บทที่2
อิทัง เม ญาตินัง โหนตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าเถิด ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุขด้วยเถิด
สาธุ
หญิงสาวในชุดผ้าถุงเสื้อลูกไม้สีขาวดูดีมีระเบียบเหมาะสำหรับการเข้าไปนั่งฟังธรรมในเขตอภัยทานใกล้บ้าน หญิงสาววางที่กรวดน้ำลงสองฝ่ามือเรียวพนมไหว้หลังจากเธอได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับสามีที่ล่วงลับไปนานหลายปีอีกทั้งบิดามารดาที่ด่วนจากลาขึ้นไปอยู่บนสวรรค์กันหมด
"จะกลับแล้วเหรอนารี ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรือลูก"เสียงของคนในหมู่บ้านดังขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจัดข้าวของใส่ตะกร้าเตรียมตัวพร้อมจะกลับบ้าน วันนี้เป็นวันพระใหญ่ชาวบ้านจะนัดรวมตัวกันมาทำบุญซึ่ง'นารี'ก็คือหนึ่งในนั้น
"วันนี้จะมีพ่อค้ามาดูผลทุเรียนจ้ะป้าว่ามันจะตัดขายได้หรือเปล่า ฉันเลยต้องรีบกลับขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ไม่ได้อยู่ทานข้าวด้วย"
"ไม่เป็นอะไรถ้าอย่างนั้นเอ็งไปเถอะ"
"ฉันไปก่อนนะจ๊ะป้า"นารีกล่าวลาคนบนศาลา ก่อนเธอจะเดินลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มหลังจากที่เธอได้ทำบุญอุทิศกุศลส่วนบุญไปให้กับผู้ที่ล่วงลับไปนาน
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงแตรจักรยานคันเก่าดังขึ้นไปตลอดถนนสายหลัก ใบหน้าอ่อนหวานมีเสน่ห์ของนารีส่งยิ้มทักทายให้กับคนรู้จักตลอดทั้งเส้นทาง
"อ้าว หนูนารีกลับมาจากวัดแล้วเหรอจ๊ะ"
"จ้ะป้า หนูไปทำบุญให้พ่อกับแม่และพี่เข้มมา"นารีชะลอรถจักรยานเทียบกับส่วนยางพาราของป้ายุพินซึ่งห่างออกไปเพียงไม่ถึงหนึ่งกิโลก็จะถึงสวนยางพาราของเธอซึ่งตอนนี้คงมีเหล่าบรรดาลูกจ้างกำลังเก็บน้ำยางสดเตรียมเอาไปขาย
"หนูนารีนี่เป็นคนดีจริง ๆ ยังสาวยังแซ่แต่พอถึงวันพระทีไรก็มักจะเข้าวัดทำบุญไม่เหมือนเด็กสาวสมัยนี้ที่เอาแต่เที่ยวเล่นไม่สนใจงานไม่สนหลักสอนของพระพุทธศาสนา"
"..."
"ป้าได้ข่าวว่านางต้นอ้อมันกำลังจะแต่งงานเรอะ ไปได้ผัวอยู่กรุงเทพคงจะสบายมากเลยสินะ"
"ก็คงจะเป็นอย่างนั้นจ้ะป้า เห็นว่าจะลงมาหาหนูจะเอาการ์ดแต่งงานมาแจกอยู่เหมือนกัน"
"มันไปได้ผัวรวยป้าก็ดีใจกับมัน ตั้งแต่ที่แม่กับพ่อของมันตายมันก็กลายเป็นคนปากกัดตีนถีบตั้งแต่ยังเล็ก"นารีพยักหน้าเห็นด้วย ชีวิตของต้นอ้อปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย ซึ่งในตอนนั้นชีวิตของเธอกับต้นอ้อก็ไม่ต่างกันจนถึงวันที่สองเพื่อนสนิทต่างจะต้องพากันแยกย้ายเดินตามเส้นทางที่สวรรค์ลิขิตเอาไว้
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกต้นอ้อตัดสินใจกำเงินก้อนสุดท้ายเดินทางเข้ากรุงเทพเพื่อไปหางานทำหลังจากสูญเสียครอบครัวซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายอย่างมารดาไปด้วยโรคชรา
'ติดต่อกลับมาหากันบ้างนะ'น้ำเสียงสั่นเครือของนารีดังขึ้น สองเพื่อนสนิทยืดกอดร่ำลากันอยู่ที่ชานชาลารถไฟ ใบหน้าของสองเพื่อนซี้เพื่อนสนิทเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาเมื่อต้นอ้อตัดสินใจลาบ้านเกิดจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีหนีความลำบากมุ่งหน้าไปหางานทำในเมืองกรุงศรีวิไล
'ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ลืมแกเลยนารี แกเป็นทั้งเพื่อนและเป็นผู้มีพระคุณกับชีวิตของฉัน'นารีพยักหน้า เธอล้วงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากที่ซ่อนเอาไว้ ต้นอ้อน้ำตาไหลเมื่อเพื่อนสนิทหยิบเงินแบงก์ร้อยหลายใบยัดใส่ฝ่ามือของเธอไว้
'เก็บเงินนี่ไว้นะ นี่เป็นเงินเก็บที่ฉันไปรับจ้างเก็บน้ำยางมา ฉันให้แกเอาไปไว้ใช้'
'ไม่ ฉันรับไว้ไม่ได้'
'รับไว้เถอะ เงินนี้ฉันตั้งใจจะมอบมันให้แก'ต้นอ้อส่ายหน้าน้ำตาไหลพรากก่อนเธอจะพุ่งเข้าไปกอดเพื่อนรัก
'ดูแลตัวเองให้ดี ๆ ด้วยนะ แล้วก็อย่าลืมเขียนจดหมายส่งมาหาฉันบ้าง ฉันยังเป็นเพื่อนรักของแกเสมอ ต้นอ้อ'
'ฉันก็รักแก นารี เพื่อนรัก'หลังจากนั้นเป็นต้นมา นารีกับต้นอ้อก็ไม่เคยได้ติดต่อกันเพราะต่างฝ่ายต่างยุ่งอยู่กับการดิ้นรนใช้ชีวิตของตนเอง
นารีเด็กสาวมีใบหน้าและผิวพรรณสะสวยเธอได้ตกลงปลงใจคบหาและอยู่กันกับสามีอย่างเข้มเป็นเวลาสามปีหลังจากที่เธอเรียนจบมหาวิทยาลัย แต่ชีวิตคู่ของเธอชั่งโชคร้ายเมื่อสามีอย่างเข้มต้องมาประสบอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งเสียหลักเสียชีวิตคาที่ ทำให้นารีที่ยังสาวยังแซ่ต้องกลายมาเป็นแม่หม้ายสาวจนถึงทุกวันนี้
"นี่ค่ะคุณนารี ค่าน้ำยางสำหรับเดือนนี้"หลังจากที่นารีจูงรถจักรยานเข้ามาจอดใต้ถุนของบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ ลูกน้องที่เธอจ้างมาเก็บน้ำยางในสวนยางของเธอก็เดินดิ่งตรงมาพร้อมกับยื่นเงินในส่วนของเธอให้
"ขอบใจมากนะจ๊ะ แล้วนี่จะกลับกันแล้วเหรอ"
"จ้ะ"
"เงาะกับมังคุดที่ฉันเอาใส่ถุงเตรียมเอาไว้เอาใส่รถไปแล้วใช่ไหม"
"เอาไปแล้วค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ"
"ไม่เป็นไรจ้ะ เดินทางกลับดี ๆ นะ"ลูกจ้างยกมือขึ้นพนมไหวก่อนจะโบกมือลา
นารีถือตะกร้าที่ใส่ปิ่นโตเดินมานั่งยังแคร่ไม้ไผ่ซึ่งอยู่ใต้ถุนบ้าน สายตาก้มมองเงินก้อนใหญ่ในมือซึ่งเป็นรายได้ของการขายน้ำยางพาราในเดือนนี้
หลังจากที่เข้มสามีของเธอได้ด่วนจากไปเขาได้ทิ้งทรัพย์สินซึ่งเป็นบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ อีกทั้งยังมีสวนยางพาราและสวนผลไม้ไว้ให้ไม่ทำให้นารีเมียรักต้องไปตกระกำลำบาก เงินจากการขายน้ำยางในแต่ละเดือนทำให้นารีมีกินมีใช้ไม่ขัดสนและไหนจะยังสวนผลไม้ซึ่งตอนที่สามีอยู่เขาได้ปลูกต้นทุเรียนเอาไว้หลายสิบต้นจนมันเกิดเป็นผลผลิตให้เธอเอาไว้ขายพอให้เธอได้มีเงินเก็บออมเอาไว้
แม้นารีจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวดำรงการใช้ชีวิตอย่างเศรษฐกิจพอเพียงแต่น้อยนักที่จะรู้ว่าเธอก็คือเศรษฐินีดี ๆ คนหนึ่งนี่เอง
ครืด ครืด
เสียงมือถือที่ดังขึ้นทำให้นารีสะดุ้งหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิด ใบหน้าสวยสะคราญตายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา
"สวัสดีจ้ะต้นอ้อ เดินทางเป็นยังไงบ้าง"
"ก็ดี แต่เมื่อก้นเป็นบ้า"
"แล้วนี่ถึงไหนกันแล้ว"
"อยู่เพชรบุรี กำลังจะแวะซื้อขนมหม้อแกงไปฝากคนสวยแถวนั้น อาจจะถึงบ้านแกตอนใกล้ค่ำ"
"พอดีเลย เดี๋ยวฉันจะเตรียมมือเย็นเอาไว้ให้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม"
"อาหารทุกอย่างที่แกเป็นคนทำฉันกินได้หมด จริงด้วยสิ ทำอาหารรสชาติอ่อน ๆ ไว้สักสองสามอย่างด้วยนะ เผื่อว่าหนุ่ม ๆ เขาจะทานไม่ได้"หญิงสาวไม่ลืมแบ่งปันน้ำใจให้กับสองพี่น้องที่ติดสอยห้อยตามเธอมาด้วย
"ได้สิ แค่นี้ก่อนนะพอดีว่าพ่อค้าที่เขาจะมาติดต่อขอซื้อทุเรียนมากันแล้ว"
"โอเค"