บท
ตั้งค่า

ใต้ร่มเงาของมาเฟีย (100%)

แต่คนอย่างมาร์เวลก็ไม่คิดจะแสดงออกว่าสนใจผู้หญิงที่ไม่อยู่ในสเปกเช่นเธอ คนปากดีอย่างมณีญาไม่เหมาะที่จะเป็นผู้หญิงของเขา ไม่สิเธอไม่สมควรที่จะได้รับความสนในจากเขาเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงปากจัดเถียงคำไม่ตกฟากดูยังไงก็หาเสน่ห์แห่งสตรีเพศไม่เจอ สำหรับเขาแล้วผู้หญิงจะต้องอ่อนหวานเมื่อเจรจาพาที ช่างออดอ้อนเอาใจเมื่ออยู่กันตามลำพังและเร่าร้อนราวโสเภณีเมื่ออยู่บนเตียง

“อ้าว…คุณเชย เจอกันอีกจนได้ ว่าแต่ไม่เจอกันตั้งหลายปียังเชยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ยุคนี้เขาพัฒนาไปถึงสี่จีแล้ว แต่เธอก็ยังไปไม่ถึงไหน เป็นผู้หญิงก็หัดพัฒนาตัวเองให้มีเสน่ห์ซะบ้างสิแม่คุณ ไม่ใช่ทำตัวเป็นป้าอยู่แบบนี้” เจอหน้าปุ๊บก็กระแนะกระแหนหญิงสาวราวกับคันปากมาช้านาน

“แหมๆๆ ไม่เจอกันนาน คุณมาเฟียเองก็ดูแก่ไปเยอะเลยนะคะ แถมยังปากดีไม่สร่างอีกต่างหาก นึกว่าจะไปเอาฟาร์มหมาที่ปากออกแล้ว ที่ไหนได้ดันเพาะพันธ์เพิ่มซะนี่” มณีญาสวนกลับทันควัน

“นี่เธอ มันจะมากไปแล้วนะ!” มาร์เวลเค้นเสียงลอดไรฟันใส่แม่สาวปากกล้าที่ลอยหน้าต่อปากต่อคำกับตนอย่างไม่สะทกสะท้าน พยายามสูดหายใจระงับอารมณ์ไม่ให้กระโจนเข้าขย้ำเธอ

“อ้าว…พี่แม็ค ไปไงมาไงครับเนี่ย มาแต่เช้าเชียว เอ๊ะ…หรือว่าจะเป็นบุพเพ” มาร์โครีบเข้ามาห้ามทัพทันทีที่ได้ยินเสียงทะเลาะดังเข้าไปถึงในบ้าน ท้ายประโยคไม่วายเอ่ยล้อพร้อมมองหน้าคนทั้งคู่ยิ้มๆ

“พูดให้มันดีๆ นะโว้ยไอ้มาร์ค ไม่งั้นแกโดนดีแน่” มาร์เวลถึงกับทำหน้าไม่ถูกกับวาจาขี้เล่นของน้องชาย ทำเป็นตีหน้ายัก์ใส่มาร์โค

“คร้าบๆ กลัวแล้วคร้าบคุณพี่ชาย” พ่อจอมกะล่อนหัวเราะขบขับแล้วแสร้งทำเป็นกลัวหงอ ทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลายังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มทะเล้น

“พี่ว่าจะมาเยี่ยมแด๊ดดี้หน่อย มีเรื่องจะคุยกับท่านด้วย” มาร์เวลหันไปสนใจน้องชายแทนยัยเชยจอมเถียง แล้วเดินนำหน้ามาร์โคเข้าไปในบ้าน ส่วนมณีญาก็เดินเลี่ยงออกไปทางสวนหลังบ้าน

“แด๊ดไม่อยู่หรอกครับ ไปเยี่ยมพ่อตาผมที่เมืองไทยยังไม่กลับมาเลย” พักหลังนายมาร์แชลแทบอยู่ไม่ติดบ้าน บินไปหาเพื่อนรักอย่างนายบริรักษ์ที่เมืองไทยเกือบทุกเดือน

“อ้าว…อีกแล้วเหรอวะ ช่วงนี้แด๊ดไปเมืองไทยบ่อยจัง หรือว่าแอบมีกิ๊กอยู่ที่ไทย” คนมาเสียเที่ยวตั้งข้อสันนิษฐานเล่นๆ

ทั้งที่เขาเองก็เพิ่งไปประเทศไทยมาหยกๆ แต่ไม่ยักรู้ว่าบิดาอยู่ที่นั่น ในใจก็แอบหมั่นไส้อีกฝ่ายอยู่นิดๆ แหม…ทำมาเป็นฝากความคิดถึงไปหาพี่ชายของสารวัตรภาคินัย ที่ไหนได้ตัวเองแอบหนีไปเที่ยวไทยโดยไม่ปริปากบอกสักคำระหว่างที่เขาโทรศัพท์ไปบอกกล่าว ว่าจะไปทำธุระสำคัญที่นั่น พ่อก็ยังทำเนียนว่าตนยังอยู่ที่ฝรั่งเศส ป่านนี้ทั้งสองฝ่ายคงเจอหน้ากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะพ่อของเขาเคยเกริ่นไว้ว่าหากไปไทยอีกครั้งจะไปเยี่ยมผู้มีพระคุณให้จงได้

“ไม่หรอก แกคงเหงาเลยไปเที่ยวมั้ง อีกอย่างเห็นบอกว่าพ่อตาผมชวนไปทำบุญด้วยแหละ” ปฏิเสธคำพูดติดตลกของพี่ชาย แล้วบอกถึงสิ่งที่ผู้เป็นพ่อไปทำที่เมืองไทย

“อ้าว…พี่แม็ค หวัดดีค่ะ มานานยังคะ” บุปผชาติเอ่ยทักพี่ชายของสามีเสียงใส ก่อนจะหย่อนสะโพกมนนั่งลงข้างกายมาร์โค

“หวัดดีน้องแก้ม มาสักพักแล้วล่ะ” มาร์เวลทักน้องสะใภ้กลับด้วยรอยยิ้ม

“งั้นอยู่ทานข้าวเช้าด้วยกันนะคะ”

“นะพี่ อยู่ทานข้าวกับผมก่อนนะ เราไม่ได้ทานข้าวด้วยกันนานแล้ว” มาร์โคคะยั้นคะยออีกแรงเมื่อเห็นท่าทีเหมือนจะปฏิเสธของพี่ชาย

“อืม…ก็ได้” คนโดนน้องชายและน้องสะใภ้รบเร้าจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ เพราะเขาไม่ชอบทานอาหารเช้าสักเท่าไร จะจิบเพียงกาแฟร้อนๆ และขนมปังเท่านั้น

“พี่แม็คมีธุระด่วนที่ไหนหรือเปล่าครับวันนี้” ระหว่างนั่งทานอาหารตามลำพังสองคนพี่น้อง เพราะบุปผชาติขอตัวไปดูความเรียบร้อยของลูกชายก่อนจะไปโรงเรียน มาร์โคก็เอ่ยถามพี่ชาย

“ไม่นี่ ทำไมเหรอ” มาร์เวลปฏิเสธก่อนจะย้อนกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“งั้นผมฝากไปส่งมณีญาที่เซฟเฮาส์ของเราได้ไหมครับ” เห็นว่าพี่ชายไม่มีธุระด่วนคนไม่ว่างก็ยิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็ออกปากไหว้วานพี่ชาย

“แล้วทำไมต้องเป็นพี่ด้วยวะ ลูกน้องแกไปไหนกันหมด ทำไมไม่ให้พวกมันไปส่งเธอ” มาร์เวลรวบช้อน แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“ผมใช้ให้ไปทำธุระหมดแล้วครับ อีกอย่างวันนี้ผมมีประชุมเช้า เลยไปส่งเธอด้วยตัวเองไม่ได้” มาร์โคส่งสายตาเว้าวอนพี่ชาย

“ไม่เป็นไรค่ะคุณมาร์ค เขียนแผนที่มาแล้วมณีจะหาทางไปเอง” คนที่ปฏิเสธจะรับอาหารเช้า มาทันได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องเข้าพอดี จึงโพล่งขึ้นอย่างเกรงใจ และไม่ต้องการให้มาร์เวลไปส่งทั้งที่เขาไม่เต็มใจ

“อวดเก่งแบบนี้ ก็หาทางไปเองแล้วกัน” มาร์เวลจ้องใบหน้าเชิดๆ นั้นนิ่ง ก่อนจะว่าอย่างไม่แยแส

“ใครถามความคิดเห็นของคุณไม่ทราบ ไม่ช่วยก็อย่ายุ่ง!” มณีญาโต้กลับเสียงสะบัด พลางตวัดหางตาใส่มาร์เวลด้วยความขุ่นเคือง

“นี่เธอหาว่าฉันเสือกเรื่องของเธออย่างนั้นเหรอ” มาร์เวลกัดฟันกรอด โมโหจนหน้าดำหน้าแดง เธอขยันยั่วโมโหเขาดีเสียจริง

“คุณพูดเองนะ ฉันยังไม่ได้พูดคำว่า ‘เสือก’ สักคำ จริงไหมคะคุณมาร์ค” มณีญาไหวไหล่น้อยๆ ไม่ยอมรับในข้อกล่าวหาที่เขายัดเยียดให้ ทำไมเธอต้องยอมรับมันด้วยในเมื่อคำนั้นยังไม่ได้หลุดออกมาจากปากเธอซะหน่อย จบประโยคยียวนมณีญาก็หันมาขอความคิดเห็นจากมาร์โค

“เอ่อ…ครับ” คนที่นั่งป็นคนกลางไม่ต่างจากกรรมการบนสังเวียนมวยในเวทีทำท่าอึกอัก นี่ก็พี่ชายนั่นก็เพื่อนเมีย แสนจะลำบากใจที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางสงครามน้ำลายของคนทั้งคู่

“นะครับพี่แม็ค ผมขอร้องล่ะไปส่งเธอหน่อย ผมไม่มีเวลาเขียนแผนที่ให้เธอแล้ว เพราะต้องรีบไปส่งน้องแมทไปโรงเรียนอีก” มาร์โคขอร้องพี่ชายอีกรอบ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลูกชายวิ่งสะพายกระเป๋ามาพอดี

“แด๊ดดี้ฮะ แมทพร้อมแล้วฮะ” เจ้าตัวน้อยวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าผู้เป็นพ่อ ก่อนจะหันไปยกมือทำความเคารพคุณลุง มาร์โคยังไม่ได้ลุกไปไหนส่งสายตาไปเว้าวอนพี่ชายอยู่ไม่ห่าง

“เฮ้อ…งั้นก็ได้” มาร์เวลทำท่าถอนหายใจ ตอบตกลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แล้วมาร์โคก็พาน้องแมทไปขึ้นรถไปส่งที่โรงเรียน

“มานี่ อยากให้ไปส่งนักฉันก็จะไปส่ง” มาร์เวลฉวยข้อมือบางของมณีญาแล้วลากมาขึ้นรถอย่างไม่ปรานีปราศรัย เนื่องด้วยยังคงกรุ่นโกรธวาจาสามหาวเมื่อสักครู่อยู่ไม่หาย

“เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ใครเขาอยากให้คุณไปส่งกัน รู้ไว้ซะด้วยว่าฉันไม่อยากจะนั่งอยู่บนรถคันเดียวกับคุณแม้แต่วินาทีเดียว” มณีญาพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะขืนตัวไว้ บิดข้อมือออกจากมือแข็งราวคีมเหล็ก พร้อมทั้งตะโกนใส่หน้าเขาอย่างขัดเคืองใจ

“ทำไม อยู่กับฉันมันทรมานมากนักหรือไงคุณเชย หรือเธอกลัวจะทนความหล่อของฉันไม่ไหว” ดันร่างบางเข้าไปในรถอย่างไม่เบามือนัก ก่อนจะกระเถิบเข้าไปถามชิดใบหูน้อย

“เฮอะ…หล่อตายล่ะ คนอะไรหลงตัวเองชะมัด” มณีญาทำเสียงขึ้นจมูกค่อนแคะราวกับไม่กลัวเกรงท่าทางคุกคามของเขา ทั้งที่ในใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“เป็นผู้หญิงหัดพูดจาให้มันเพราะๆ ซะบ้างนะคุณเชย” สั่งสอนหญิงสาวแบบซึ่งๆ หน้า เพราะทนวาจาระคายหูที่เธอขยันพ่นออกมาไม่ไหว ผู้หญิงอะไรปากจัด เถียงคำไม่ตกฟาก

“ไม่ต้องหัดหรอก ฉันพูดเป็นอยู่แล้ว แต่จะพูดเฉพาะกับคนที่เห็นสมควรเท่านั้น” มณีญาโต้กลับอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“นั่นมันเรื่องของเธอ ฉันก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าเธอจะหาผัวไม่ได้เพราะความปากดี” มาร์เวลยักไหล่ทรงพลังเล็กน้อยทำเป็นไม่แยแส

“ถึงฉันจะหาสามีไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ” มณีญาค้อนขวับ บอกเสียงแข็ง แล้วสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง

“ใช่ มันไม่ใช่ธุระอะไรของฉัน แต่ที่เธอจะไปอยู่เซฟเฮาส์ฉัน มันเป็นธุระของฉันแน่ ไหนบอกมาซิว่าทำไมเธอถึงไปพักที่บ้านฉัน” มาร์เวลเปลี่ยนประเด็นมาคาดคั้นถึงสาเหตุที่เธอต้องไปอาศัยที่เซฟเฮาส์ของเขา

“ทำไมฉันจะต้องบอกคุณด้วย ในเมื่อเจ้าของบ้านเขาก็อนุญาตแล้ว หากคุณไม่เต็มใจไปส่งก็จอดรถให้ฉันลงตรงนี้แหละ” มณีญาบอกอย่างถือดี

“เธอคงเข้าใจอะไรผิดล่ะมั้งสาวน้อย เจ้าของบ้านหลังนั้นคือฉันต่างหากล่ะ” มาร์เวลแสยะยิ้ม ก่อนจะบอกเธอด้วยท่าทางที่เหนือกว่า

“ไม่จริง ไหนคุณมาร์คบอกว่ามันเป็นของครอบครัว” มณีญาทำหน้าเหวอ ก่อนจะพึมพำเบาๆ ราวคนละเมอ หากเจ้าของบ้านเขาไม่เต็มใจแบบนี้เห็นทีเธอคงไม่มีที่คุ้มกะลาหัวเป็นแน่

“ใช่ มันเป็นของครอบครัวและคนในครอบครัวเท่านั้นที่จะไปพักได้ และบ้านหลังนั้นก็มีชื่อฉันป็นเจ้าของ” มาร์เวลย้ำหนักแน่นว่าเซฟเฮาส์คือกรรมสิทธิ์ของตน

“งั้นคุณก็จอดรถตรงนี้แหละ ฉันขอลงตรงนี้ก็แล้วกัน” มณีญาพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับรู้และเข้าใจ ก่อนจะบอกเขาเสียงอ่อย ซึ่งมาร์เวลก็ไม่คิดจะขัดคนอวดดี เขาอยากจะรู้นักว่าเธอจะแน่สักแค่ไหน พอรถจอดเทียบที่ริมฟุตบาทมณีญาก็พึมพำขอบคุณเบาๆ โดยไม่มองหน้าเขา แล้วก้าวลงจากรถไปไม่เหลียวหลัง ส่วนมาร์เวลเห็นตาแดงๆ ของแม่สาวแว่นหัวดื้อก็นึกสงสาร จึงสั่งให้ลูกน้องขับรถตามเธอไปห่างๆ

มณีญาเรียกแท็กซี่ไปส่งที่สถาบันวิจัยแห่งชาติ ที่มีป้ายติดหราที่หน้าอาคารสำนักงานว่า Starship and Area Profressionnal โดยมีรถของมาร์เวลขับตามไปตลอด เธอตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นว่าตนคงจะรอผลจากองค์การนาซ่าไม่ได้แล้ว จึงคิดจะเอาประวัติมายื่นเข้าทำงานที่นี่ มณีญาติดตามผลงานวิจัยของสถาบันทางวิชาการแห่งนี้มาโดยตลอด โดยส่วนตัวแล้วเธอชื่นชอบสิ่งที่ทางสถาบันทำการศึกษาเป็นพิเศษ เพราะจะเน้นศึกษาลักษณะทางกายภาพของโลกซะส่วนใหญ่

“โอ๊ย….ยัยมณีเอ๊ย ทำไมถึงได้เฟอะฟะอย่างนี้นะ ดันลืมกระเป๋าเสื้อผ้าซะได้ แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้” หลังจากออกมาจากกรอกใบสมัคร มณีญาก็ตำหนิตัวเองพลางขยี้หัวจนผมยุ่งเหยิง ยืนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อยู่ริมถนนหน้าสถาบันวิจัย แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีใครบางคนวางมือลงบนบ่าของตน หญิงสาวหันขวับไปมองยังเจ้าของมือปริศนาทันที แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะตามเธอมาถึงที่นี่

“หานี่อยู่เหรอ?” มาร์เวลถามพร้อมกับชูกระเป๋าในมือขึ้น

“คุณยังไม่กลับอีกเหรอ” มณีญาแปลกใจที่เห็นเขายังไม่ไปไหน ทั้งที่เขาก็จอดรถให้เธอลงแล้วตั้งแต่สองชั่วโมงที่ผ่านมา

“จะให้ฉันกลับได้ไง ในเมื่อเธอลืมกระเป๋าไว้ในรถฉัน” มาร์เวลไม่บอกว่าเขาตั้งใจรอไปส่งเธอเพราะกลัวเสียฟอร์ม จึงยกเอากระเป๋าเจ้ากรรมมาเป็นข้ออ้าง

“ขอบคุณแล้วกัน ฉันไปล่ะ” มณีญายื่นมือไปรับกระเป๋า ซึ่งเขาก็ยอมส่งให้โดยไม่ลีลาท่ามาก พอได้กระเป๋ามาแล้วหญิงสาวก็กล่าวขอบคุณพร้อมกับคำอำลา หมุนตัวเดินจากไป แต่โดนเขากระชากแขนไว้ซะก่อน

“เดี๋ยวจะไปไหน มานี่เลย” ก้มลงถามคนตัวเล็กที่ยืนแนบชิดกันเสียงทุ้ม จากนั้นก็ลากร่างบางให้เดินตามมาแบบไม่พูดไม่จา

“เอ๊ะ…คุณจะเอายังไงกับฉันกันแน่ เดี๋ยวก็ไล่ เดี๋ยวก็ฉุด” มณีญาฉุนจัดให้คนบ้าอำนาจ อยากจะผลักไสไล่ส่งก็ทำ อยากจะฉุดกระชากลากถูก็ไม่เกรงใจ นี่เขาเห็นเธอไม่มีชีวิตจิตใจหรือยังไงกัน

“อย่าพูดมาก รำคาญ ไปขึ้นรถฉันจะไปส่งที่เซฟเฮาส์” มาร์เวลเอ็ดเสียงแข็งโดยไม่มองหน้า ส่วนขายาวๆ ก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าไม่ลดละ

“ไหนบอกไม่ให้คนนอกเข้าไง แล้วจะพาฉันไปที่นั่นทำไมกัน ปล่อยฉันไว้ตรงนี้แหละฉันจะไปหาที่พักเอง รับรองว่าจะไม่ไปรบกวนครอบครัวของคุณอีกแน่นอนสบายใจได้” มณีญาทวงถามถ้อยคำที่เขาเพิ่งจะพูดกับเธอไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมง แอบน้อยใจให้คนตัวโตอยู่นิดๆ

“ครั้งนี้ฉันจะอนุโลมให้ก็แล้วกัน” มาร์เวลบอกเสียงเรียบ ทำให้คนตัวเล็กถึงกับเบ้ปาก ก่อนจะแอบขว้างค้อนวงใหญ่ใส่แผ่นหลังกว้างด้วยความหมั่นไส้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel