บทย่อ
เพราะน้องสาวสุดที่รักถูกทำร้ายอย่างเลือดเย็น ทำให้พ่อเลี้ยงวินเซนต์แห่งปางไม้วินวนาเจ็บแค้นและต้องการให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้รับ โทษอย่างสาสม และเธอก็คือ 'เหยื่อ' ในการลงทัณฑ์ที่แสนเร่าร้อนของเขา ทว่า ยิ่งนานวันไป ความแค้นในใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นเชือกเส้นหนาที่ร้อยรัดหัวใจของพ่อเลี้ยงหนุ่มให้ผูกติดอยู่กับเธอ... “ผมขอเตือน อย่าคิดจะหว่านเสน่ห์ใส่ไอ้ก้อง เพราะถ้ามันรู้ว่าคุณเป็นอะไรกับผมล่ะก็ มันคงไม่คิดจะคว้าเมียเพื่อนไปเป็นเมียมันหรอก” “ก็ไม่แน่นะคะ ขนาดพ่อเลี้ยงที่เกลียดฉันนักหนายังถึงขนาดนอนกับฉันทุกคืนได้ นับประสาอะไรกับคุณก้องล่ะคะ” สาวเจ้าประชดเสียงเรียบแต่กลับทำให้พ่อเลี้ยงหนุ่มตาลุกวาว “อันตา!” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด รู้สึกถึงอารมณ์ที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่ในใจ ยามเมื่อมองรอยยิ้มมุมปากเหมือนเย้ยหยันของหญิงสาว วินเซนต์จะทำอย่างไรในเมื่อความแค้นของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความรักไปจนหมดสิ้น ความตั้งใจแรกที่หมายจะแก้แค้นกลับกลายเป็นว่าเขามอบหัวใจให้กับอันตา...ผู้หญิงที่เขาประณามว่าขายตัว มั่วผู้ชาย และทำให้น้องสาวของเขาต้องตายทั้งเป็น!
บทนำ
เหนือน่านฟ้าสามหมื่นแปดพันฟุต อันเป็นสถานที่ที่เครื่องบินลำยักษ์เหาะเหินข้ามน้ำข้ามทะเลจากอิตาลีสู่น่านฟ้าไทยยามค่ำคืนฟ้ามืด ผู้โดยสารชั้นบิซิเนสคลาสต่างพากันหลับใหลเพื่อรอเวลาให้นกยักษ์แตะพื้นแผ่นดินไทยในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ร่างหนึ่งนอนเหยียดขายาวพลางขยับตัวบนเก้าอี้ที่สามารถปรับเป็นที่นอนได้ ก่อนจะสะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้นมาและสะบัดผ้าห่มออกจากร่างกาย ชันกายลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ส่วนท้ายของตัวเครื่อง ชายหนุ่มบิดตัวเองเพื่อคลายความเมื่อยขบและมองสำรวจตัวเองในกระจกของห้องน้ำสุดหรูของสายการบิน ก่อนจะวักน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อให้สร่างง่วง
และพอสร่างง่วง ความเครียดก็เข้าจู่จับ
เจ้าของดวงหน้าคร้ามคมมีไรหนวดเขียวครึ้มเล็กน้อยกับนัยน์ตาสีเทาชวนฝัน พิศมองริ้วรอยแห่งความเครียดของตัวเองในกระจก พร้อมกับคิ้วหนาที่ขมวดมุ่น ริมฝีปากหยักลึกนั้นยกมุมปากพลางกัดฟันกรอดจนเป็นสันนูนเมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้รับรู้ข่าวร้ายจากไทยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ระหว่างที่เขากลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ประเทศอิตาลี
“คุณวินเซนต์ คุณหนูเวนิสอาการโคม่าหนัก” เสียงบอกเล่าของหนานเมือง ผู้จัดการปางไม้คนสนิทยังดังก้อง เป็นเหตุให้ วินเซนต์ มหาวงศกร อัสเตลาโน หรือพ่อเลี้ยงวินเซนต์ ชายหนุ่มเลือดผสมระหว่างไทย-อิตาเลียน เจ้าของปางไม้วินวนา ปางไม้ที่ใหญ่ที่สุดทางภาคเหนือ ต้องรีบบินกลับเมืองไทยทันที เมื่อรับรู้ถึงอาการป่วยของน้องสาวเพียงคนเดียวที่ถูกผู้ชายใจหยาบย่ำยีหัวใจให้แหลกลาญจนคิดจะจบชีวิตตัวเองด้วยวิธีโง่ๆ
วินเซนต์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะจัดการทำธุระส่วนตัว...ชายหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย เขาเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลที่ฝั่งอยู่ตรงผนังเครื่องบินบอกเวลาตีสามของประเทศไทย...อีกหกชั่วโมงกว่าก็จะถึงไทยแล้ว...วินเซนต์นึกอยู่ในใจและก้มหน้าก้มตาเดิน
“ว้าย!” เสียงหนึ่งร้องอย่างตกใจเมื่อถูกเขาชนเข้าอย่างจังจนเซจะหงายหลัง ดีที่เขาไวกว่ารีบรั้งเอวบางนั้นเข้ามาหาตัว
“ขอโทษครับ” เสียงห้าวนั้นดังทุ้มเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยความเคยชินเพราะสายการบินที่เขาโดยสารเป็นสายการบินต่างประเทศ ตรรกะง่ายๆ ทำให้เขาโพล่งภาษาอังกฤษออกมา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของคนในอ้อมกอดแล้ว เขาก็รู้ว่า...เธอไม่ใช่คนต่างชาติ
แอร์โฮสเตรสสาวเจ้าของใบหน้าเรียวรูปไข่สวยหวานฉาบด้วยเครื่องสำอางบางเบาแต่นัยน์ตากลับคมกริบเป็นสีนิลระยับ คิ้วเรียวสวยรับกับขนตาแพหนา จมูกรั้นนิดๆ กับริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูอ่อน ทำให้วินเซนต์ต้องย่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าผู้หญิงที่เขากอดอยู่นี้ไม่ใช่ชาวต่างชาติแต่อย่างใด...แต่เป็นคนไทย
“ขอโทษค่ะ ดิฉันเดินไม่ระวังเอง” แอร์โฮสเตรสสาวตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะขยับตัวออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามีเสน่ห์ดึงดูดจนทำเอาใจสาวแอบสะท้านไปเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวอะไร จู่ๆ เครื่องบินที่แล่นเหนือน่านฟ้าก็มีอันกระตุกด้วยหลุมอากาศทำเอาผู้โดยสารพากันตื่นตระหนก และหญิงสาวเองก็ถึงกับเซถลาเข้าสู่อ้อมกอดของวินเซนต์อีกครั้ง “ว้าย!”
“ใจเย็นๆ นะครับ” คราวนี้วินเซนต์ปลอบเธอเป็นภาษาไทยซึ่งก็ทำให้หญิงสาวย่นคิ้วอย่างฉงนแต่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัย เธอพยายามตั้งหลักเพื่อหาที่ยึดเกาะไม่ให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บจากหลุมอากาศยักษ์ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็เป็นอันเซล้มไปเสียทุกครั้ง จนสุดท้ายก็ต้องมาตกอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มที่ท่าทางจะหาหลักยึดได้อย่างรวดเร็ว
ผ่านไปประมาณห้านาที กัปตันสามารถบังคับเครื่องผ่านหลุมอากาศไปได้ พร้อมกับเสียงเซ็งแซ่ของผ้าโดยสาร วินเซนต์ขยับตัวมองคนในอ้อมกอดนั้นและค่อยๆ ดันเธอออกห่าง จึงได้เห็นใบหน้าสวยนั้นซีดไปเล็กน้อย
“ต้องขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยนะคะ” แทนที่จะห่วงตัวเอง หญิงสาวกลับเอ่ยขอโทษเขาเป็นภาษาไทยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นอุบัติเหตุผมเข้าใจ...เอ่อ...”
“อันตา...อันตาเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงหนึ่งดังขัดขึ้นมาจากห้องพักลูกเรือก่อนที่ร่างแอร์โฮสเตรสสาวชาวอิตาเลียนอีกสองคนจะโผล่ออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วงเข้ามาจับเนื้อจับตัวอันตาอย่างสำรวจ
“ไม่เป็นไรค่ะ...เอ่อ...ดิฉันขอตัวไปดูผู้โดยสารด้านนอกก่อนนะคะ” อันตาว่าเป็นภาษาอังกฤษกับเพื่อนสาวก่อนจะหันไปบอกกับเขาเป็นภาษาไทย และพากันเดินออกไปด้านหน้าเพื่อดูแลผู้โดยสารที่อาจจะได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่วินเซนต์มองตามเจ้าของร่างเล็กไปราวกับต้องมนต์สะกด ก่อนที่ริมฝีปากหยักลึกจะคลี่ยิ้มเล็กน้อยกับนัยน์ตาพราวระยับ
“อันตาหรือ...”
ถือว่าเป็นโชคดีที่การตกหลุมอากาศครั้งนี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ เพราะโดยส่วนมากหากหลุมอากาศใหญ่จะต้องมีผู้โดยสารได้รับอันตรายกันบ้าง บรรดาเหล่านางฟ้าจึงไม่ต้องทำงานหนักกันมากนักนอกจากเอ่ยขอโทษผู้โดยสารที่เกิดเหตุการณ์น่าตกใจขึ้น แม้ว่ากัปตันจะได้เอ่ยขอโทษผ่านอินเตอร์คอมแล้วก็ตาม
“ชูว์...ชูว์ เงียบสิลูก ไม่เป็นไรน้า...” เสียงพึมพำเป็นภาษาอิตา-เลียนดังมาจากมุมหนึ่งของเครื่อง ด้วยเด็กน้อยวัยเพียงหกเดือนตื่นกลัวและร้องไห้จ้าจนคนเป็นแม่เอาไม่อยู่ อันตามองสบตากับเพื่อนแอร์โฮสเตรสคนอื่นๆ ก่อนจะพยักหน้าเหมือนจะบอกว่าเธอรับผิดชอบหน้าที่นี้เอง
เรือนร่างแบบบางในชุดสีฟ้าสดเดินเข้าไปหาสุภาพสตรีชาวอิตา-เลียนที่กำลังหน้าซีดเพราะเกรงผู้โดยสารคนอื่นจะรำคาญเสียงลูกน้อย
“ไฮ...เด็กดี ร้องไห้ทำไมคะ...ไม่ต้องกลัวน้า...” อันตาย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับทารกในอ้อมกอดมารดา และส่งยิ้มพิมพ์ใจไปให้แม่ของหนูน้อย โดยหารู้ไม่ว่ารอยยิ้มนั้นได้ไปประทับอยู่ขอบๆ ใจของใครบางคนที่กำลังมองเธออยู่อย่าง...ไม่วางตา “ไม่ร้องนะคะเด็กดี...นิ่งน้าคนเก่ง” ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังส่งเสียงจิจ๊ะหยอกเอินกับเด็กน้อยที่มองเธอตาแป๋วทั้งที่ตาสีฟ้านั้นยังคลอด้วยน้ำตา ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นเด็กที่มีเพื่อนเล่นทำให้หนูน้อยยิ้มกว้างออกมาและส่งเสียงหัวเราะคิกคักเมื่อมือเรียวบางนั้นสัมผัสที่แก้มแดงจัด
“ขอบคุณนะคะ แล้วก็ขอโทษที่ตาหนูทำให้วุ่นวาย” เสียงมารดาหนูน้อยว่าอย่างขอบคุณซึ่งนางฟ้าคนงามก็ได้แต่ส่งยิ้มหวานและตอบกลับอย่างเป็นมิตร
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กจะต้องตกใจ ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” อันตาเอ่ยและชันตัวลุกขึ้นหมายจะเดินไปดูผู้โดยสารท่านอื่น ทว่าสายตากลับไปสบกับตาสีเทาของวินเซนต์เข้าพอดี และดูเหมือนเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลบสายตาสักนิด มีแต่เธอนั่นแหละที่รีบหลบวูบและเดินไปทางอื่นด้วยความรู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก
หกชั่วโมงผ่านไป เครื่องบินลงแตะพื้นประเทศไทย บรรดาผู้โดยสารต่างพากันขอบคุณกัปตันที่ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ก่อนจะแยกย้ายกันไปตามจุดหมายของตัวเอง วินเซนต์มองนาฬิกาข้อมือที่ปรับเวลาตามประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว บอกว่าเครื่องบินที่เขาจะต้องต่อเครื่องไปเชียงใหม่ใกล้จะออกในอีกหนึ่งชั่วโมง
ร่างสูงก้าวอาดๆ เข้าไปในแอร์พอร์ตเพื่อไปเชคอินต่อเครื่องกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ พร้อมกับกระเป๋าเป้เพียงใบเดียว ด้วยเขาไม่นิยมใช้กระเป๋าใบใหญ่เดินทางเพราะมันเสียเวลากับการรอรับกระเป๋าที่สายพาน
“คุณคะ...คุณคะ คุณวินเซนต์” เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่จะมีมือหนึ่งเอื้อมมาสัมผัสที่แขนแกร่งของเขา และเมื่อเขาหันไปมองใจก็ลิงโลดอย่างประหลาด ด้วยคนที่อยู่ตรงหน้าคือแอร์โฮสเตรสสาวอันตา ที่ตอนลงจากเครื่องเขาพยายามมองหาเธอแต่ก็ไม่พบ “คุณทำกระเป๋าสตางค์ตกค่ะ”
“เอ่อ...ขอบคุณครับ” วินเซนต์จับกระเป๋ากางเกงของตัวเองก่อนจะส่งยิ้มให้หญิงสาวที่ยื่นกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลมาให้...ไม่รู้หรอกว่ากระเป๋ามันตกไปตอนไหน แต่ก็ต้องขอบคุณที่มันตกเพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้เห็นใบหน้าหวานๆ ที่แสนจะสะดุดตาเขาอีก
“ด้วยความยินดีค่ะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ” อันตาว่าด้วยรอยยิ้ม ที่ต้องเรียกว่าฝืนยิ้มด้วยเวลานี้เธออยากจะอยู่ให้ไกลจากเจ้าของตาสีเทาชวนฝันคู่นี้เต็มที ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เกลียดตรงที่เข้าใกล้แล้วทำให้ใจมันเต้นไม่เป็นปกติ จากนั้นหญิงสาวก็พาร่างตัวเองหันหลังเดินจากไปทันที ทำเอาวินเซนต์ที่หมายจะหาโอกาสสานสัมพันธ์เรียกไว้ไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรหรอก สายการบินนี้เขาใช้บริการบ่อยเพราะเป็นสายการบินสัญชาติอิตาเลียน ยังไงซะก็ต้องได้เจอกันบ้างล่ะน่า...
“แล้วเราจะได้พบกันอีก คุณนางฟ้าอันตา” เสียงห้าวพึมพำก่อนจะจัดการเชคอินและเดินเข้าเกทผู้โดยสารในประเทศไป โดยหารู้ไม่ว่า โชคชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าเขาจะต้องเจอกับนางฟ้าของเขาอีกครั้ง...ในสถานะที่เขาเองก็ยังคาดไม่ถึง!