บทที่1.พระราหูเข้า พระเสาร์แย่งกันแทรก
บทที่1.พระราหูเข้า พระเสาร์แย่งกันแทรก
“ณินแกเกิดปีอะไรนะ?” เพื่อนร่วมงานที่กำลังสุมหัวกันหันมาตะโกนถามญาณิน
“ทำไมอะ?” ญาณินย้อนถามยังไม่ทันได้ตอบเพราะพอดีเหลือบมองเห็นหนังสือเล่มโตในมือของอีกฝ่ายเสียก่อน ญาณินย่นจมูกใส่กับคววามเชื่อล้าหลังเหล่านั้น หนังสือเล่มนั้นญาณินเห็นมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน อายุหนังสือร่วมๆ สิบปี
“ตอบมาเถอะ ฉันจะดูดวงให้แกเอง หน้าหมองๆ แบบนี้ ดวงแกไม่ดีแน่นอน” พัชรีเป็นตัวตั้งตัวตี ทำท่าคะยั้นคะยอ
“ยัยพัช เมื่อไหร่แกจะเลิกสนใจเรื่องไร้สาระนั่นสักทีหะ” ญาณินบ่น
“หมวยแกจำวันเกิดณินได้ไหม?” เมื่อญาณินไม่ตอบ แพรไหมเลยกลายเป็นลูกไล่แทน ญาณินกับเพื่อนกลุ่มนี้คบกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยม ดังนั้นอายุก็คงไล่ๆ กัน
“ณินเกิดก่อนฉันสองเดือน แต่ปีเดียวกัน” เสียงแพรไหมตอบพัชรี สองสาวนั่นเลยหันไปสนใจหนังสือเก่าๆ นั่นแทนการไล่เบี้ยเอากับญาณิน ญาณินวางถุงขนม เดินไปร่วมกลุ่ม ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว สองสาวนั่นกำลังดูดวงของเธอนี่นา
“ณินดวงแกตกมากที่สุดในปีนี้เลยนะแก” พัชรีหันมาพูดกับญาณิน
“ไหนดูสิพัช เออว่ะ นอกจากดวงตกแล้วแกน่าจะเจอเรื่องซวยๆ ไม่หยุดเลยล่ะ” หลังนิ่งไปหนึ่งอึดใจ แพรไหมก็พูดจ้อยๆ
“ฉันไม่เชื่อดวงอะไรนี่หรอกนะ ฉันเชื่อตัวเอง” ถึงรู้สึกวูบๆ ในใจ แต่ญาณินก็ยังยืนกราน คนเราหากไม่ลงมือทำ ต่อให้ดวงดีแค่ไหนก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ
“ไม่ได้แย่ทั้งหมดหรอกนะยะ ยังมีเรื่องดีๆ ปนอยู่ด้วย แต่...” แพรไหมพูดต่อ
“หมวยแกพูดต่อให้จบสิ ฉันขี้เกียจอ่านเอง” พัชรีคะยั้นคะยอให้แพรไหมพูดต่อ
“คือจะพูดไงดีอะพัช ณิน” แพรไหมมีสีหน้าปั้นยาก เหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง
“เอามานี่ ฉันอ่านเอง เออ...นั่นดิ สรุปคือดีหรือซวยหนักวะเนี่ย” พัชรีบ่นพึมพำ
“ลองพูดมาสิยัยพัช จะอะไรหนักหนา ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่เกิดวันนี้นี่ อาจจะไม่ใช่ฉันก็ได้”
ญาณินไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด คนเขียนหนังสือเล่มนี้รวบรวมข้อมูลจากหลายๆ ที่ และไม่ได้เจาะจงว่าเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เขาแค่ทำนายตามตำราเก่าๆ มันอาจผิดพลาด หรือคลาดเคลื่อนก็ได้
“ฉันก็ไม่เข้าใจนักหรอก ความหมายมันบอกไว้คลุมเครือ จะสรุปชัดๆ เลยก็ไม่ได้” พัชรีบ่นต่อ
“เอามานี่ ฉันอ่านเอง” แพรไหมดึงหนังสือจากมือพัชรีมา “อาจจะเจอเรื่องไม่คาดฝัน มีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หากตัดสินใจผิด จะทำให้พลาดเรื่องดีๆ ไปตลอดชีวิต ณินฉันไม่เคยเจอคำทำนายแบบนี้กับใครมาก่อนเลยนะ แกต้องคิดให้รอบคอบ ต้องระวังตัวให้หนัก อย่าประมาทเด็ดขาดเลย” สีหน้าขึงขังของเพื่อนๆ พลอยทำให้ฉันรู้สึกขำไปด้วย คนเราหากเชื่อดวงในกระดาษ ก็คงไม่ต้องขวนขวายทำงานแล้วมั้ง คนดวงดีก็นอนรอโชควิ่งใส่อยู่ที่บ้าน ความเป็นจริงแล้วไม่มีใครทำแบบนั้นไง ต่อให้ดวงดีแค่ไหน แต่หากไม่ทำมาหากิน ไม่แคล้วอดตาย
“ฉันไม่สนเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอก”
ญาณินพูดปัดๆ เดินกลับไปนั่งที่เดิม ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการเชื่อมั่นในตัวเอง
“จิ้งจกทักคนยังหยุด นี่ฉันสองคนทักแกเลยนะณิน แกควรฟังพวกฉันบ้างนะ”
สองสาวแข่งกันพูดเสียงขรม ญาณินฝืนหัวเราะ “ได้ๆ ฉันจะฟังแก แล้วไงต่อล่ะ”
“แหะๆ” แม่หมอจำเป็นหัวเราะแหะๆ ไม่มีใครรู้อนาคต แค่ใช้แนวทางจากตำราเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป
ทั้งหมดนั่นคือหัวข้อที่ถกกันตอนที่ว่างงาน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครใส่ใจและเหตุร้ายยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้น ญาณินลืมไปแล้วด้วยซ้ำ หากบ่ายวันนี้ไม่มีคนพิเศษแวะมาหาถึงที่ทำงาน
“นึกยังไงมาหาพี่ได้ล่ะยัยดา?” ญาณินส่งยิ้มให้น้องสาววัยกระเตาะ ที่เพิ่งเรียนจบหมาดๆ อายุห่างกันแค่สองปี
พัฐสุดายิ้มหวานให้พี่สาวที่ไม่ได้กลับบ้านนานถึงสามเดือน “ก็พี่ณินไม่ยอมกลับบ้าน ดาเลยต้องบากหน้ามาหาไงคะ”
“คิดถึงพี่ หรือมีธุระ” ญาณินไม่ได้สนิทสนมกับน้องสาวคนนี้นัก เลยรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“คือ...” พัฐสุดาก้มหน้าลง สอดมือหยิบของบางอย่างในถุงและยื่นส่งให้ญาณิน ญาณินขมวดคิ้วมองซองสีแดงสดในมือน้องสาวตาเขม็ง
“อะไรเหรอ?”
“ดาจะแต่งงานเดือนหน้าค่ะ ดาเลยเอาการ์ดแต่งงานมาให้พี่ณิน”