บทที่ 46.2 3 ปีผ่านไป
“ทำไมชีวิตของคนที่โตแล้วมันเหนื่อยอย่างนี้นะ”
หลิงจูหลิงอิงมองหน้ากันด้วยอาการกระอักกระอ่วน เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้านายตัวน้อย คุณหนูของพวกนางเพิ่งอายุสิบขวบมาได้เท่าไรเอง หากว่าถึงวัยปักปิ่นอันเป็นวัยผู้ใหญ่ที่แท้จริงนางจะบ่นมากกว่านี้หรือไม่กันหนอ
“อะไร มองแบบนี้หมายความว่ายังไง คงคิดว่าข้าแก่แดดสินะ”
“เปล่านะเจ้าคะ”
“พวกพี่จะไปรู้อะไร เด็กสิบขวบก็มีเรื่องเหนื่อยยากเหมือนกันกับผู้ใหญ่โตเต็มวัยนั่นแหละ”
“คุณหนูพูดเหมือนพวกข้าไม่เคยอายุสิบขวบ”
“อีกแล้วนะพี่หลิงอิง ชอบขัดข้าอยู่เรื่อย ประเดี๋ยวเถอะ ฮึ่ม”
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู”
ดรุณีน้อยปรายตามองสาวใช้ทั้งสอง ก่อนจะพิศมองด้วยสีหน้าจริงจัง จนขนถูกมองทั้งขวยอายและรู้สึกแปลก ๆ
“คุณหนูมองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ” หลิงจูเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
เว่ยซือหงเผยยิ้มใช้สายตาแพรวพราวมองแม่นางทั้งสอง “โอ้ ปกติข้าไม่เคยมองพวกท่านตรง ๆ แบบจริง ๆ จัง ๆ วันนี้พอได้พิศแล้วกลับรู้สึกว่าพวกท่านงดงามมาก เป็นความงามที่แตกต่างกันยิ่ง”
สาวใช้ทั้งสองของเว่ยซือหงไม่ต่างอันใดกับดอกไม้แรกแย้มเลยสักนิด หากให้เปรียบเป็นดอกไม้ ความงามของหลิงจูนั้นคงเหมือนกับดอกฝูหรงหรือดอกพุดตาน ซึ่งเป็นดอกไม้ที่สามารถเปลี่ยนสีได้ถึงสามสีในหนึ่งวัน ตรงกับลักษณะนิสัยของเจ้าตัว ที่มีความสดใสสมวัยหากมีความอ่อนช้อยแฝงความซุกซนชวนให้น่าเอ็นดู
ตรงกันข้ามกับหลิงอิง สาวงามนางนี้แม้ไม่ได้มีความงามเป็นที่ประจักษ์ดังสาวงามอันดับหนึ่งหรือมีความงามล่มแคว้น หากมองแล้วรู้สึกสบายตา ด้วยลักษณะนิสัยที่สุขุมเรียบร้อย รักษาสีหน้าตนเองได้ดีของนาง ยิ่งชวนให้บุรุษอยากกลั่นแกล้งรังแก เผื่อใบหน้างามเรียบนิ่งนั้นจะมีความรู้สึกอื่นขึ้นมาบ้าง เช่นเดียวกับดอกไป่ฉานหรือดอกพุดซ้อน ที่มีสีขาวบริสุทธิ์จนยากนำสีอื่นไปแต่งแต้ม
กล่าวคือสาวใช้คนสนิทของเว่ยซือหงทั้งสองคนนี้ มีความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
“พูดอะไรก็ไม่รู้เจ้าค่ะคุณหนู” หลิงจูหันรีหันขวางทำตัวไม่ถูก แม้แต่หลิงอิงที่เก็บอาการได้ดีที่สุดยังรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ไม่ได้ ใบหน้าเห่อร้อนผิวแก้มแดงระเรื่อของสาวใช้ทั้งสองเรียกเสียงหัวเราะของเจ้านายยกใหญ่
“ฮ่าฮ่า ดูพวกท่านสิ น่ารักเป็นบ้า ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเขินหรอกเจ้าค่ะ คนกันเองทั้งนั้น” เว่ยซือหงหัวเราะจนน้ำตาเล็ด นิ้วเล็กที่มีความยาวมากกว่าเมื่อสามปีที่แล้วยกขึ้นปาดน้ำตาที่หางตาทิ้งอย่างลวก ๆ
“คุณหนูได้โปรดหยุดแกล้งพวกข้าเถิดเจ้าค่ะ” หลิงอิงเอ่ยขอร้องเพราะตอนนี้นางแทบจะทนไม่ไหวแล้ว วาจาคุณหนูไม่น่าสะเทิ้นอายเท่าดวงเนตรกลมโตคู่นั้นเลยสักนิด
หากคุณหนูเอ่ยชมอย่างเดียวนางยังพอเก็บอาการได้ แต่ถ้าคุณหนูส่งสายตาหยอกล้อกันเช่นนี้แล้ว นางทนต่อไปไม่ไหวหรอก
“ฮ่าฮ่าฮ่า พวกพี่นี่น่าเอ็นดูจริง ๆ ไหน ๆ พวกพี่ก็ผ่านวัยปักปิ่นมาแล้ว สมควรมีครอบครัว ถ้ารักใครชอบใครก็บอกข้านะเจ้าคะ ข้าจะเป็นแม่สื่อให้เอง”
“คุณหนู!!!” สองพี่น้องได้แต่ร้องเรียกเจ้านายที่แกล้งพวกนางไม่เลิก ส่งสายตาแห่งการไม่ได้รับความเป็นธรรมไปให้ เนิ่นนานกว่าเสียงหัวเราะของเว่ยซือหงจะจบลง
“เอาละ ๆ ไม่แกล้งพวกพี่แล้ว เตรียมน้ำเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะอาบน้ำ วันนี้ร้อนยิ่งนัก”
“เจ้าค่ะ”
หลิงอิงปลีกตัวไปเตรียมน้ำให้คุณหนูที่ชอบทำให้นางเขินเอย หลิงจูหันไปเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้คอย
หนึ่งก้านธูปต่อมา เว่ยซือหงนั่งมองตัวเองหน้ากระจกทองเหลืองบานใหญ่ ที่เห็นภาพไม่ชัดนักแล้วสะท้อนใจ สามปีมานี้นางให้ท่านลุงใหญ่หลิวหย่งลองถามชาวโพ้นทะเลที่มาทำการค้ายังเมืองตงไห่แล้วว่ามีกระจกที่ส่องแล้วเห็นภาพชัดเจนหรือไม่ ปรากฏว่ายังไม่มีสินค้าที่นางต้องการเข้ามาเสียที หากนางมีกระจกเหมือนห้วงฝันหรือความทรงจำเลือนรางนั้นคงดีไม่น้อย มันคงจะชัดมากจนเหมือนมีนางอีกคนมานั่งอยู่ตรงข้ามทีเดียวละ
“คุณหนูงดงามนักเจ้าค่ะ” หลิงจูเอ่ยชมด้วยใจจริง แม้จะอยู่ในวัยสิบขวบ แต่ความงามของคุณหนูกลับฉายชัด
เว่ยซือหงมองภาพขุ่นมัวที่สะท้อนมาแล้วยกยิ้มบาง ๆ พลางส่ายหน้า “ไม่หรอก ตอนนี้ยังไม่อาจเรียกว่างาม”
“แต่คุณหนูของบ่าวงดงามจริง ๆ นะเจ้าคะ จะไม่เรียกว่างามได้อย่างไร”
เว่ยซือหงไม่ได้เอ่ยตอบในทันที นางมองใบหน้าพริ้มเพราที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองเหลือง ดวงตาหงเรียวสวยได้รูปหางตาตวัดขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกกำลังยิ้มอยู่นิด ๆ ขนตาหนาเป็นแพสยาย เกิดเป็นดวงตาสวยสะกดผู้คน หากเจ้าของดวงตาไม่แย้มยิ้มก็จะให้ความรู้สึกเย็นชาไว้ตัว เป็นดวงตาที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกกดดันได้ไม่ยาก ทว่ายามนี้ยังไม่ชัดเจนนักเพราะนางเพิ่งสิบขวบ
ไล่สายตามองลงมาที่จมูกเล็กเป็นสันปลายโค้งมนได้รูป ขับให้ใบหน้าดูจิ้มลิ้ม รับกับริมฝีปากอมชมพูโดยไม่ต้องแต้มชาด รวมทั้งพวงแก้มใสทั้งสองข้าง ทั้งหมดทั้งมวลนี้กอรปกันเป็นองคาพยพของดรุณีน้อยนามเว่ยซือหง
“อย่างข้าตอนนี้เขาเรียกว่าน่ารัก พี่หลิงจูดูสิ แก้มทั้งสองข้างของข้ายังเป็นก้อนอยู่เลย จะงดงามไปได้อย่างไร มองยังไงก็จิ้มลิ้มพริ้มเพราน่ารักน่ากอด หาใช่งดงามอย่างที่ท่านว่า พี่หลิงอิงเห็นด้วยข้าหรือไม่”
หลิงอิงที่ยืนฟังการสนทนาของน้องสาวและคุณหนูอยู่ตลอดยกยิ้ม คุณหนูกล่าวได้ถูกต้อง ด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มและร่างกายที่สูงขึ้นไม่มากดูน่ารักน่ากอดมากกว่าจะใช้คำว่างามจริง ๆ นั่นแหละ ครั้นถูกเอ่ยถามจึงตอบในทันที
“เจ้าค่ะ คุณหนูน่ารักมาก”
เว่ยซือหงยิ้มรับไม่ปฏิเสธ ถึงนางจะอยากงามจนเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่นางก็รู้ตนเองดี ยามนี้เรียกว่าน่ารักนับว่าเหมาะสมแล้ว รอจนถึงวัยปักปิ่นแล้วค่อยมาชมความงามของนาง ถึงตอนนั้นจะไม่ปฏิเสธสักคำ