1 ทางเลือก...ทางรอด
สายคู่สวยมองประกาศรับสมัครงานที่เพื่อนส่งต่อมาในกลุ่มไลน์ คิ้วเรียงตัวเป็นระเบียบขมวดเข้าหากันจนชิด ริมฝีปากบางเม้มอย่างใช้ความคิด คุณสมบัติของผู้สมัครนั้นก็ไม่ต่างจากงานทั่วไปนัก แต่มีสองข้อที่ทำให้คนกำลังต้องการใช้เงิน หยุดอ่านด้วยความสนใจ
ห้ามพกโทรศัพท์และห้ามติดต่อกับคนภายนอก ยกเว้นเป็นคำสั่งของนายจ้างหรือได้รับอนุญาตจากนายจ้างก่อนแล้วเท่านั้น ข้อนี้เธอคิดว่าคงไม่มีปัญหา เพราะถ้าจำเป็นที่จะต้องติดต่อกับคนอื่นเธอก็แค่ขออนุญาตคงไม่ยากเท่าไหร่ เงินเดือนจ่ายล่วงหน้า 50 % ข้อนี้น่าสนใจที่สุด นาทีนี้อะไรก็ตามที่ทำแล้วได้เงินหญิงสาวก็ยินดีจะทำ
“สนใจเหรอขิง”เสียงของเพื่อนทำให้ขิงหรือธันยมัยรีบกดออกจากแอปพลิเคชันไลน์ทันที หญิงสาวไม่อยากให้ใครรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังต้องการใช้เงินอย่างด่วนที่สุด ถ้าเธอไม่มีเงินมาจ่ายทางมหาวิทยาลัยจะไม่ให้เข้าสอบปลายภาคที่กำลังจะมีในอีก 2 วันข้างหน้า
“เปล่าหรอกแพร ก็แค่เห็นว่าเงื่อนไขมันแปลกๆ”
“ก็จริงนะขิง แพรก็เห็นในกลุ่ม ไม่น่าไว้ใจเลย ไม่ให้เราพกโทรศัพท์ถ้าเกิดพาเราไปขายล่ะ บรึ๋ย..ไม่อยากจะคิด”แพรพลอยส่ายหัว
“นั้นสิ ขิงก็ว่าอย่างนั้นแหละ” เธอเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน แต่พอรูมเมทเดินออกจากห้องไปหญิงสาวก็กลับมาอ่านประกาศนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจโทรศัพท์ไปตามเบอร์ที่ผู้ว่าจ้างลงไว้ในข้อความประกาศ
ร้านกาแฟเล็กๆ ห่างจากมหาวิทยาลัยถึง 20 กิโลเมตรคือสถานที่นัดหมายธันยมัยมาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง เธอมีอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะกลัวว่าจะถูกนายจ้างปฏิเสธกับข้อเรียกร้องของเธอ
ผู้ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งความสูงไม่น่าจะต่ำกว่า 185 ซม. เขากำลังเดินเข้ามาในร้านซึ่งตอนนี้มีเพียงเธอเป็นลูกค้าเพียงคนเดียว หญิงสาวเงยหน้ามองแล้วก็ส่งยิ้ม เขาคงเป็นคนที่ลงประกาศรับสมัครงาน
“สวัสดีค่ะ” ธันยมัยกล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้ เพราะดูแล้วคงจะอายุมากกว่าเธออยู่หลายปี
“สวัสดีครับ” หนุ่มใหญ่ยกมือรับไหว้ก่อนเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ “คุณธันยมัยใช่ไหมครับ”
“ค่ะ คุณคงเป็นคุณเซบาสเตียน” เธอได้คุยกับเขาทางโทรศัพท์มาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะเป็นชาวต่างชาติแต่เขาก็ใช้ภาษาไทยได้ดีเลยทีเดียว แต่ถ้าจะสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษหญิงสาวก็ไม่ขัดข้องเพราะเธอนั้นใช้ภาษาอังกฤษได้ดีพอกับภาษาไทยที่ใช้เป็นประจำ
“ครับ ผมเข้าเรื่องเลยนะครับ”
“ค่ะ”
เซบาสเตียนเริ่มสอบถามอีกฝ่ายถึงแรงจูงใจในการสมัครงานครั้งนี้ อันที่จริงจะเรียกว่าสอบสวนก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเขาถามทุกอย่างเกี่ยวกับเธอจนแทบจะรู้ไส้รู้พุง และด้วยความที่กลัวตัวเองจะไม่ได้งานธันยมัยก็บอกเขาไปทุกอย่างแม้กระทั่งสาเหตุที่ตัวเองต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วน
“คุณคิดไว้หรือยังว่าจะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่”
“คะ?” ใบหน้างามไม่เข้าใจกับคำถาม
“ผมให้คุณเรียกมาเลยว่าอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ผมจะจ่ายได้เท่าที่จ่ายไหวนะครับ” เขาหัวเราะในลำคอ แม้ว่าจะกำหนดค่าจ้างมาแล้วแต่ก็อยากฟังอีกฝ่ายเสนอมาก่อน
“ฉันไม่รู้ว่าจะเรียกเงินเดือนเท่าไหร่ เพราะลักษณะงานมันจะว่าเป็นเลขาฯ ก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นคนดูแลผู้ป่วยก็ไม่แน่ใจเพราะฉันยังไม่เจอคนที่จะต้องไปทำงานด้วย เอาเป็นว่าฉันขอเงินล่วงหน้าคุณ 4 หมื่นก่อนได้ไหม ส่วนเงินที่เหลือก็แล้วแต่คุณจะให้”
เงินจำนวนนี้เธอจะนำไปเป็นค่าเทอมและค่าหอพักที่แชร์กันกับเพื่อน แม้ช่วง 2 เดือนนี้เธอจะไม่อยู่แต่ก็ยังคงต้องจ่ายค่าเช่า
“คุณไม่กลัวว่าถ้าครบกำหนด 2 เดือนแล้วผมจะไม่จ่ายที่เหลือเหรอครับ”
“ก็ฉันไม่มีทางเลือก ถ้าถึงตอนนั้นคุณจะโกงก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ตอนนี้ฉันต้องการเงินมาจ่ายค่าเทอมก่อน”
“แล้วคุณจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่”
“คุณจะจ้างฉันใช่ไหม” เสียงนั้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ตามนั้น ผมเป็นคนชอบคนที่พูดตรงๆ”
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันพร้อมไปทำงานทันทีที่ออกจากห้องสอบวิชาสุดท้าย ถ้าคุณกลัวฉันจะหนีคุณไปรอที่หน้าห้องสอบได้เลย” แล้วเธอก็ส่งตารางสอบให้กับเขาทางไลน์
เซบาสเตียนยิ้มอย่างพอใจ ผู้หญิงคนนี้รูปร่างหน้าตาก็จัดว่าสวยกว่าที่คิดไว้ แถมยังฉลาดและมีไหวพริบ รู้จักต่อรอง ถ้าได้ไปทำงานกับเจ้านายเขาคงช่วยทางนั้นได้มาก อีกทั้งเธอยังใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี เห็นอย่างนี้ชายหนุ่มก็เบาใจ
ธันยมัยอ่านสัญญาจ้างงานอย่างละเอียดก่อนจะเซ็นชื่อลงไป ยื่นให้เขาหนึ่งฉบับและเก็บไว้กับตัวเองอีกหนึ่งฉบับ หลังจากนั้นชายตรงหน้าก็โอนเงินให้ตามเลขบัญชีที่แจ้ง
เธอมองตัวเลขในบัญชีสลับกับมองหน้าเซบาสเตียนอย่างสงสัยเพราะตัวเลขที่ต้องการกับจำนวนเงินเขาโอนเข้ามานั้นไม่ตรงกัน
“ทำไมเยอะจังคะ”
“4 หมื่นสำหรับค่าจ้างล่วงหน้าตามที่คุณขอ ส่วนอีก 4 หมื่นเอาไว้ให้คุณซื้อของใช้ที่จำเป็นของผู้หญิง สำหรับการเดินทางไปทำงานอยู่ที่เกาะ 2 เดือน”
“อยู่เกาะ?” ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
“ใช่ ครับ”
“ฉันต้องไปทำงานที่เกาะเหรอคะ ในสัญญาไม่เห็นมีเลย”
“ตายจริงผมคงลืมเขียนลงไป” เขายิ้มเจ้าเล่ห์
“คุณวางแผนมาแล้วใช่ไหม ถึงว่าล่ะทำไมยอมจ่ายเงินง่าย ฉันจะโอนเงินคืนคุณทั้งหมด” เธอประกาศกร้าว
“คุณลืมไปหรือเปล่าว่าสัญญาที่คุณพึ่งเซ็นไประบุไว้ว่าถ้าทำผิดสัญญาคุณต้องชดใช้เป็น 10 เท่าของจำนวนเงินที่รับไป คนฉลาดอย่างคุณคงคิดออกว่ามันเป็นเงินเท่าไหร่”
ธันยมัยหน้าซีดไม่คิดว่าตัวเองจะพลาดท่าให้กับเขา เพราะเอาแต่คิดจะหาเงินค่าเทอมจนลืมถามว่าต้องไปทำงานที่ไหน
“ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้”
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดเลย คุณใจร้อนไม่ถามให้ดีก่อน เอาเป็นว่าถึงวันออกเดินทางผมจะให้คนรับนะครับ”
“คุณทำให้ฉันไม่มีทางเลือก” เธอตัดพ้อ
“แต่คุณเลือกเองนะครับ ผมไม่ได้บังคับคุณเลยสักนิด”
“คุณคงไม่คิดพาฉันไปขายใช่ไหม ฉันชักไม่ไว้ใจคุณแล้ว ก่อนไปฉันคงต้องไปลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนว่าถ้าฉันหายไปเกินเวลาที่กำหนดให้ตำรวจออกตามหา”
“เชิญคุณทำตามที่ต้องการเลย ผมหวังว่าตำรวจคงจะเชื่อหรอกนะ เพราะเท่าที่รู้เหตุยังเกิดแจ้งความไปเท่านั้น”
เซบาสเตียนเดินออกไปแล้วแต่ธันยมัยยังนั่งอยู่ที่เดิม เพราะเธอไม่มีทางเลือกจึงต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ถูกวางไว้ข้างเตียง มุมในสุดของห้องนอน ห้องนี้เธอกับแพรพลอยช่วยกันจ่ายค่าเช่าคนละครึ่ง แม้ห้องจะไม่ใหญ่มากแต่มันก็เหมาะสมกับราคาที่จ่ายไป ในห้องไม่มีเครื่องใช้อะไรมากนัก มีเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะหนังสือทุกอย่างมีจำนวนสองชุดตามจำนวนคนเช่า เว้นแต่ห้องน้ำที่ต้องใช้ร่วมกัน แม้จะคับแคบแต่ข้อดีของมันคืออยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยมาก ใช้เวลาเดินเพียง 10 นาทีก็ถึง
“แพร ขิงจะไม่อยู่ห้องสัก 2 เดือนนะ” ธันยมัยบอกรูมเมท
“อ้าวแล้วจะไปอยู่ที่ไหน” ปกติทุกปิดเทอมเธอก็ไม่เห็นว่าเพื่อนจะไปไหน
“ขิงว่าจะไปช่วยงานญาติห่างๆ สัก 2 เดือน”
“ขิงมีญาติด้วยเหรอ แพรไม่เห็นรู้เลย”
“ก็ไม่เชิงญาติหรอก เคยรู้จักกันตอนที่พ่อยังอยู่ วันก่อนขิงบังเอิญได้เจอ เขาเลยชวนไปทำงานช่วงปิดเทอม”
“อ๋อ แล้วจะไปเลยเหรอ” เธอมองไปยังกระเป๋าเดินทางของเพื่อน
“จ้ะ สอบเสร็จก็คงไปเลย”
“บอกพี่ซันหรือยัง”
พี่ซันหรือภาสกรเป็นแฟนหนุ่มรุ่นพี่ของธันยมัยทั้งสองคบหากันมาตั้งแต่หญิงสาวเรียนอยู่ปีสอง ตอนนั้นเขากำลังเรียนอยู่ปีสุดท้าย
“เราติดต่อพี่ซันไม่ได้มาหลายวันแล้ว ที่ไซต์งานคงไม่ค่อยมีสัญญาณ ก็เลยได้แค่ฝากข้อความไว้เดี๋ยวก็คงเห็นเองแหละ” พอคิดถึงแฟนหนุ่มเธอก็เครียดขึ้นมาทันที เพราะครั้งล่าสุดที่เจอกันภาสกรมาขอยืมเงินเธอเพื่อไปเป็นค่ารักษาแม่ของเขาที่อยู่ต่างจังหวัดและบอกว่าจะใช้คืนให้หลังจากเงินเดือนออก แต่ก็ผัดมาเรื่อยจนเธอไม่มีเงินไปจ่ายค่าเทอม
ธันยมัยนั้นต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง เธอทำงานทุกอย่างที่ได้เงิน เพราะหลังจากพ่อของเธอจากไปหญิงสาวก็ไม่เหลือใครให้พึ่งพาอีกแล้ว เงินเก็บก้อนสุดท้ายที่ได้จากประกันชีวิตของพ่อเธอนำไปซื้อกองทุนเพราะคิดว่าระหว่างนี้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและเงินจากการทำงานพิเศษก็พอกับการใช้จ่าย แต่เมื่อภาสกรมาหยิบยืมมันเลยทำให้เธอเดือดร้อนอย่างที่เป็นอยู่
“แพร ค่าเช่า 2 เดือนที่ขิงไม่อยู่” เธอยื่นธนบัตรสีเทาจำนวน 4 ใบให้กับเพื่อน
“ขิงไม่อยู่ยังต้องช่วยหารค่าห้องอีก” แต่เธอก็รับเงินไปเพราะถ้าจะให้จ่ายคนเดียวก็คงไม่ไหว
“ก็ขิงกลัวแพรหารูมเมทคนใหม่ มาอยู่แทนขิง”
“แพรจะให้ใครมาอยู่ล่ะ อยู่กับขิงดีที่สุดแล้ว”
“ขิงก็คิดเหมือนกัน ไม่อยากต้องไปรูมเมทใหม่” เธอกับแพรพลอยเรียนอยู่คณะเดียวกันแต่คนละสาขาวิชาพอขึ้นปี 2 ก็เลยชวนกันมาหาหอพักและก็อยู่ด้วยกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เรื่องที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมนั้นธันยมัยไม่ได้บอกเพื่อนเพราะรู้ว่าเพื่อนของตัวเองก็ลำบากเหมือนกัน แม้ทางบ้านของแพรพลอยจะส่งเงินมาให้บ้างแต่มันก็ไม่มากถึงขั้นจะให้ใครยืม อีกทั้งเพื่อนของเธอก็ทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟในวันหยุดซึ่งค่าแรงก็น้อยนิด ไม่เหมือนกับตัวเองที่รับจ๊อบเป็นพริตตี้ให้กับงานเปิดตัวสินค้าที่มักจะคนมาจ้างอยู่เรื่อยๆ ถึงจะไม่ได้งานทุกวันแต่รวมแล้วก็ยังมากกว่าเงินพิเศษของเพื่อน ถ้าไปขอยืม แพรพลอยก็ต้องสงสัยว่าเงินที่หาได้นั้นมันหายไปไหน ภาสกรกำชับตลอดว่าไม่ให้บอกใครที่ตัวเองมาขอยืมเงินคนซึ่งยังเรียนไม่จบอย่างเธอ หญิงสาวเข้าใจภาสกรเพราะถ้าเธอเป็นเขาก็คงจะอายกับเรื่องนี้เหมือนกัน
พอคิดถึงแฟนหนุ่มธันยมัยก็หยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาดู หลายวันแล้วที่พยายามติดต่อภาสกร เพราะนอกจากเรื่องเงินแล้วเธอเองก็เป็นห่วงแฟนอยู่มาก ชายหนุ่มไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ครั้นจะไปหาที่ห้องพักก็กลัวว่าเขาจะไม่พอใจ หญิงสาวไม่อยากให้เขาต้องอึดอัดจนเกินไป
ธันยมัยไม่มีสมาธิอ่านหนังสือเอาเสียเลย เพราะมีเรื่องต้องคิดมากมาย จนในที่สุดก็ตัดสินใจเก็บหนังสือเข้าชั้นวาง ส่วนแพรพลอยนั้นหลังจากคุยกับเธอเสร็จก็ใส่แอร์พอร์ตแล้วนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ