บทที่ 6 การตื่นของพลัง
กลางดึกก้อนแป้งน้อยเว่ยซือหงนอนพลิกตัวไปมา ท่าทางกระสับกระส่ายไม่สบาย จนหลิงจูสาวใช้คนสนิทที่หลิวลี่หงมอบให้มาดูแลก้อนแป้งน้อย เร่งรีบออกไปแจ้งข่าวนายหญิงกับนายท่านของตนเอง
“มีอะไรหลิงจู เหตุใดจึงมาดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้”
“แย่แล้วเจ้าค่ะฮูหยิน คุณหนูเป็นอะไรไม่รู้เจ้าค่ะ นอนดิ้นไปมา ทั้งยังตัวร้อนมากด้วย ปลุกเท่าไหร่ก็ปลุกไม่ตื่นเจ้าค่ะ” หลิงจูกล่าวบอกท่าทางร้อนรน เป็นห่วงเจ้านายตัวน้อยยิ่งนัก
หลิวลี่หงฟังแล้วชะงักก่อนหันไปมองหน้าสามีแล้วเร่งรีบไปเรือนนอนของบุตรสาวทันที
ยังไม่ทันจะได้เข้าไปในห้องบุตรสาว เว่ยซือซานและหลิวลี่หงพลันสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่เอ่อล้นออกมาจากภายใน สามีภรรยามองหน้ากันด้วยไม่อยากเชื่อ
“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะท่านพี่ หงเอ๋อร์เพิ่งจะเจ็ดหนาวเท่านั้นเองนะเจ้าคะ พลังปราณของลูกจะตื่นขึ้นได้เช่นไร” หลิวลี่หงพูดด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มยิ่ง ด้วยปกติพลังจะตื่นก็ต่อเมื่ออายุ 9 หนาว
“พี่ก็ไม่รู้เช่นกัน เรารีบเข้าไปดูลูกกันก่อนเถอะ” เว่ยซือซานเป็นห่วงบุตรสาวที่พลังปราณตื่นก่อนกำหนด ขณะเดียวกันบอกพ่อบ้านอวิ๋นให้ไปตามบิดาของตนมาโดยเร็ว
สามีภรรยาเร่งเข้าไปในห้องนอนบุตรสาวตัวน้อยอย่างรวดเร็วก่อนผงะกับพลังปราณที่เข้าปะทะพวกเขา จะไม่ให้ตื่นตกใจได้อย่างไร นี่มันเป็นพลังปราณที่รุนแรงมาก แรงปะทะที่ส่งมาขวางกั้นพวกเขาเอาไว้นั้นไม่ธรรมดาเลย เขาที่มีพลังปราณระดับจอมยุทธ์ยังอึดอัดใจ ภรรยาของเขาที่มีพลังปราณระดับแม่ทัพเล่าจะอึดอัดขนาดไหน
“ลี่เอ๋อร์ เจ้าไหวหรือไม่”
“วะ ไหวเจ้าค่ะท่านพี่” หลิวลี่หงตอบตะกุกตะกัก แม้หายใจแทบไม่ออกแต่นางไม่ใส่ใจ นางห่วงบุตรสาวคนเดียวมากกว่า เว่ยซือซานยังไม่ได้กล่าวสิ่งใด เสียงเอะอะของบิดามารดารวมถึงบุตรชายสองคนพลันแทรกเข้ามา
“อาซาน ลี่เอ๋อร์ เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่”
“ท่านพ่อ/ท่านแม่”
“เกิดสิ่งใดขึ้น พ่อบ้านอวิ๋นบอกพ่อว่าพลังของหงเอ๋อร์ตื่นก่อนกำหนด”
ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากบุตรชาย เว่ยซือหลิวรีบก้าวไปยืนด้านหน้าของทุกคนพร้อมกลางม่านพลังปราณระดับปราชญ์ครอบคลุมทุกคนไว้ทันท่วงที
สมาชิกตระกูลเว่ยทุกคนรวมถึงพ่อบ้านอวิ๋น หลิงจูและหลิงอิงสาวรับใช้ข้างกายเว่ยซือหงพลันแตกตื่นกับพลังที่ปะทุออกมาจากก้อนแป้งน้อย พร้อมทั้งตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า ต่างคนต่างอ้าปากค้าง แววตาฉายความไม่เชื่อ พูดออกมาพร้อมกัน
“เป็นไปไม่ได้!” หากไม่มีใครสามารถละสายตาไปจากเหตุการณ์ตรงหน้าได้สักคนเดียว เป้าสายตาเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเว่ยซือหงที่นอนหลับสนิทบนเตียงกว้าง
ร่างกายเว่ยซือหงปะทุพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนาน แรงกดดันยิ่งเพิ่มมากขึ้น เส้นแสงเล็ก ๆ ผุดออกมาจากร่างเจ้าก้อนแป้งทีละเส้น ๆ แต่ละเส้นมีสีแตกต่างกันไป นี่คือการตื่นของพลังธาตุ ประกอบไปด้วยสีฟ้า สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน และสีขาว นับได้จากเส้นแสงเหล่านั้นมีถึง 5 สี!
สวรรค์! เจ้าตัวน้อยมีธาตุถึง 5 ธาตุด้วยกัน!
ตอนนี้คนทั้งเก้าที่ยืนเป็นสักขีพยานของการตื่นพลังปราณและพลังธาตุของเว่ยซือหงตกใจจนไม่รู้จะตกใจอย่างไรแล้ว สายตาหลายคู่จับจ้องไปยังพลังธาตุทั้งห้าที่ม้วนเป็นเกลียวประสานกันอย่างไม่ละสายตา แม้จะสงสัยว่าพลังสีทองที่โอบล้อมเว่ยซือหงและเกลียวธาตุทั้งห้าคือสิ่งใดก็ตามที เนิ่นนานกว่าพลังที่ตื่นขึ้นของเจ้าตัวน้อยจะยอมสงบ ร่างกายเล็ก ๆ นั่น ค่อย ๆ ดูดซับพลังทั้งหมดที่ปะทุออกมากลับคืนเข้าสู่ร่างกายทีละนิด ๆ กระทั่งไม่หลงเหลือกลิ่นอายใด ๆ
“สวรรค์ บุตรสาวข้ามีธาตุถึงห้าธาตุด้วยกัน!” เว่ยซือซาน
“สองธาตุปกติสามธาตุพิเศษ” หลิวลี่หง
“ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุพฤกษา ธาตุน้ำแข็ง และธาตุแสง!” เว่ยซือหลิวกล่าวบ้าง
“ไหนจะพลังปราณสีทอง โอย... อาหลางอาเหลียงประคองย่าทีย่าจะเป็นลม” หลินซือเหยากล่าวพร้อมกับร่างกายที่ซวนเซ
“ท่านย่า/ท่านย่า” สองพี่น้องเว่ยซือหลางเว่ยซือเหลียงรีบเข้าประคองร่างท่านย่าของตนอย่างว่องไว พร้อมรับยาหอมจากพ่อบ้านอวิ๋นมาจ่อจมูกผู้เป็นย่าอย่างรวดเร็ว ส่วนสาวรับใช้ข้างกายทั้งสองคนของน้องสาวนั้นเป็นลมไปตั้งแต่เห็นพลังธาตุที่แตกต่างกันทั้งห้าธาตุแล้ว
“นายท่าน ตั้งสติก่อนเถอะขอรับ ข้าน้อยว่าอีกไม่นานฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาที่จวนเว่ยของพวกเราแน่” พ่อบ้านอวิ๋นแม้จะยังตื่นตกใจกับเหตุการณ์พลังตื่นของคุณหนูตัวน้อย แต่เขาตั้งสติได้เร็วกว่าผู้ใด แม้ว่าก่อนหน้านี้นายท่านใหญ่จะเร่งค่ายกลป้องกันภัยของจวนไว้แล้ว แต่ก็ไม่ควรประมาท ทางที่ดีหาทางรับมือไว้ดีกว่า
“โอ ใช่ ๆ พวกราชวงศ์จะต้องรับรู้ถึงกลิ่นอายพลังปราณของเจ้าตัวน้อยแน่” นายท่านใหญ่เว่ยซือหลิวกล่าวพร้อมพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ
“ท่านพ่อ เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรดีขอรับ” เว่ยซือซานกล่าวอย่างกังวล จะปิดบังก็ไม่ได้ พลังปราณของบุตรสาวเขามากเกินไป อย่างไรฮ่องเต้และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ที่มีพลังระดับปราชญ์ย่อมรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายพลังปราณที่ปะทุออกมาแน่
“ข้าว่าบอกพวกเขาไปตามตรงว่าพลังของอาหงตื่นก่อนกำหนดแต่ปิดเรื่องพลังธาตุไว้ดีกว่าหรือไม่เจ้าคะ ข้าไม่วางใจผู้ใดเจ้าค่ะ กลัวว่าจะมีคนโลภใช้อาหงเป็นเครื่องมือสู่อำนาจ แม้ว่าตอนนี้อำนาจในแคว้นของเราจะปรองดองกันดี ไม่มีศึกภายใน แต่ถ้ามีคนรู้เรื่องของอาหงมากเกินไป อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้”
“ลี่เอ๋อร์พูดถูก ข้าเห็นด้วยว่าเราควรปิดเรื่องพลังธาตุของหลานสาวไว้ จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ความอิจฉาริษยาทำร้ายคนได้” ฮูหยินผู้เฒ่าหลินซือเหยากล่าวสมทบกับความคิดของลูกสะใภ้
“จริงดังท่านแม่และท่านย่าพูดนะขอรับ แม้อำนาจภายในแคว้นโจวของเราจะดูปรองดองกัน อำนาจจากตระกูลใหญ่ต่าง ๆ เท่าเทียมกัน แต่ถ้าเมื่อไรที่ตระกูลใดตระกูลหนึ่งเรืองอำนาจกว่าตระกูลอื่น ๆ ขึ้นมา ข้าว่าไม่ดีแน่” เว่ยซือเหลียงพูดหลังจากวิเคราะห์เรื่องราวภายในต่าง ๆ ในแคว้นแล้ว
“ข้าเห็นด้วยขอรับ ทั้งนี้เพื่อปกป้องน้องสาว และตระกูลเว่ยของเราแล้ว ยังถือเป็นการปกป้องแคว้นโจวของเราไปในตัวด้วย ทุกคนอย่าลืมสิขอรับ ความอิจฉาริษยาก่อให้เกิดสงครามได้ ตอนนี้แม้จะไม่มีสงครามระหว่างแคว้น เพราะพวกเราทำสัญญาสงบศึก แต่ถ้ามีข่าวเรื่องของหงเอ๋อร์มีพลังธาตุถึงห้าธาตุหลุดออกไป ซ้ำยังมีธาตุพิเศษถึงสามธาตุ ข้าว่าแย่แน่ขอรับ บางทีหากถึงตอนนั้น สัญญาสงบศึกอาจไม่มีผลแล้วก็ได้” เว่ยซือหลางที่วิเคราะห์เหตุการณ์ได้ลึกซึ้งกว่าน้องชายกล่าวบ้าง
แน่นอนถ้าสมาชิกในจวนคนอื่นคิดได้ สองพ่อลูกอย่างเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานจะคิดไม่ได้ได้อย่างไร ทั้งสิ่งที่พวกเขาคิดยังน่ากลัวมากกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า
อำนาจภายในแคว้นโจวดูเหมือนสงบก็จริง ทว่าความจริงมันมีคลื่นใต้น้ำซ่อนอยู่ ถึงไม่ได้กล่าวออกไป แต่เหล่าคนตระกูลใหญ่ย่อมรู้กันดีว่าพวกเขาขัดขากันในมุมมืดอยู่เป็นนิจ
ส่วนสัญญาสงบศึก เป็นสัญญาที่แคว้นโจวร่วมลงนามกับแคว้นอื่น ๆ ภายในทวีปนภาครามว่าจะไม่ก่อสงครามกัน เนื่องจากปัญหาจากเหล่ามารและปัจจัยจากอาหารการกินมีผลนานนับร้อยปี ทว่าถ้าเรื่องเว่ยซือหงแพร่ออกไป ใครเล่าจะรู้ว่าแคว้นต่าง ๆ ยังจะยอมนิ่งเฉยอยู่อีกหรือไม่ ต่อให้สัญญาสงบศึกนั้นจะทำเป็นอักขระสัญญาเลือดก็ตามที บางทีความอิจฉาริษยากลัวแคว้นอื่นเรืองอำนาจกว่าแคว้นตนอาจน่ากลัวกว่าความตายก็ได้ ทว่านั่นนับเป็นปัญหาเล็กน้อยหากเทียบกับบุคคลในเงามืดอย่างพวกมาร!
นับตั้งแต่เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในคืนเทศกาลหยวนเซียว คืนเดียวกับที่เว่ยซือหงเกิด พวกมารพากันเงียบหายไปผิดปกติ จากเดิมที่ควรออกรังควานสร้างปัญหาให้กับชาวบ้าน กลับพากันเก็บหางราวกับว่าดินแดนนี้ไม่เคยมีพวกมัน ดูเหมือนว่าน่ายินดีแต่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย!
ห้าปีก่อนสองพ่อลูกตระกูลเว่ยได้ร่วมประชุมกับตัวแทนที่มาจากดินแดนเบื้องบนพร้อมกับราชวงศ์ เหล่าผู้นำตระกูล และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ร่วมหารือกันในเรื่องนี้ความว่า พวกมันไม่ได้หายไปไหน พวกมันยังอยู่ที่เดิมแค่เก็บหัวเก็บหางตนเองได้ดีเท่านั้น
ทั้งนี้ตัวแทนจากดินแดนเบื้องบนยังกล่าวว่าให้จับตาดูไว้ให้ดี อย่าได้หละหลวมด้านการป้องกันเป็นอันขาด ด้วยเหตุนั้นทำให้สองพ่อลูกตระกูลเว่ยระแวงมาจนถึงวันนี้!
ตอนแรกพวกเขาไม่คิดว่าเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวกับบุตรหลานของตนเอง ทว่าหลังเป็นประจักษ์พยานการตื่นขึ้นของพลังปราณพลังธาตุจะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่ได้แล้ว มองอย่างไรก้อนแป้งน้อยของพวกเขาต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่!
สองพ่อลูกหันมาสบตาและพยักหน้าให้กัน
“พ่อบ้านอวิ๋น เจ้าไปรับหน้าคนที่มาเยือนก่อน เอาใบชาพลังปราณออกมาชงรับแขกด้วยเล่า เช่นไรฮ่องเต้ต้องมาด้วยตนเองแน่”
“ขอรับนายท่านใหญ่” พ่อบ้านอวิ๋นรับคำเว่ยซือหลิวและหายออกไปจากห้องนอนคุณหนูตัวน้อยทันที
“เจ้าใหญ่ ลูกไปรับแขกกับพ่อและท่านปู่ด้านนอก เจ้ารอง อยู่เป็นเพื่อนท่านแม่และท่านย่า คอยดูแลหงเอ๋อร์และสาวใช้สองคนนี้ที่นี่”
“ขอรับท่านพ่อ/ขอรับท่านพ่อ” สองพี่น้องรับคำพร้อมกัน
หลังพูดทำความเข้าใจกันอีกเล็กน้อย เว่ยซือหลิวเดินนำบุตรชายและหลานชายออกจากห้องหลานสาวทันที ส่วนหลินซือเหยา หลิวลี่หงและเว่ยซือเหลียงคอยเฝ้าดูอาการเจ้าตัวน้อยไม่ให้มีสิ่งใดคลาดสายตาแทน