสียงของคนประเทศไหน แยกไม่ออกด้วยว่าเสียงของหญิงหรือชาย มันฟังคลุมเครือ แต่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
เขาพยายามจะฟังให้ชัดว่าเสียงนั้นดังมาจากไหน เขารู้สึกเหมือนมันอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็ไม่สามารถจับจุดได้ถูก เขาพยายามฟังอยู่นาน เสียงร้องนั้นก็ดังหายไป ลอยไป ห่างออกไป หรืออาจจะเบาลงก็อาจจะเป็นได้
“เสียงคน เสียงคนแน่ ๆ ใครกันนะ”
กานต์พยายามถามตัวเองอยู่ในใจแล้วไม่อาจจะข่มตาให้หลับลงได้ เช่นเดียวกับมัชฌิมาสาวน้อยวัยยี่สิบปี เธอได้ยินเสียงร้องนั้น ทำให้หัวใจของเธอร่ำไห้อย่างไม่หยุดหย่อน มือเรียวบางกำเข้าหากันแน่น
สายตาที่คมเจือแววหวานที่ซ่อนแววเศร้าเอาไว้ จ้องมองไปยังปราสาทสีงาช้างที่โดดเด่นท่ามกลางคืนเพ็ญที่สุกสกาวอร่ามตาอย่างสวยงาม หากแต่เจ้าของเสียงร้องนั้นกลับเจ็บปวดทรมานเจียนขาดใจ
“ป้า ข้าขอโทษ ที่ไม่อาจจะช่วยป้าได้ เพราะข้าคนเดียวที่ทำให้ป้าต้องรับเคราะห์กรรมนี้”
มัชฌิมาครุ่นคิดอยู่ในใจแม้สายตายังจ้องมองไปที่ยอดปราสาทที่สูงตระหง่านราวตึกยี่สิบชั้นนั้น เธออยากจะช่วยคำหยาด ป้าของเธอใจแทบขาด แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะลำพังตัวของเธอ คงเดินเข้าไปหาที่ตายแน่ ๆ หากผลีผลามเข้าไป
หากเธอตายง่าย ๆ คงไม่มีปัญหาอะไร มันจะเป็นปัญหาหากเธอไม่สามารถช่วยป้าของเธอออกมาได้ มิหนำซ้ำคนอื่นก็อาจจะเป็นภัยภายหลังหากเธอบุ่มบ่ามทำเช่นนั้น เพราะฉะนั้นเธอต้องอดทนและใจเย็นที่สุด
เหล็กกล้าที่ถูกเผาจนแดงฉานในเตาเผาที่ไฟลุกโชนอย่างร้อนแรง ถูกคีบออกมาแล้ววางทาบไปยังเนื้อตัวของคำหยาดหญิงวัยห้าสิบปีด้วยมือเรียวบางของรศยาหญิงวัยสี่สิบต้น ๆ ทำให้คำหยาดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หล่อนหวาดกลัวพยายามดิ้นรนหนีอย่างรนราน
แต่ไม่สามารถทำได้เพราะทั้งมือและเท้าถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวนที่ไม้รูปกางเขน แม้หล่อนไม่สามารถจะยืนได้ด้วยขาเพราะเรี่ยวแรงโรยรา ก็ไม่สามารถจะนั่งลงถึงพื้นได้เพราะถูกรั้งไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่
หล่อนพยายามจะไม่ร้อง แต่ไม่อาจจะทนต่อความเจ็บปวดและทารุณที่ภูตมนต์ดำในร่างของหม่อมราชวงศ์ชายระพี รัศมีจำรูญ ลุงของกานต์ ได้สะกดรศยาให้กระทำต่อหล่อนได้
แม้หล่อนพยายามจะไม่ส่งเสียงเพราะรู้ดีว่าเสียงร้องของหล่อนจะต้องนำทางมัชฌิมาให้ตกหลุมพรางของภูตมนต์ดำที่อำมหิตตนนี้ แต่มันก็มีวิธีทารุณหล่อนจนต้องร้องออกมาจนได้
“ฆ่าข้าเสียเถอะ รศยา ฆ่าข้าสิ อย่าทารุณข้า ข้าเป็นคนเมืองลับนครเหมือนเจ้า เจ้าทำแบบนี้ เทพเจ้าจะลงโทษเจ้า เจ้าทำร้ายข้า ทำร้ายคนเมืองลับนครด้วยกัน เจ้ากำลังทำผิดกฎ..โอ๊ยย!”
คำหยาดพยายามอ้อนวอนและให้รศยารู้สึกตัวแต่ภูตมนต์ดำกลับสะกดรศยาให้ทารุณคำหยาดอย่างหนักจนหล่อนกรีดร้องออกมาแทบไม่ขาดระยะ
“อย่าหยุดยั้งเป็นอันขาด หากเจ้ารักข้า หญิงคนนี้มันทำร้ายข้า เจ้าต้องแก้แค้นให้ข้า ข้าเจ็บเพราะมัน เจ้าต้องเชื่อข้ารศยา”
ภูตมนต์ดำในร่างของหม่อมราชวงศ์ชายระพี รัศมีจำรูญชายวัยหกสิบที่ยังดูหล่อเหลาร่ายอาคมเป่าไปยังร่างของรศยาที่สะลืมสะลืมเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ให้ตื่นตาโพลงมองหน้าคำหยาดด้วยแววแห่งความชิงชัง
หล่อนไม่ฟังคำทัดทานที่แทบไม่เป็นศัพท์ของคำหยาด กระหน่ำแส้ลงไปยังร่างที่อ่อนแรงอย่างไม่หยุดยั้งและไม่เหน็ดเหนื่อย ทำให้คำหยาดที่เจ็บเจียนขาดใจกรีดร้องโหยหวน
“ดีมาก ทำให้มันร้องดัง ๆ เสียงของมันจะทำให้ความฝันของข้าสำเร็จ เมื่อความฝันของข้าสำเร็จเมื่อไหร่ เจ้าเองก็จะได้สบาย รศยา”
“ได้นายท่าน เพราะข้ารักท่าน สิ่งใดที่ท่านปรารถนา ข้าจะทำ”
รศยารับคำสั่งแล้วก็ใช้คีมหยิบเหล็กในเตาเผานาบไปยังใบหน้าและลำตัวของคำหยาด แม้ว่าคำหยาดจะพยายามดึงพลังในตัวมาช่วยอย่างน้อยก็ไม่ให้เจ็บปวดมากมายแต่ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเป็นคืนเดือนเพ็ญพลังของหล่อนจะแผ่วเบาอีกทั้งอยู่นอกเมืองลับนคร ตบะและพลังที่สั่งสมจึงไม่สามารถนำมาใช้ได้ เว้นเสียแต่ในคืนปกติที่หล่อนสามารถจะเรียกพลังมาใช้ได้บ้างแต่ไม่มากนัก
คำหยาดยังคงกรีดร้อง บุคคลที่ได้ยินเสียงชัดเจนคือมัชฌิมา ส่วนคนอื่นอาจจะได้ยินบ้างแต่เพียงแผ่ว ๆ และหาทิศทางไม่ถูก เพราะเวทมนต์ของภูตมนต์ดำ
มัชฌิมาได้อาศัยอยู่ในวัดแห่งหนึ่งโดยไม่มีใครรู้เห็นเพราะแรงอธิษฐานจากลูกแก้ววิเศษที่เธอเก็บเอาไว้กับตัว เธอพยายามไปหาป้าของเธอเพื่อหาหนทางช่วยเหลือ แต่ไม่สามารถทำได้ สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คือต้องหาใครสักคน ตามคำบอกเล่าของแม่เฒ่าจิตตรี ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพของคนเมืองลับนคร
“ใครกันนะที่เกิดระหว่างกลางวันและกลางคืน เกิดระหว่างปีสองปีคาบเกี่ยวกัน เกิดระหว่างดินแดนสองดินแดนและต้องมีสายเลือดของมนุษย์และคนเมืองลับนคร”
มัชฌิมารู้สึกกลัดกลุ้มมากเพราะเธอไม่รู้จะไปหาคนที่มีคุณสมบัติเหล่านั้นได้ที่ไหน เพราะคนคนนั้นจะสามารถทำลายดวงวิญญาณของภูตมนต์ดำให้แตกดับได้ เมื่อนั้นเธอจะสามารถช่วยคำหยาดให้รอดพ้นความทุกข์ทรมานนี้
“ป้าขา ท่านทนอีกหน่อยนะ หลานกำลังหาคนคนนั้นอยู่ ท่านต้องอดทนเพราะป้าคือญาติเพียงคนเดียวของหลาน”
เธอคิดในใจก่อนจะออกจากวัดแห่งหนึ่งเดินไปตามทางเพื่อสืบหาคนที่เธอต้องการ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนเธอจะอาศัยลูกแก้ววิเศษในการพลางตัว เวลาไหนที่ต้องการให้คนเห็น ก็จะอธิษฐานให้คนเห็นแล้วพูดคุยซักถามเขาเหล่านั้น แต่เพียงไม่นานที่เธอจะออกไปแล้วให้คนเห็น
คนส่วนมากก็จะไม่คุยกับเธอ เพราะเครื่องแต่งกายของเธอแปลกและยังมีผ้าคลุมหน้าอีก แม้มีบางคนยอมพูดคุยด้วยเพราะน้ำเสียงที่เสนาะหูหวานละไมนั้นแต่ก็ใคร่อยากจะเห็นหน้าและอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร
พอจะซักถามบ้างเธอก็หายตัว ทำให้เขาพวกเขาเหล่านั้นนึกกลัวเธอมากกว่าอยากจะรู้จัก มัชฌิมาก็ยังไม่ยอมละความพยายามเธอยังตามหา เธอเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อดูประวัติของคนป่วยที่เข้ามา แต่เธอก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าพ่อกับแม่ของเขาเหล่านั้นเป็นใคร